สวัสดีค่ะพี่ๆและเพื่อนๆ วันนี้ขอรวบรัดตัดตอนบล๊อกเดียวจบทริปเที่ยวเจาะลึกอิตาลีนะคะ หลังจากที่รับประทานอาหารเช้าซึ่งก็เป็นประมาณรูปข้างล่างนี้เลยค่ะ(เกือบทุกวัน) เป็นที่คิดถึงน้ำพริกหรือผัดกระเพราะสุดๆค่ะ ขึ้นเครื่องขากลับร้องขอมาม่าต้มยำเลยค่ะ

คณะเราก็เดินทางออกจากโรมเพื่อมุ่งหน้าขึ้นไปทางเหนือจุดหมายแรกคือเมืองฟลอเรนซ์หรือ ฟิเรนเซ่ในภาษาอิตาเลี่ยน เป็นเมืองหลวงของแคว้นทัสคานี (นั่งมาสามชั่วโมงกว่าค่ะ)เป็นเมืองแห่งความงดงามทางศิลปะเป็นเมืองที่เป็นบ้านเกิดของท่านอาจารย์ศิลป์ พีระศรี

พวกเรามุ่งหน้าสู่บริเวณใจกลางเมืองเก่าของเมือง เพื่อชมความงามของจัตุรัสเปียซ่า เดลดูโอโม(Piazza Del Duomo) ดูโอโมแห่งเมืองฟลอเรนซ์

มหาวิหารที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่ง อายุกว่า 800ปี ใหญ่เป็นอันดับสองของอิตาลีค่ะ 

รอบๆไม่มีอาคารใดๆสูงกว่าโดมของมหาวิหารแห่งนี้ค่ะ

มหาวิหารชื่อซานตามาเรียเดลฟิโอเร "Santa Maria del Fiore"

มหาวิหารขนาดมหึมาที่มีลวดลายหินอ่อนที่สวยงามมาก

ใกล้ๆกับดูโอโมแห่งเมืองฟลอเรนซ์มีจัตุรัสซินญอเรีย (Piazza della Signoria) ซึ่งเป็นที่ตั้งพระราชวังเก่า Palazzo Vecchio และใกล้ๆกับจัตุรัสนี้ยังเป็นที่ตั้งของรูปปั้นที่มีชื่อเสียงหลายชิ้น เช่นน้ำพุเทพเนปจูน รูปเดวิดจำลองซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกของไมเคิล แองเจโล และ รูปหล่อบรอนซ์เพอร์ซิอุสถือหัวของเมดูซ่า ผลงานของเชลลินี่ค่ะ

เมืองที่เต็มไปด้วยความงดงามทางด้านศิลปะ

ใกล้กับจัตุรัสมีหอระฆังใหญ่

จากจัตุรัสเดินตรงไปเจอแม่น้ำอาร์โน "Arno River"ที่มีสะพาน vecchio สะพานที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง เป็นสะพานที่รอดพ้นการทำลายในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง บริเวณบนสะพานมีร้านค้ามากมายส่วนมากขายของที่ระลึกและอัญมณีค่ะ

ที่ชอบมากคือได้เดินเที่ยวตลาดนัดของเมืองนี้ค่ะ เวลาอ่านบล๊อกของเพื่อนๆท่านอื่นที่ไปเดินเที่ยวตลาดนั้นเราแอบเก็บความอิจฉาเอาไว้ 555 วันนี้ได้มาเดินเที่ยวเองบ้างแล้วถูกใจค่ะ

ลืมดูงานศิลปะต่อเลยค่ะ อยู่ที่ตลาดนี้เลยที่นี้ส่อง ดูมันทุกร้านว่าเขาขายอะไรกันบ้าง ได้ไวน์รสชาติดี ราคาถูกกลับมาด้วยค่ะ

ระหว่างเดินทางไปเมืองปีซ่า(อีกประมาณ 1ชม.)เจอต้นส้มซึ่งเคยบอกไปก่อนหน้านี้ว่าที่อิตาลีเขาปลูกส้มกันตามถนน ตอนที่เราไปเป็นช่วงที่ส้มกำลังออกผลสวยงามมากค่ะ อยากจะชิมสักลูกสองลูกเหมือนกันค่ะ

ครั้งที่แล้วตอนมาที่หอเอนปีซ่านี้ตรงกับหน้าร้อนในอิตาลี รูปเก่าๆยังมีอยู่เยอะพอครั้งนี้เลยไม่ค่อยได้ถ่ายรูปที่นี่เท่าไหร่ค่ะ เลยเดินส่องหาหอเอนกลับบ้านค่ะ 

หอทรงกระบอกสูง 8ชั้นสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน7 ของโลก             

" Leaning Tower of Pisa"

เช้าวันรุ่งขึ้นเราออกจากเมืองปีซ่ามาเวนิสใช้เวลาเดินทางสามชั่วโมงกว่า สำหรับทริปนี้ทัวร์ที่เรามาราคาแพงกว่าที่มาครั้งก่อนเกือบเท่าตัว แต่ได้นั่งเรือข้ามไปเวนิสแบบปิดค่ะ ไม่สามารถถ่ายรูปได้ แต่ครั้งที่แล้วมากับทัวร์ถูกแต่ได้นั่งชมวิวบนดาดฟ้าเรือด้วยค่ะ ถ่ายรูปกันสนุกสนาน

วันนี้โบสถ็ซาน มาร์โคมีการทำพิธี ไม่สามารถเข้าชมด้านในได้ค่ะ ด้านนอกมีผู้คนมาร่วมพิธีผ่านการถ่ายทอดสดกันอย่างมากมายคงจะเป็นพิธีที่สำคัญเพราะบริเวณรอบๆ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยดูแลเยอะทีเดียว

จัตุรัสซาน มาร์โค "Piazza San Marco"จุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่สำคัญมากของเกาะเวนิส มาครั้งนี้ค่ยยังชั่วเพราะให้เวลาได้พักผ่อนตามอัธยาศัยนานหน่อยค่ะ ครั้งที่แล้วจำได้ว่าให้เวลาสั้นมากๆ

สวยงามที่สุดคืองานโมเสสที่ประดับอยู่ของโบสถ์ซาน มาร์โค

ครั้งนี้ได้ใช้เวลาเดินเล่นบนเกาะเวนิสนี้เต็มที่หน่อยค่ะ อีกเหตุผลหนึ่งที่ตัดสินใจเลือกมาทริปอิตาลีนี้ก็คืออยากกลับมาที่เวนิสนี่แหละค่ะ อยากกลับมากินพิซซ่าร้านเดิมค่ะ

หน้ากากที่ขายเป็นของที่ระลึก ถ้าเมดอินไชน่า ราคาก็จะถูกกว่าค่ะ แต่งานก็ฝีมือต่างกันนะคะ เราเลยขอเลือกแบบเมดอินอิตาลีดีกว่า เพราะตั้งใจซื้อเก็บไว้ประดับบ้าน พูดถึงการขายสินค้า เราว่าคนญี่ปุ่นเป็นคนที่น่าอุดหนุนที่สุด จะซื้อมากซื้อน้อยก็ขอบคุณโค้งแล้ว โค้งอีก เพราะเขามีวัฒนธรรมว่าลูกค้ามีความสำคัญกับเขา แต่ซื้อของแถบทางยุโรปจะไม่ได้รับความรู้สึกแบบนั้น

ยังไงก็ต้องกลับมาที่สะพานรีอัลโตนี้ค่ะ เพราะร้านพิซซ่าที่ตั้งใจกลับมาทานอยู่ใกล้ๆเชิงสะพานนี้ค่ะ ต้องกลับมาดูแกรนด์คาแนล มุมฮิตตรงนี้อีกครั้ง

ช่วงเช้าออกเดินทางจากเวนิสเมสเตร้ เกือบสองชั่วโมงเพื่อไปยังเมืองซีรมิโอเน่ (Sirmione) เมืองเล็กๆน่ารักดีค่ะ มีปราสาทเก่าเหมือนในเทพนิยาย มีร้านอาหาร ร้านกาแฟน่ารักๆและมีร้านขายไอศกรีมที่มีหลากหลายรสชาติให้เลือกกันไม่ถูกเลยทีเดียวค่ะ

รอบๆเมืองล้อมรอบด้วยทะลสาบสีน้ำเงินสวยชื่อทะเลสาบกราด้า "Grada Lake" เดินเล่นถ่ายรูปไปตามตรอกซอกซอยค่ะ 

ก่อนเข้าสู่เมืองเจนัวร์แวะ เซรราวาลเล เอาท์เล็ต เอาท์เล็ตที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป (แต่ให้เวลาน้อยจัง) เพราะฉะนั้นต้องไปแบบมีจุดมุ่งหมายเลยค่ะ ว่าจะซื้อแบรนด์นี้รุ่นนี้ ไปถึงยื่นให้พนักงานขายเลย เราเลยไม่ได้อะไรค่ะเพราะไม่ได้ตังใจไปซื้ออะไรเป็นพิเศษได้แค่เสื้อผ้ามาสามสี่ชิ้น

จากวันแรกที่ลงไปทางตอนใต้ของอิตาลี มาถึงคืนนี้เราขึ้นกันมาถึงเมืองเจนัว (Genoa) เมืองท่าที่สำคัญของอิตาลีและของโลกซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของอิตาลี เห็นเรือที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ Pirates of the Caribbean จอดอยู่ที่อ่าวด้วยค่ะ (ชอบเรื่องนี้ค่ะเก็บสะสมทุกตอนเลย)

 ก่อนวันสุดท้ายที่จะเป็นวันเดินทางกลับ มุ่งหน้าสู่เมืองเลแวนโต นั่งรถไฟไปเที่ยว อุทยานแห่งชาติ ซิง เกว เตรเล่" Cinque Terre Nationl Park" เส้นทางที่ได้รับการขนานนามว่า "วิมานบนดินริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน" คือจะมีอยู่ห้าเมืองค่ะ เมืองทั้งหมดอยู่ริมชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลีค่ะ ในแคว้นลิกูเรีย

พวกเรานั่งรถไฟกันมาจากเมืองเลแวนโต(Levanto) ระหว่างขึ้นและลงหัวหน้าทัวร์จะคอยเตือนให้ลูกทัวร์ระวังการล้วงกระเป๋าจากพวกยิปซีแถวนี้ เตือนและขู่ซะจนกลัวเลยค่ะแต่ก็ดีแล้วค่ะเพื่อความปลอดภัยของลูกทัวร์ นั่งมาไม่นานก็มาถึงชายหาดของเมืองมอนเตอรอสโซ่ อัลแมร์ (Monterosso al Mare) ถึงแม้อากาศจะเย็นแต่ก็ยังมีคนมานอนอาบแดดกันค่ะ

ชายหาดอาจจะสวยสู้บ้านเราไม่ได้ซะทีเดียว แต่ความสวยงามของทะเลที่ออกเป็นสีน้ำเงินที่ตัดกับบ้านเรือนสีสวยก็ทำให้ประทับใจไปอีกแบบค่ะ 

ชายหาดที่นี่ได้ชื่อว่ามีน้ำที่ใสราวกับคริสตัลค่ะ

ส่วนมากจะเป็นการเดินเที่ยวซึมซับบรรยากาศในตัวเมืองเก่ากับทะเลแถบนี้ค่ะ บ้านเมืองเรียงกันเป็นชั้นลดหลั่นตามหน้าผาทุกที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวค่ะ ต้องถือว่าประเทศอิตาลีนี้ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างมากค่ะ

 ทริปนี้ได้เที่ยวอิตาลีแบบจุใจเลยค่ะ ชอบที่สุดของการเดินทางครั้งนี้คือได้เที่ยวชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของโลกของอารยธรรมโรมัน ได้ชื่นชมความงามของท้องทะเลแถบยุโรป ได้ไปชายฝั่งอมาลฟีและเกาะคาปรีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง รักเลยกับเมืองฟิเรนเซ่เมืองแห่งศิลปะ ชอบทุกสถานที่ของทริปนี้ค่ะ

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเที่ยวด้วยกันนะคะ โอกาสหน้าพบกันอีกนะคะ

สวัสดีค่ะ