ถ้างานนั้นเป็นงานประจำคงจะดีเพราะ ภาษี, เงินค่าประกันสุขภาพ+เงินบำนาญ บริษัทช่วยคุณออก50% เเต่ถ้าเป็นงานชั่วคราว(part time) คุณเเม่บ้านทำงานมาก รายได้เยอะขึ้น ไม่เป็นผลดีต่อครอบครัวเลย คุณๆอาจจะสงสัยว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้น
ยกตัวอย่าง
-ตอนที่เราตกงาน เงินเดือนพ่อบ้านจ่ายค่าภาษี
ค่าประกันสุขภาพ+เงินบำนาญในส่วนของพ่อบ้านเองเเล้ว ลูกบ้านที่ไม่มีรายได้(เราเเละลูก)ก็จะได้รับสิทธิ์นั้นด้วย โดยเฉพาะบัตรสุขภาพ จำเป็นมาก เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลที่เเพง ถ้าพ่อบ้านไม่มีงานทำ ก็ต้องจ่ายค่าประกันสุขภาพเอง ซึ่งเเต่ละเดือนเป็นจำนวนเงินไม่น้อย โชคดีที่ยังมีงานทำ
พอเริ่มทำงานpart time ปีเเรก รายได้ยังไม่เยอะ ไม่เกินระดับที่ต้องเสียภาษี(1,030,000ขึ้นไป เสียภาษี15%) รู้สึกสนุก เริ่มทำเยอะขึ้นๆ รายได้เกินระดับที่ต้องเสียภาษีเอง ซึ่งต้องจ่ายเองล้วนๆ เเละก็มาถึงระดับที่มีรายได้จนต้องจ่ายเงินค่าประกันสุขภาพ+เงินบำนาญ ซึ่งอันนี้หนักหนาสาหัส เป็นเงินหลายตังค์ต้องจ่ายเองอีก ไม่มีบริษัทช่วยจ่าย....พ่อบ้านบ่นอุบ เพราะมันไม่คุ้มกับรายได้ที่ได้เพิ่มขั้นมา ซึ่งเห็นท่าจะจริงเพราะถ้าคุณทำงานได้เดือนละ120,000เยน เเต่ต้องจ่ายค่าประกันสุขภาพ+เงินบำนาญ35,000เยน ค่าภาษี18,000เยน ซึ่งเหลือรับจริงๆเเค่67,000เยน.....มันน่าปวดใจเเค่ไหน สู้เราทำเเค่ให้มีรายได้เเค่เดือนละ67,000เยนไม่ดีกว่าเหรอ....คิดเเล้วปวดใจจี๊ดๆ ยอมเสียรู้ปีเดียว ปีหน้าไม่เอาเเล้ววววววว เข็ดเเล้วววววววว หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าทำไมคุณเเม่บ้านญี่ปุ่นไม่ชอบทำงาน อ่านจากเคสของเราเเล้วคงจะช่วยตอบข้อสงสัยได้บ้างเเล้ว คือเขาทำ เเต่ไม่ทำมาก เพราะมันได้ไม่คุ้มเสีย(ถ้างานบริษัทก็ดีไป เพราะออกกันคนละครึ่ง) สำหรับเราเเล้ว คิดว่ารัฐบาลญี่ปุ่นเคี่ยว น่าจะกำหนดรายได้ต่อปีของpart timeไว้ที่1,500,000เยน จึงค่อยมาเก็บค่าโน่นค่านี่ เซ็งในอารมณ์ สรุปเราทำงานได้ไม่คุ้มกับที่เสียเวลา เสียเเรง เพราะส่วนหนึ่งต้องจ่ายให้รัฐบาลญี่ปุ่น.....เซ็ง..........
ตารางรายได้ของพาร์ทไทม์ที่มีผลต่อภาษี ประกันสุขภาพ+เงินบำนาญ
สรุป สำหรับเเม่บ้านในญี่ปุ่น ถ้าทำงานพาร์ทไทม์ ควรระวังไม่ให้รายได้เกิน1,300,000เยนต่อปี(1,299,999เยนต่อปี) รายได้เท่านี้จะเสียเเค่ภาษี15%เท่านั้น ส่วนอื่นๆยังอาศัยของพ่อบ้านได้ ช่วงรายได้1,300,000-1,600,000เยนต่อปี เป็นช่วงที่ไม่น่าทำที่สุด เพราะต้องจ่ายให้รัฐบาลเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมด