โปรแกรมรักษาโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis) มีลักษณะเป็นผื่นเรื้อรังบริเวณแก้ม ลำคอ ข้อพับแขน แขน มือ และเท้า แต่ผื่นในเด็กมักมีอาการรุนแรงกว่าในผู้ใหญ่ สาเหตุหลักเกิดจากการอักเสบของผิวหนัง ซึ่งอาจจะมีสาเหตุจากทั้งภายนอกและภายในร่างกาย ได้แก่
- สาเหตุภายในร่างกาย ได้แก่ การอักเสบภายในร่างกาย ท้องผูกเรื้อรัง เครียด นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ภูมิแพ้อาหาร ภูมิต้านทานร่างกายต่ำ
- สาเหตุภายนอก ได้แก่ การเกิดปฏิกิริยาระหว่างผิวหนังกับสารเคมีที่สัมผัสกับผิวหนัง ทำให้เกิดการระคายเคือง ผิวแห้ง และเกิดผื่นแพ้ตามมาได้ สารเคมีเหล่านี้ ได้แก่ เครื่องสำอาง น้ำหอม ผงซักฟอก
โปรแกรมการรักษาโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
ถึงแม้ว่าโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังนี้จะเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ แต่หากปฏิบัติตามคำแนะนำและดูแลผิวอย่างถูกต้องก็จะช่วยทำให้อาการต่างๆ ของโรคบรรเทาลง และหายได้เร็วขึ้น ซึ่งควรปฏิบัติตนตามคำแนะนำดังนี้
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดภูมิแพ้อาหารอย่างเคร่งครัด เพราะการรับประทานอาหารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้จะยิ่งส่งผลกระทบต่อระบบภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้อาการแย่ลงได้
- งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ควรนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง
- หาวิธีจัดการกับความเครียด เนื่องจากความเครียดจะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมน Corticotropin และ Cortisol ซึ่งส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานบกพร่องได้
- หลีกเลี่ยงการล้างมือบ่อยๆ หรืออาจจะทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวสูตรอ่อนโยนโดยไม่ระคายเคืองผิว
- พยายามขับถ่ายเป็นประจำทุกวัน เพื่อลดการสะสมสารพิษในร่างกาย
- เนื่องจากผู้ที่เป็นโรคนี้มักมีระดับกรดไขมันจำเป็นต่ำ จึงควรเพิ่มการรับประทานกรดไขมันจำเป็นที่ช่วยลดการอักเสบ ได้แก่ กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า-3 (Omega-3) ที่พบในน้ำมันปลา น้ำมันเมล็ดป่าน
- หลีกเลี่ยงสารปรุงแต่งในอาหาร เช่น สารกันบูด สารแต่งกลิ่น
- หลีกเลี่ยงรังสี UVA และ UVB ในแสงแดด
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาย้อมผม
- เน้นการรับประทานอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลและไขมันอิ่มตัวต่ำ ได้แก่ ผัก ผลไม้ ถั่ว
กรณีที่มีปัญหารอยดำจากการเป็นผื่นแพ้ผิวหนัง สามารถรักษาได้หลายวิธี ได้แก่
- การทาครีมปรับสภาพผิวที่มีส่วนผสมของสารไวท์เทนนิ่ง เช่น สารสกัดจากรากชะเอม (Licorice) สารสกัดจากมะขามป้อม ขมิ้น และวิตามินซี อาร์บูติน เรตินอล หรือกลุ่มซาลิไซลิกแอซิด อเซลิอิกแอซิด
- การทาครีมกันแดด ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อย 30 เป็นประจำทุกวัน เพื่อป้องกันไม่ให้รอยด่างดำเข้มขึ้นหรือเกิดรอยด่างดำใหม่ขึ้นอีก
- การใช้กรดผลไม้ (AHA) ซึ่งเป็นเอนไซม์จากผลไม้ มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ทำให้เซลล์ชั้นบนของผิวลอกออก และมีการสร้างเซลใหม่ขึ้นมา ทำให้ผิวดูขาวขึ้น จึงช่วยให้รอยดำจางลงได้ แต่ควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อป้องกันการเกิดข้อแทรกซ้อน เช่น การระคายเคืองผิว แต่ในกรณีของคุณฐาปนีย์ที่มีปัญหาผื่นแพ้สัมผัส Contact dermatitis อาจต้องใช้ความระมัดระวังในการรักษาสูงขึ้น
- การผลักยาเข้าสู่ผิว โดยใช้กระแสไฟฟ้าที่อ่อนโยนต่อผิว ร่วมกับการใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวน์ในการนำพาสาร เช่น กรดวิตามินเอ วิตามินซีที่มีฤทธิ์ช่วยลดรอยด่างดำของผิวได้
- การใช้เลเซอร์กลุ่ม Nd Yag 532 หรือ 1064 nm ความยาวคลื่นยาว หรือเลเซอร์ที่มีความจำเพาะต่อเม็ดสี หรือแสงเข้มข้น IPL เพื่อช่วยลดรอยด่างดำและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ เป็นวิธีที่ช่วยลบรอยดำได้เร็วที่สุด
https://www.mediscicenter.com/content/6891/%e0%b9%82%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b9%81%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b8%b2%e0%b9%82%e0%b8%a3%e0%b8%84%e0%b8%9c%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b8%a0%e0%b8%b9%e0%b8%a1%e0%b8%b4%e0%b9%81%e0%b8%9e%e0%b9%89%e0%b8%9c%e0%b8%b4%e0%b8%a7%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%87
ฝากติดตามสาระดีๆมากมายที่
• Youtube : https://www.youtube.com/c/MedisciCenter
• Instagram : https://www.instagram.com/medisci
• Facebook : https://www.facebook.com/Medisci
• Website : https://www.mediscicenter.com
• Twitter : https://www.twitter.com/Medisci
• Podcast : https://doctoratchima.podbean.com