คุโบตะ...ปรมาจารย์กิโมโน




ภาพจาก sequinsandcherryblossom.com









๓๑ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๕o หนึ่งในนักโทษในแค้มป์นักโทษสงครามคือ อิชิคุ คุโบตะ แม้จะเจอสภาพที่เลวร้าย ความสามารถของเขาก็ยังเป็นที่ต้องการมาก อิชิคุ คุโบตะไม่เคยเปิดเผยความลับของเขา มีแค่ครั้งเดียวที่เขาเผลอพูดออกมาระหว่างช่วงเวลารุ่งเรืองที่สุดในชีวิต เขาเคยมีวิสัยทัศน์ซึ่งกลายเป็นพื้นฐานของเทคนิคที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา





ท่านบาโช


ก้อนน้ำแข็ง
กลิ้งหลุน ๆ
จับตัวเป็นม่านหิมะ


นักกวีไฮกุที่มีชื่อเสียง มัซซึโอะ บาโช เขียนไฮกุบทนี้ในช่วงศตวรรษที่ ๑๗ เกือบ ๔oo ปีก่อนศิลปินเกิด ห้วงเวลาของเขาเหตุการณ์เศร้าเกิดขึ้นที่ซึจิกาฮานะ ศิลปะของสีบนสิ่งทอถูกประกาศว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และความรู้ในการทำสูญหายไป หลายศตวรรษต่อมา อิชิคุ คุโบตะ ฟื้นฟูเทคนิคเก่าแก่ที่ไม่เหมือนใครของศิลปินโบราณ เปรียบเสมือนกวีไฮกุของบาโชได้รับบางอย่างถาวรบนผืนผ้าใบของเขา กิโมโนของเขา










ในเมืองที่น่าประทับใจ ฟูจิกาวะ ฟูจิโกะ ตรงเชิงเขาฟูจิยาม่า มีขุมสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์พอตัวอยู่ในภูมิประเทศ พอคุณข้ามธรณีประตูของวัดแห่งศิลปะนี้ คุณจะเริ่มรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ สถาปัตยกรรมของพิพิธภัณฑ์คืองานศิลปะในตัวมันเอง การผสมกลมกลืนของแนวคิดหลากหลาย อิชิคุ คุโบตะ สร้างโรงงานของเขา ตอนนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใช้วัสดุท้องถิ่นเท่านั้น เป็นการรวมตัวของวัฒนธรรมที่น่าทึ่ง แต่ส่วนประกอบที่น่าทึี่งที่สุดทอดตัวอยู่ล้ำลึกภายในคือแหล่งสะสมศิลปะทำมือที่น่าทึ่ง






นอกจากความยุ่งยากของการเป็นเชลยของเขา โดยรวมแล้ว คุโบตะไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อ เพราะช่วงเวลาที่ใช้ในแคมป์นักโทษ เขาสร้างบางอย่างที่พิเศษขึ้น ซึ่งเล่นบทสำคัญในชะตากรรมของเขาเองด้วย แต่คนอิสระที่แท้จริงเท่านั้นที่ถึงจะเป็นคนสร้างสรรค์ได้ นอกเหนือจากสภาพแวดล้อมของเขาแล้ว จิตวิญญาณของคุโบตะยังเสรี และความอิสระหล่อเลี้ยงแรงบันดาลใจ ปรากฏการณ์คุโบตะเข้าใจได้ ถ้าคุณลองเอาตัวเองไปอยู่ในที่ ๆ เขาเคยอยู่ ความสามารถที่โลกผ่านสายตาของศิลปินมามากกว่านักโทษ สงครามพวกนั้นไม่เพียงช่วยชีวิตเขาจากสิ่งเลวร้ายที่สุด มันยังทำให้คุโบตะพัฒนาคุณค่าการสร้างสรรค์ของเขา






รูปแบบน้ำแข็งบนหน้าต่างจู่ ๆ กลายเป็นดอกไม้ที่สวยงามในจินตนาการของศิลปิน เกล็ดหิมะมหึมาพบได้ในป่าไทก้า ไซบีเรียเท่านั้น ที่ต่อมาถูกนำมามีชีวิตอยู่บนผืนผ้าใบของศิลปิน คุโบตะพบความงามที่เพื่อนนักโทษเห็นว่าเป็นเพียงความยากลำบากเท่านั้น เขาจึงพยายามหาจานสีที่สมบูรณ์ที่สุดในชีวิตประจำวันของเชลยที่มืดมัว ป่าไทก้า ไซบีเรียกลายเป็นห้องทดลองของศิลปินผู้สร้างสรรค์ เขาให้ความสนใจอย่างยิ่งยวดกับทุกรูปร่างและรายละเอียดเพื่อความผ่อนคลาย ขณะที่อยู่ไซบีเรีย คุโบตะไม่เพียงค้นพบเทคนิคที่ก่อตัวเป็นพื้นฐานของสไตล์ที่เลียนแบบไม่ได้ของเขา แต่ยังเป็นพลังของแสงที่ยอดเยี่ยม มันอาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่มันอยู่ในไซบีเรียที่เขาเข้าใกล้กว่า เพื่อหากุญแจไขปริศนาของจิตรกรโบราณ ขณะที่ตักน้ำ คุโบตะสามารถดำลงสู่โลกคู่ขนานของเขาที่เขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่สามารถเห็นหลายสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถมองเห็นมันได้






ในแคมป์ก่อนวันปีใหม่ คุโบตะสร้างขุมทรัพย์ของเขาเองเช่นเคย เขาขอพรเพื่ออิสรภาพซึ่งในที่สุดก็เป็นความจริง เทพแห่งโชคชะตาทั้งเจ็ดจะมาแข่งตรงหน้าเขา จากส่วนลึกของจักรวาล เรือมหัศจรรย์จากตำนานญี่ปุ่นคงฝ่าความหนาวเย็นของไซบีเรียมาหลายวัน เพื่อมาพาเชลยไปยังโลกลี้ลับและมีความสุข การล่องของมันเต็มไปด้วยสายลมอิสระที่รอมาช้านาน






อิชิคุ คุโบตะ ฉลองก้าวแรกสู่ศตวรรษที่ ๒๑ ทำงานการสร้างสรรค์สำคัญ ประกอบด้วยกิโมโนที่น่าอัศจรรย์เกือบ ๑oo ตัว ผื้นผ้าใบ ๑๓ ผืนยังคงไม่เสร็จ และพวกมันยังเป็นแบบร่าง ศิลปินได้เสียชีวิตในปี ๒oo๓ ไม่กี่ปีพิพิธภัณฑ์ที่เขาสร้างประสบปัญหาการเงินอย่างรุนแรง ผู้ดูแลหวังว่าจะช่วยกู้คอลเล็กชันจนถึงที่สุด แต่โชคร้าย ไม่มีใครกระตือรือล้นในการช่วยเหลือ และเตรียมเริ่มขายงานชิ้นเอกของคุโบตะที่ประมูลไปทีละน้อย จนกระทั่ง Patokh Chodiev นักธุรกิจชาวรัสเซียผู้ร่ำรวยที่รักประเทศญี่ปุ่นเข้ามาช่วยเหลือ รับซื้อผลงานทั้งหมดไว้






ก่อนที่จะเสียชีวิตไม่นาน คุโบตะให้สัมภาษณ์ไว้ว่า

"ผมอยากอยู่จนถึงร้อยปี ผมไม่อยากจะเป็นคนแก่เหี่ยวย่นที่เป็นภาระให้กับคนอื่น ซีรีส์ของกิโมโนที่ผมควรอยู่ให้ถึงหนึ่งร้อย ผมแน่ใจว่าผมสามารถทำมันได้ ผู้สืบทอดของผมจะทำต่อในสิ่งที่ผมได้เริ่มมันเอาไว้ ผมจะพยายามให้มันอยู่ถึงร้อยปี ถ้ามัจจุราชมา ผมก็จะไล่มัจจุราชไปเอง"






ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ดูมั่นใจว่ามรดกของเขาไม่เพียงปลอดภัย แต่มันจะยังเจริญเติบโตต่อไป มันคงจะเกินกว่าน่าเสียดาย ถ้าหากว่าศิลปะที่มีเอกลักษณ์นี้จางหายไปตามกาลเวลา แบ่งปันโชคชะตาของประวัติศาสตร์ซึจิกาฮานะ ใครจะรู้ว่าผ่านไปกี่ศตวรรษก่อนศิลปินที่หลงใหลความงามคนอื่นจะเข้ามา ผู้ที่อาจจะสามารถตอกย้ำความชำนาญที่สร้างสรรค์ของอิชิคุ คุโบตะ และนั่นไม่ใช่ความตั้งใจที่แท้จริงของอาจารย์หรือ ในขณะที่อนาคตใครที่จะสามารถหยังรู้ความลับของเขา และทำงานที่ค้าง ๑๓ ชิ้นของเขาให้สำเร็จ นั่นคือพรหมลิขิตที่ต้องสืบทอดมรดกของเขา เพื่อสะพานเชื่อมอดีต ปัจจุบัน และอนาคตในจักรวาลที่แสนอัศจรรย์ของศิลปินที่โดดเด่น "อิชิคุ คุโบตะ"















Sakuo Miahara
ลูกศิษย์และภัณฑารักษ์พิพิธภัณฑ์ Itchiku Kubota



"อาจารย์เล่าให้ผมฟังว่า ทหารขอให้เขียนภาพผู้หญิง เขาก็ทำโดยการดูเธอผ่านกล้องส่องทางไกล คุโบตะไปเยี่ยมทหารทุกเย็นแล้ว เขาบอกว่าทหารจ่ายและเปลือกมันฝรั่งหนา ๆ และนักโทษคนอื่น ๆ ทำอาหารกินกัน ที่จริงนักโทษและยามก็แบ่งปันกันในคุก เพราะพวกเขาอยู่ด้วยกันตลอดเวลา การที่ไม่มีผู้หญิง รูปภาพหญิงเปลือยที่ร่างโดยคุโบตะกลายเป็นของขวัญล้ำค่าสำหรับยามที่แค้มป์ตอนปีใหม่ หากเพียงเขารู้ว่าศิลปินจะดังแค่ไหนในอีกหลายปีต่อมา พวกเขาคงจะรักษารูปให้ดียิ่งกว่านี้"





วัดยาสุโคนิ
ภาพจาก wallpapers.brothersoft.com



"อาจารย์ไปเยือนวัดยาสุโคนิมากกว่า ๑ ครั้งเพื่อไปชมดอกซากุระบานที่นั่น ต้นซากุระเป็นต้นไม้ที่มีดอกบานสะพรั่งในตอนนั้น ผู้คนก็ร้องเพลงซีจิงในสไตล์แบบจีน อาจารย์พูดเสมอว่าน่าเศร้า ขณะที่ท่านฟังเสียงเพลง I Survive Them All แล้วผมก็เห็นอาจารย์ร้องไห้ กลีบดอกซากุระจริง ๆ ที่ร่วงพรั่งพรูมันอยู่คู่ไปกับบทเพลง มันให้อารมณ์ที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก ผมจำที่อาจารย์ได้พูดกับผมว่า "ฉันจะช่วยพวกเขาให้รอดให้มากที่สุดเท่าที่จำทำได้"





ทางเข้าวัดยามซากุระบาน
ภาพจาก supertrendjapan.blogspot.com



"นักโทษสงครามไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้แต่ลวดสักเส้นนึง ตอนที่พวกเขาลองไปหาสถานที่ก่อสร้าง พวกเขาก็ทำวิกและวัตถุอื่นจากสิ่งของเหล่านั้น และใช้เวลาไปอย่างนั้น พวกเขาเป็นกองทหารเพื่อไปแสดงละคร"

มีแค่อย่างเดียวที่การแสดงละครขาดไป ตัวละครสมัครเล่นไม่มีนักแสดงหญิง แต่นั่นไม่ได้เป็นส่ิงกีดขวาง เพราะตามประเพณีละครคาบูกิญี่ปุ่นทุกบทเล่นโดยผู้ชาย ยามนักแสดงชายอยู่ในชุดและแต่งหน้าขึ้นเวทีแล้ว ทหารรัสเซียไม่เชื่อสายตาตัวเอง พวกเขาอึ้งทุกครั้งที่สาวสวยญี่ปุ่นปรากฏตัวบนเวที

"ปกติแล้วสงครามจะพูดถึงความลำบากที่แสนสาหัสมาก แต่ว่าอาจารย์ไม่เคยพูดถึงมันในทางนั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว"






คอลเล็กชั่นใน "Symphony of Life" เริ่มด้วยงานนี้ "The Sun" ภาพที่สำคัญกับตัวเขา มันเป็นเครื่องหมายจุดเริ่มต้น ตอนที่เขาถูกเรียกไปอยู่ตรงหน้า เขาคิดว่าเขาจะไม่ได้เริ่มย้อมผ้าอีก เขาได้เห็นพระอาทิตย์ในไซบีเรีย เขาวาดภาพนี้ สำหรับอาจารย์แล้ว ชีวิตในแคมป์ที่ไซบีเรียและการกลับมาสู่บ้านเกิดได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น เป็นแรงกระตุ้นให้เริ่มย้อมผ้าอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง






"ผมออกจากงานที่โรงแรมและมองหางานใหม่ ตอนที่ผมเห็นบทความนสพ.ที่พูดถึง อาจารย์อิชชิคุ คุโบตะ ผมตัดสินใจว่า ผมอยากได้รับการฝึกจากเขาไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตาม โรงงานเริ่ม ๘.๓o น. แต่ผมมาถึง ๘.๑o น แล้วก็วุ่นอยู่กับการย้อมอยู่ ๒o นาที มันเป็นอย่างนั้นต่อเนื่องถึง ๘ ปี ตัวงานเองทีแรกเราไม่ได้ให้ใช้พู่กัน ตลอดสามปีเราทำเรียกว่า ซัก-ล้าง งานของเราคือล้างผ้า แต่ขั้นตอนทั้งหมดใหม่สำหรับผม เพราะฉะนั้น สามปีก็ผ่านไปรวดเร็วมาก อาจารย์ไม่สั่งให้เราสังเกตหรือเรียนรู้ มันเป็นเหมือนกับแบบนี้ ถ้าคุณจำได้ คุณก็จะทำมัน ซึ่งผมคิดว่านั่นคือความลับ อาจารย์บอกให้เราสังเกตแล้วก็ฝึกฝนเอาเอง และผมคิดว่าไม่มีผู้เชี่ยวชาญคนไหนสามารถสร้างพื้นฐานเทคนิคซึจิกาฮานะอย่างที่ท่านหวังในอดีต แล้วก็มาเติมส่วนเล็ก ๆ ของท่าน อาจารย์สร้างเทคโนโลยีด้วยการนำมาใช้มากกว่าเป็นลายบนผ้า ท่านยังผสมวิธีที่ต่างไป รวมถึงการวาดสีน้ำมันด้วย เป็นเทคนิคที่น่าทึ่งเป็นอย่างมากทีเดียว"






"อาจารย์เดินทางมาก วันหนึ่งท่านแวะมาที่ฮาโกเน่ตอนที่มีพายุ ที่นั่นเราโผล่มาจากอุโมงค์ ภูเขาไฟฟูจิปรากฏเป็นสีเขียวครามอยู่ต่อหน้าต่อตาเรา ตอนนั้นอาจารย์พูดขึ้นมาว่า "มันเป็นเหมือนภูเขาที่ถูกระบายสีไว้ ท่านบอกว่าฟูจิเป็นภูเขาที่ศักดิ์ิสิทธิ์ และแต่ละครั้งมันเผยมุมมองใหม่ให้ท่าน ตอนที่เราไปได้ครึ่งทางของจุดมุ่งหมายนั้น และเดินท่ามกลางสิ่งก่อสร้าง ผมเห็นฟูจิเป็นสีแดงที่ไร้ที่ติที่ฝั่งตรงข้ามของถนน มันสวยงามมาก ฝนที่ชะไปเมื่อคืนก่อน ภูเขาตระหง่านโดยที่ไม่มีหิมะปกคลุม ในแสงอาทิตย์ฤดูร้อนยามเช้าก็ไม่เคยได้เห็นฟูจิเป็นสีแดงตอนไหน ๆ อีกเลย"






ศิลปินถูกครอบงำโดยความใฝ่ฝันของเขา เพื่อส่งความงามของธรรมชาติ เพื่อแสดงมันในวิธีที่ไม่มีใครอื่นเคยทำมาก่อน เขาเฝ้ามองหาแหล่งบันดาลใจใหม่ ๆ เขายังยึดมั่นกับตัวเองในการค้นหาความงาม แม้ว่ามันจะอันตรายก็ตาม

"เสมือนว่าอาจารย์ท้าทายหลายสิ่งที่ท่านไม่เคยทำมาก่อน ตอนอายุ ๗๑ ปี ท่านได้รับใบอนุญาตให้ดำน้ำลึก ไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับอนุญาตโดยที่ว่ายน้ำไม่เป็น แต่ว่าอาจารย์ทำได้ ตอนอายุ ๗๑ อาจารย์บอกว่า หลังจากที่กระโดดลงจากขอบเรือหาปลา ท่านรู้สึกกลัวแทบตายเลยในตอนนั้น"

ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีพรสวรรค์ของการสัมผัสความงามของโลกรอบตัวเรา และเพียงจำนวนน้อยนิดที่ได้รับเลือกสามารถส่งผ่านสิ่งที่พวกเขาเห็นในวิธีที่เราเรียกว่า "อัจฉริยภาพ" ไม่ต้องสงสัย คุโบตะเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ถูกเลือก






เขาเป็นประเภทพวกปฏิวัติ เขาสร้างหนทางของเขาเอง นิทรรศการของเขาจัดขึ้นนอกญี่ปุ่นบ่อย ๆ เพราะคนญีุ่ป่นเองไม่เข้าใจหรือชื่นชมกับสิ่งที่เขาทำมากนักหรอก

"อาจารย์ไม่ได้เป็นแค่ศิลปินเท่านั้น อิชิคุ คุโบตะ เป็นมนุษย์สูงกว่าดวงอาทิตย์ ลึกกว่าทะเล นั่นเป็นความยิ่งใหญ่เป็นอย่างมากของอาจารย์ ผมพูดเปรียบเทียบ แต่มันซับซ้อนที่จะแสดงออกมาได้ ผมคิดว่าอาจารย์เป็นคนที่มีพรสวรรค์พิเศษที่ซ่อนอยู่ เพื่อเข้าใจแก่นสารของหลายสิ่งได้อย่างน่าทึ่ง"











เซลีน เฟรซาร์ต
หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาโครงการพิเศษและที่ปรึกษาอาวุโสด้านศิลปะ



เรารับเอาจินตนาการอัจฉริยะที่ปฏิวัติศิลปะโบราณของกิโมโนดั้งเดิม เขาจะปรับและเปลี่ยนมัน เขาให้ความลุ่มลึกในเชิงศิลปะมาก แม้แต่ในญี่ปุ่นปัจจุบันนี้ไม่มีใครเทียบเขาได้เลย อัจฉริยะคนนี้อยู่ในความลุ่มหลงของสิ่งลี้ลับ ไม่มีใครแม้แต่เพื่อนสนิทที่สุดของเขารู้ความลับเรื่องเทคนิคอันยอดเยี่ยมนี้

ผู้ที่มาเยือนมากมายยอมรับว่า หลังจากใช้เวลาหลายชั่วโมงตรงหน้ากิโมโน พวกเขาจะถูกครอบงำด้วยความรู้สึกหลากหลาย บางคนถึงกับสะอื้น สัมผัสทุกส่วนของคุณจะเปิดและตื่นตัว คุณจะรับรู้ได้ถึงกลิ่นของสวน น้ำที่โถมมา ความงานของกิโมโน คุณเกือบจะสัมผัสมันได้ และกลายเป็นการรับรู้ที่ลืมไม่ลง ทั้งนักประวัติศาสตร์ศิลป์และผู้มาเยือนพิพิธภัณฑ์ทั่วไปต่างก็รู้สึกได้แบบนี้เลยค่ะ

มันจะมีลักษณะเหมือนกับงานของ มองตาญ เซ็งอังตวน ของเซซานน์ ซึ่งเขาวาดจากมุมมองที่หลากหลายมาก และกับคลิ้ม และกลุ่มศิลปินทรงพลัง แน่นอนว่าคูโบตะก็เป็นศิลปิน เหมือนศิลปินและช่างฝีมือส่วนใหญ่ของชาวญี่ปุ่น

"ฉันชอบพระอาทิตย์มากค่ะ พระอาทิตย์ตก ฉันคิดว่ามันห่อหุ้มอยู่มาก เป็นสิ่งที่กระตุ้นเขาในแง่ของเวลาที่ใช้ในไซบีเรียดูดวงอาทิตย์ พระอาทิตย์ตกทุกคืน และได้รับคำปลอบโยนจากสิ่งนั้น มีการศึกษาวิธีที่แสงเปลี่ยนสี และกลายเป็นคำสำคัญมาก ๆ ในงานของเขา"






หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทันทีที่เขากลับจากไซบีเรีย เขามีวิสัยทัศน์ของเขาและมุ่งไปที่ศิลปะของตัวเอง ทดลองกับของหลากหลายกับผ้าของเขา ทั้งหมดนั้นก็เพื่อขยายเทคนิคซึ่งมีอิทธิพลกับเขาอย่างลึกซึ้ง และเป็นแหล่งของความกระตือรือล้นของเขา

"นั่นเป็นการให้คุณค่ากับงานของคุโบตะจริง ๆ แต่ว่าแท้จริงแล้วมันเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ในศิลปะสมัยใหม่อย่างแท้จริง มันเป็นศิลปะดั้งเดิมที่ไม่เหมือนใคร เป็นวิสัยทัศน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของหลายสิ่งหลายอย่าง ไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำกันในสายงานของกิโมโน และหายากมากในสายงานของศิลปะ

เราสามารถจะยืนอยู่ได้ทั้งชั่วโมงตรงหน้ากิโมโนนั่น แต่เราจะไม่เห็นรายละเอียดเหมือนกันทั้งสองอันเลยค่ะ และนั่นทำให้มันน่าสนใจอย่างมาก มันคือการหารายละเอียด และพอเราได้ยินว่ามันอาจทำให้คุโบตะใช้เวลาทั้งปีเพื่อผลิตกิโมโนหนึ่งตัว เราจะเริ่มเข้าใจดีว่าเขาใช้เวลาทำกิโมโนได้อย่างไรบ้าง"












มิซะ ทาเคโอกะ



"ฉันคิดว่ามีความลับอย่างแน่นอนค่ะ ฉันไม่ควรจะไปตัดสิน แต่ตัวอาจารย์เองดูจะรำคาญใจกับมันที่สุด งานฝีมือจะตกไปในมือของคนอื่น และเขาบอกว่าสหายของเราตายตอนเป็นเชลย แล้วเขาไม่เชื่อ และเขาอาจได้กลับบ้าน แน่นอนเราที่มีชีวิตอยู่ช่วงนั้น ญี่ปุ่นไม่ต้องเจอกับความลำบากนั้น แต่อาจารย์เผชิญกับความลำบาก ตาของฉันรื้นไปด้วยน้ำตาทุกครั้งที่คิดถึงมัน"

"และพอมาถึงจุดที่เขาคิดว่าเขาไม่มีวันกลับไปญี่ปุ่น เขาเห็นพระอาทิตย์ตก อาจารย์กล่าว่า เขาได้รับข้อเสนอให้วาดรูปพระอาทิตย์ตกถ้าเขาอยากกลับ และเขาก็รักษาสัญญา ฉันเห็นภาพนั้นที่นิทรรศการ เขาแสดงภาพพระอาทิตย์ตกที่น่าอัศจรรย์เพียงอย่างเดียว แสงของมัน..."

"ขอบคุณพระเจ้าที่ภรรยาของอาจารย์รอและดูแลลูก ๆ ของท่านตลอดเวลานั้น ตอนที่อาจารย์กลับมาบ้านท่านเริ่มย้อนผ้า ซึ่งได้เงินน้อยมาก และอย่างที่ท่านบอก เขาทุกข์มากเพราะต้องจ่ายค่าอาหารเช้ากับลูก ๆ ที่โรงเรียนแต่ว่าไม่มีเงิน การเเป็นเชลยของท่านทุกข์ทรมานมาตลอด แต่พอกลับมาญี่ปุ่นท่านต้องใช้ชีวิตอย่างเจียมตัวมาก และเป็นเพราะความพยายามของท่านที่ช่วยศิลปะซึจิกาฮานะที่ทำให้ท่านมีชื่อเสียงขึ้นมา"







"สิ่งทอดูสวยงามกับฉัน ที่ฉันหันไปหาเขาและถาม "ขอโทษค่ะ ช่วยทำกิโมโนให้เราได้ไหม?" และอาจารย์ก็ตอบว่า เขาจะทำตัวที่เหมาะให้กับฉัน และเชิญฉันไปที่บ้านของเขา และนั่นเป็นการเริ่มต้นของความคุ้นเคยของเรา ฉันมากับเพื่อนเพื่อมาเยี่ยมเขา เขาอาศัยไกลออกไปจากโตเกียว และฉันก็ดีใจมาก ๆ ที่ฉันนัดพบเขาได้"

นี่คือกิโมโนที่คุโบตะทำเป็นพิเศษเพื่อคุณทาเคโอกะ วันหนึ่งในการให้สัมภาษณ์ เธอให้หนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นที่จะเปลี่ยนชีวิตของหนุ่มน้อยญี่ปุ่น บทความเอ่ยถึงกิโมโนกับนกกระสา ทำโดยคุณทาเคโอกะขณะเธอมาเรียนกับคุโบตะ ชายหนุ่มขอให้เธอแนะนำอาจารย์กับเขา"

"งานแต่ละชิ้นใช้เวลามากและต้องการความหลงใหลมหาศาล แน่นอนค่ะ อาจารย์กล่าวว่าท่านไม่ต้องการจะขายงานของท่าน และจะไม่มีอะไรเหลือ ฉันเชื่อว่าท่านเสนอคุณค่าสูงส่งสำหรับพวกมัน มันจะเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ"

แต่เทพเจ้าทั้งเจ็ดแห่งโชคลาภที่เคยมาเข้าฝันในคืนอันมืดมิดที่ไซบีเรียไม่ทอดทิ้งเขาให้อยู่ในช่วงเวลาลำบากนั้น คอลเล็กชั่นได้รับการช่วยเหลือจากการหลงลืม











Viola Raikhel Bolot ที่ปรึกษาด้านศิลปะชั้นนำของโลก
และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งผู้อำนวยการศิลปะระดับโลกที่ปรึกษาหน่วยงาน 1858



"สำหรับฉัน ได้เห็นคอลเล็กชั่นคุโบตะเป็นครั้งแรก ที่ทำให้ฉันตะลึงก็คือแสงค่ะ ฉันไม่เคยเห็นแสงที่จับในศิลปะแขนงไหนในวิธีนั้นที่มันถูกจับบนสิ่งทออันน่าตะลึงบนกิโมโน"

ไม่ประหลาดใจเลยที่ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นที่ยอมรับชื่อ อิชิคุ คุโบตะ อิมเพรสชั่นนิสต์ในส่ิงทอผู้เดียวของโลก บทสรุปท้าทายของเขาทำให้รวมสิ่งที่คนญี่ปุ่นเห็นว่าขัดกัน และความลับนั้นคืออะไรกันแน่ คุโบตะทำอย่างไร ความตั้งใจของเขาจึงสำเร็จ

"โดยประวัติศาสตร์ เราเห็นผลที่ได้ที่ไม่ธรรมดาเสมอ และผู้บุกเบิกไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นหรือศิลปะจากญี่ปุ่น และการผสมผสานระหว่างศิลปะกับแฟชั่นนี้ก็มาจากญี่ปุ่น มันไม่ใช่ครั้งแรก เราเคยเห็นกันมาแล้ว แต่สิ่งที่ฉันคิดว่ามันไม่ธรรมดาเกี่ยวกับงานของคุโบตะก็คือ เกือบปูทางสำหรับความร่วมมือของศิลปะที่เราเห็นทุกวันนี้กับทาคาชิ มูราคามิ และ หลุยส์ วิตตอง"






"เขามีสัมผัสของละครในสิ่งที่เขาผลิต และในแง่ที่เขานำเสนอมัน ฉันคิดว่ามันดึงดูด อย่างเช่น นำแสดงในแง่ของละคร รอบ ๆ ตัวละคร และคิดว่านั่นสะท้อนจากพวกเขาว่ามันมีบางอย่างที่เป็นละครเกี่ยวกับงานของเขา มันโดดเด่นมาก ดีมาก ๆ

ที่คุโบตะประสบความสำเร็จในการสร้างสรรค์และการสร้างคอลเล็กชั่นกิโมโนที่ไม่ธรรมดานี้ ส่งผลช่วยสร้างทางเชื่อมความสุนทรีย์ระหว่างโลกยุโรปกับญี่ปุ่น ไม่ว่าคุณจะอยู่ในญี่ปุ่นมองดูงานศิลปะที่น่าทึ่งพวกนี้ หรือคุณจะมองผ่านสายตาสุนทรีย์ของชาวยุโรปในงานศิลปะของเขา"


การจัดงานนิทรรศการใหญ่เป็นธุรกิจที่ยุ่งยากและแพงมาก โชคดีคอลเล็กชั่นมีเพื่อนที่มีประสบการณ์ สามารถรักษามาตรฐานที่สูงของมัน











อลัน เคนเนดี



"เขาสร้างมันให้เป็นศิลปะทั้งหมด แม้แต่วาดทีละชิ้นมากมาย พวกมันตั้งใจให้เชื่อมต่อกันและกัน และสิ่งนั้นเอง กับผมถือว่าประสบความสำเร็จเทียบเท่าผ้าเชอร์รี่ที่โด่งดังของโมเนต์ เห็นได้ชัดจริง ๆ"

คำแปลว่า ดอกไม้ตรงทางแยก เป็นคำกวีอย่างแท้จริง และบ่อยครั้งที่ดีไซน์รวมถึงดอกไม้และพืชพันธุ์ และต้นไม้และสี มีแนวโน้มเป็นสีเหลือง เขียว แดง หรือสีธรรมชาติ ย้อมธรรมชาติ และนี่แหละเป็นแรงบันดาลใจอันสำคัญสำหรับคุโบตะ ตอนอายุ ๒o พอเขาเห็นภาพเล็ก ๆ ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติในโตเกียว แล้วเขาก็ถูกสะกดโดยสิ้นเชิง เขามองดูประมาณ ๒ ชม.โดยไม่ขยับ และมันก็คือโชคชะตาอย่างแท้จริง คุโบตะอยากให้ศิลปะแห่งซึจิกาฮานะฟื้นขึ้นมาอย่างแน่นอน แต่ความลับของจิตรกรโบราณยังเป็นสิ่งลี้ลับในอดีตกาล






"ผู้เชี่ยวชาญสิ่งทอมากมายในญี่ปุ่นรู้สึกเคืองขัดในเรื่องนี้ คือพวกเขาคิดว่าเขาไม่เคารพประเพณีสำคัญของทซึจิกาฮานะ และแม้ว่าเขาถูกเรียกชื่อต้น "อิชิคุ" ที่มี "ซึจิกาฮานะ" ต่อท้าย พวกเขารู้สึกว่าเขาไม่มีสิทธิที่จะใช้คำนั้น เพราะว่าเขาไม่ได้ทำซึจิกาฮานะของจริง แต่เขาเป็นศิลปิน เขาไม่สนใจแค่ลอกเลียนบางอย่างจากเมื่อ ๔oo ปีก่อนต่างหาก"






คุโบตะเติมชื่อของศิลปะโบราณใส่เทคนิคของเขาเอง เพราะความเคารพอย่างลึกซึ้งให้กับความทรงจำต่อจิตรกรโบราณญี่ปุ่น

"บางทีชาติก่อนตัวเขาเองเป็นศิลปินสิ่งทอที่ทำซึจิกาฮานะ อย่างไรก็ตาม คุโบตะพยายามอยู่หลายต่อหลายปีเพื่อสร้างสิ่งนี้ใหม่ และเขาก็พบว่าไม่สามารถหาผ้าไหมชนิดที่ต้องการได้ เขาใช้การย้อมแบบธรรมชาติที่มีความสลับซับซ้อน และตัดสินใจว่าเขาจะพัฒนาเทคนิคของตัวเองที่ได้แรงบันดาลใจโดยซึจิกาฮานะแทน แต่ว่าไม่มีการลอกเลียน เขากลายเป็นคนที่มีหัวศิลปะมากขึ้น และไม่สนใจในขั้นตอนโบราณใด ๆ แต่สนใจพัฒนาบางอย่างที่มาจากการได้แรงดลใจดั้งเดิมของเขาต่างหาก"

เขาตื่นตัวกับทุกโอกาสที่ที่เห็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติในสีที่น่าอัศจรรย์ที่สุด และยืนหยัดอยู่อย่างนั้นตลอดชีวิต คุโบตะทำตัวเหมือนกับนักล่าในการค้นหาแรงบันดาลใจของเขาเอง












คิโอโกะ ไซมิซุ



"ช่วงการปกครองของโตกุกาวะ ซึนาโยชิ ระหว่างปีค.ศ. ๑๘๖๑-๑๘๖๓ กฎหมายห้ามของฟุ่มเฟือยเกินจำเป็นถูกประกาศใช้ และฉันยังเชื่อว่ากฎหมายยังห้ามใช้ซึจิกาฮานะ แล้วนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้มันหายไป ด้วยเหตุผลที่อิชิคุ คุโบตะนำเสนอซึจิกาฮานะสู่ทั้งโลกในศตวรรษที่ ๒o และนั่น ศิลปะนี้จึงเป็นที่ชื่นชมโดยผู้คนทั่วโลก และมันกลายเป็นเหตการณ์ที่สำคัญมากจริง ๆ มันทำให้ศิลปะนี้เป็นที่รู้จักกว้างขวางมากยิ่งขึ้น






จะว่าไปแล้ว จิตรกรต้องการฟื้นฟูศิลปะของจิตรกรชาวญี่ปุ่นโบราณ ศิลปะที่สูญหายไปกับกาลเวลา และยุคต่อมามรดกของเขาวางรากฐานของโรงเรียนอิชิคุ คุโบตะนั่นเอง แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นในทันที หนทางสู่จุดสูงสุดเนิ่นนานและมีขวากหนาม











นาทัลยา มูราโดวา



"ฉันเทียบเขากับศิลปินรัสเซีย มิคาเอล บรูเบล ที่ควบคุมรายละเอียดเล็ก ๆ ที่มีชีวิตชีวามากถึงขนาดนั้น เหมือนกับโมเสกที่นำเสนอทั้งหมด มาดูใกล้ ๆ คุณจะได้เห็นรายละเอียดยิบ และพอถอยห่างออกไป งานศิลปะมันก็เริ่มทะยานออกมา

ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ ฉันคิดว่ามันต้องไม่จบไป มันไม่ควรจบค่ะ แม้ว่าเรารู้จากประวัติศาสตร์ว่างานศิลปะเดินทางและใช้ชีิวิตของมันเอง เหมือนกับลูกหลานของเรา พวกเขามีโชคชะตาของเขาเอง"












เดล กลัซแมน
อดีตภัณฑารักษ์และหัวหน้าแผนกผ้าและเครื่องแต่งกาย
ประจำพิพิธภัณฑ์ศิลปะของแอลเอเคาน์ตี และผู้แต่งหนังสือ "Kimono as Art"



"แต่ฉันว่ามันเข้ามามากขึ้นกับการผสานความเชื่อระหว่างความสนใจของเขา ตาของเขา อารมณ์ของเขา เป็นการถอดแบบมากกว่าการลอกหรือเลียนแบบ ฉันไม่คิดว่านั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นคู่ขนาน"






ช่วงปลายปีของการสร้างสรรค์ของเขา คุโบตะสร้างชิ้นงานศิลปะที่ไม่เหมือนใครหลายร้อยชิ้น นี่คือจักรวาล อันเป็นงานชิ้นสำคัญของเขา ได้รับการยกย่องว่าเป็นการสร้างสรรค์ที่ดีเลิศของเขา มันเป็นภาพที่น่าทึ่ง ความสำเร็จของกิโมโนที่น่าทึ่ง รวมเป็นภาพเดียวที่สมบูรณ์ แล้วพอคุณลงสู่ความลึกของจักรวาล จู่ ๆ คุณพบตัวเองในเค้าโครงและเส้นสายที่ยังไม่เสร็จของผลงานที่ยอดเยี่ยมนี้ ไม่มีความขัดแย้งระหว่างความงามและความสมถะของเค้าโครง ร่างสีขาว-ดำ ๑๓ ชิ้นอธิบายการเดินทางที่เหลือของจินตนาการของคุโบตะ และพาคุณสู่กำเนิดของจักรวาล Big Bang ออกมาจากใจของศิลปินอย่างไม่คาดฝัน และในช่วงเวลานั้นเขาเห็นซึจิกาฮานะเป็นครั้งแรก






"เขายังเปิดรับการคิดค้นเทคนิคใหม่ ๆ เพื่อจะหาวิธีใหม่มาทำให้มันออกมาหลากหลายอย่าง เป็นวิธีใหม่เพื่อเสนอกิโมโน เขาเป็นห่วงมากเรื่องกิโมโนจะหายไป และถ้าคนผสมมันเข้ากับชีิวตประจำวันในบางแง่จะทำให้เขาทำแฟชั่นกับกิโมโนในสไตล์ของโค้ดกับเข็มขัดได้ ที่ไม่ใช่โอบิและส้นสูง ใช้นางแบบที่เป็นชาวตะวันตก เขาจะมองหาวิธีที่จะนำกิโมโนเพื่อรักษาความดั้งเดิมไว้ และเพื่อนำมันสู่ศตวรรษที่ ๒oเขามีนิทรรศการนอกญี่ปุ่นหลายครั้ง แล้วพวกมันก็ได้รับการยกย่อง นิทรรศการหลายครั้งที่เราจัดที่ซานดิเอโก แล้วก็ไปต่อที่แคนตัน โฮไฮโอ นิทรรศการเดิียวกัน"











คิโอโกะ ไซบาตะ



"ในความเห็นของฉันแล้ว ในมุมจิตรกรของโลกที่ฉันเคยเห็นมา งานของปิกัสโซ่เท่านั้นที่ให้ความประทับใจได้ลึกล้ำขนาดนั้น"















Patokh Chodiev นักธุรกิจชาวรัสเซียผู้มั่งคั่งที่รักศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่น



"ตอนที่ผมมาเยือนพิพิธภัณฑ์ครั้งแรก ผมสนใจในฤดูหนาว เพราะซีรีส์ของกิโมโนแสดงภาพของทันดร้าและความหนาว ไม่ใช่ญี่ปุ่นทั่ว ๆ ไป ยกเว้นฮอกไกโดทางเหนือ มันทำให้ผมนึกถึงฤดูหนาวรัสเซียในไซบีเรีย ผมถามไกด์ของพิพิธภัณฑ์ว่า ศิลปินเคยเดินทางไปรัสเซียบ้างไหม เขาตอบว่า เคยไป และเป็นนักโทษสงครามอยู่ที่นั่นนานเสียด้วย"






ใกล้สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง เหมือนกับสหายหลายคนของเขา อิชิคุ คุโบตะถูกจับไปเป็นเชลย

"ผมรักประเทศนี้ ผมต้องการมันและมาที่นี่ มันบำรุงเลี้ยงผม คนญีุ่ปุ่นเป็นคนที่ซับซ้อนมาก พวกเขาต้องได้รับความเข้าใจ นี่เป็นวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่อื่นในเอเชีย ชาวจีนก็ใกล้เคียง เกาหลีก็ใกล้เคียง เอาเป็นว่าในหลายพื้นที่ แต่ว่าญี่ปุ่นเป็นชาติที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง"






ความรักของ Patokh Chodiev กับญี่ปุ่นเริ่มในวัยเยาว์ที่สถาบันความสัมพันธ์นานาชาติแห่งมอสโคว หลังจากจบจากสถาบันผู้สนับสนุนศิลปะในอนาคตทำงานในโตเกียว และค้นพบวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยตัวเองของดินแดนอาทิตย์อุทัย

"ไฟรุโช ตั้งชื่องานของเขาว่า "Bliss" บรรยายผู้หญิงฟ้อนรำในเครื่องแต่งกายศตวรรษที่ ๑๗ ละครหุ่นพื้นเมืองอาวาจิที่อยู่ในมอสโควไม่นานมานี้ ศิลปินพื้นบ้านตกแต่งเสื้อผ้าและกิโมโนประจำชาติ ศิลปะญี่ปุ่นวิเศษอย่างที่สุด เป็นไปได้ที่จะรักในสิ่งที่คุณเข้าใจ ผมต้องมนต์เสน่ห์ของคุโบตะ และผมก็ทิ้งข้อความไว้ บอกว่าผมเตรียมจะซื้อคอลเล็กชั่น มันเป็นสมบัติของญี่ปุ่น ผมแค่อยากทิ้งบางอย่างให้คนญี่ปุ่น โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่จะชื่นชมศิลปะในอนาคต"






"อย่างเดียวที่ผมต้องการแน่นอนก็คือ นำคอลเล็กชั่นไปรัสเซีย ผมอยากแสดงมันให้ผู้คนได้เห็น เหนือสิ่งอื่นใด ในรัสเซียมีความสนใจที่แรงกล้าในญี่ปุ่นและวัฒนธรรมของญี่ปุ่น ผมทำงานในคาซัคสถานมาเยอะ ผมอยากนำไปที่นั่น มีความสนใจในคอลเล็กชั่นอเมริกาเช่นเดียวกับในลอนดอน และถ้าคอลเล็กชั่นถูกส่งไปต่างประเทศ แน่นอนมันจะช่วยโปรโมทญี่ปุ่นและวัฒนธรรม

มันเยี่ยมมากที่กิโมโนของญี่ปุ่นจะได้เห็นกันทั่วโลก และผมก็รู้สึกขอบคุณเขามากกับสิ่งนั้น ไม่เพียงฐานะในเพื่อนของคุณโชเดียฟ แต่ว่าในฐานะที่เป็นคนญี่ปุ่นคนหนึ่งและนักการเมือง ผมขอบคุณเขาจากใจ เพราะว่ามันวิเศษมากจริง ๆ"












ยุกิโอะ ฮะโตะยะมะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น



"ผมมั่นใจกับวิธีพูดของคุณโชเดียฟ เขาเรียนรู้เยอะในญี่ปุ่น และที่เขาทำในตอนนี้ก็เพื่อสำนึกในบุญคุณ และผมก็ดีใจไปกับมันด้วย และผมรู้สึกขอบคุณจากใจไปยังคุณโชเดียฟและประชาชนชาวรัสเซียทั้งประเทศ ที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่ดีที่สุดเพื่อช่วยวัฒนธรรมและศิลปะในญี่ปุ่น"











โทมิโอะ นาริตะ เชลยสงครามที่ถูกจับพร้อมกับคุโบตะ



"เราถูกจับตั้งแต่เดือนส.ค. และเราก็ออกเดินทางไปไซบีเรีย ไม่เคยรับรู้เรื่องฤดูหนาวในไซบีเรีย ขณะที่เราเดินขาผมเจ็บเกินที่จะทน อาหารหายาก และบางทีนั่นก็เป็นสิ่งที่รวดร้าวที่สุด แค่นึกดูนะครับ ซุปรสชาติเหมือนน้ำมากกว่า เราไปที่ไร่ของรัฐเก็บมันฝรั่งแล้วบรรทุกมาทั้งหมดบนรถบรรทุกและเกวียนปุเลง ๆ ไป แล้วมันฝรั่งก็หล่นเรี่ยราดไปตามถนน เราเก็บมันขึ้นมากับปุ๋ยและหิน ตอนนั้นเราไปทำให้ร้อนถึงได้รู้ว่าว่าเป็นมัน

จากมันฝรั่งพวกนี้ นักโทษญี่ปุ่นทำแป้งต้มที่เรียกว่าแดงโก กดให้เป็นเส้นตรงจากที่ขูดที่ทำกันเอง พวกเขาเจาะรูจานโลหะและขูดมันฝรั่งผ่านมัน ขณะที่เป็นนักโทษสงครามนาริตะโชคดีที่ เขามีชีวิตกลับมาบ้าน หลายปีต่อมาเขาใส่ความทรงจำลงไปในกระดาษและอวดสเก็ตช์ให้เราดู เป็นเพราะความทรงจำของเขา เราพอจะนึกภาพภายใต้ชีวิตของอิชิคุ คุโบตะได้"







"นี่ไง เดินไปทำงานกับเลื่อย คันโยก มันยากที่จะเลื่อยต้นไม้ เราถูกจับคู่เพื่อตัดต้นไม้ใหญ่ และในเดือนม.ค.เขาก็บอกว่างานไม่เหมาะกับเรา ให้ไปช่วยงานในร่ม เราถูกปล่อยจากฝันร้าย แทน จะไปล้มต้นไม้ พวกเราก็ไปขนน้ำให้ครัวแทน เปลี่ยนหน้าที่ไปตั้งแต่ตอนนั้น

มันเป็นไปไม่ได้ที่จะขุดพื้นน้ำแข็งและฝังคนตาย พวกเขาก็เลยวางไปบนยอดเขาและปิดด้วยหิมะ เราไม่มีอะไรให้คนตาย ดังนั้น เราทำแป้งแดงโก้จากหิมะตั้งแต่ตอนนั้น"


อิชิคุ คุโบตะจำได้นอกจากความลำบากทั้งหมดของเขาตอนเป็นเชลย เขาไม่เคยตัดกิจกรรมที่ชอบออกไป และไม่ได้มีแค่การวาดภาพเท่านั้น











โยชิโร โมริ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น



"ที่จริงแล้ว กิโมโนเป็นสิ่งที่ให้แปลกใจ ยกตัวอย่างเช่น เราเริ่มด้วยความคิดกับสิ่งที่เราทำทุกวัน และมีการแสดงออกเพื่อรับอากาศจริง ๆ จะว่าไป เพื่อตั้งปกให้ถูกต้อง ถ้าคนญี่ปุ่นใส่กิโมโน มันหมายถึงว่าพวกเขาเห็นด้วยกับอาจารย์ และรับกฎของความสุภาพทั่วไป มารยาทดีและสิ่งคล้าย ๆ กัน"

การพับและรอยยับในเสื้อผ้าของคนยุโรปถือว่าไม่เรียบร้อย ในกิโมโน การพับเป็นสิ่งสำคัญมาก และพวกมันก็ถูกอนุรักษ์ในวิธีที่มันถูกใส่ พวกมันสะท้อนรหัสของศูยน์รวมพฤติกรรมและวัฒนธรรมญี่ปุ่น แนวคิดของการศึกษาถูกบรรยายในกิโมโน เจาะจงมากยิ่งขึ้น ในวิธีที่มันถูกเย็บ มีการเปรียบเทียบเส้นตรงในชิ้นที่ถูกเย็บ และวิธีที่ชีวิตควรถูกนำทาง กิโมโนจึงให้แนวทางชีวิต คุโบตะตามแนวทางนั้นตลอดชีวิตของเขา ไม่เพียงสร้างกิโมโนในแง่ของธรรมเนียมปฏิบัติอย่างช่างฝีมือ นอกจากนั้น เขายังเป็นศิลปิน กิโมโนแต่ละตัวที่เขาสร้างคือภาพ และมันเป็นงานศิลปะอย่างแท้จริงในทุก ๆ ชิ้น






"ผมประหลาดใจตอนที่ผมเห็นงานของคุโบตะครั้งแรก นั่นมันกิโมโนจริง ๆ หรือนั่น ผมคิดว่าพวกมันเป็นผื้นผ้าใบรูปร่างแบบกิโมโนซะอีก มันเหมือนผมไม่ได้จ้องกิโมโน แต่เป็นผ้าใบวาดภาพเกินขนาด จอ หรือแม้แต่ม่าน ความเหมือนนั่นแหละครับที่มันประทับใจผมเป็นอย่างมาก"

เพื่อสร้างผืนผ้าใบของเขา คุโบตะใช้เทคนิคพิเศษที่เขารู้คนเดียว ด้วยการอัดชิ้นผ้ารวมกัน เขาอัดช่องว่างเป็นจังหวะ มันจะระเบิดตอนที่มันถูกจุ่มในสี นี่ไม่มีปฏิกิริยาลูกโซ่ตามมา ศิลปินต้องจำไม่เพียงลายที่ซับซ้อน แต่ว่ายังเป็นแต่ละสีของส่วนประกอบเป็นร้อยที่เย็บลงไปเพื่อที่จะลงสี เขาทำให้ฉงนและประสานศิลปะกราฟฟิคและลายเรขาคณิตอย่างน่าอัศจรรย์

"มันเป็นความก้าวหน้าที่มีความหมายมาก ตามหลักแล้ว มันจะดีมากถ้ารัฐบาลซื้อคอลเล็กชั่นไว้ แต่ว่านั่นทำให้การคลังยุ่งยาก จึงเป็นเหตุผลให้คุณโชเดียฟซื้อทั้งคอลเล็กชั่น และมันไม่ใช่การแสดงท่าทีที่ไร้ความหมาย เขารักญี่ปุ่น เขาเห็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นเกือบจะเป็นของเขาเองด้วยซ้ำ นั่นเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม"











Marie-Hélène Guelton
นักออกแบบสิ่งทอและผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์สิ่งทอชาวฝรั่งเศส



"เขาบอกตัวเองว่า เขารู้สึกถึงความอันอ่อนโยนที่พู่กันของเขา แต่ละการตวัดของพู่กันเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก ขณะเดียวกันคุณลืมการตวัดพู่กันนั้นตอนที่คุณเห็นงานของเขา ฉันยังคิดเรื่องพื้นที่ ๆ ไม่ได้วาดบนผ้าที่ให้โอากสเขาลงเทคนิคโบราณบนผ้า และนั่นมันก็เป็นหมึกจีน เขาใช้หมึกดำเพื่อตัดให้สีละเอียดขึ้น และเขาสร้างจังหวะของดีไซน์โดยอาศัยสีดำเพื่อที่จะเน้นมัน เขาสร้างตัวอักษรด้วยการพลิกแพลงเสมอ มันก็ดีเลิศ เมื่คุณเห็นผลที่ออกมา คุณจะไม่รู้ว่าตวัดแรก ตวัดที่สองของพู่กันมาจากไหน หรือจบตรงไหน

เขายังปักด้วย อย่างเช่น ด้ายเงินลงบนสิ่งทอโดยตั้งใจ มันเป็นเทคนิคที่เขาอยากใช้ และนั่นเป็นการดัดแปลงและลดการใช้สีและแสงลงไป มันเป็นงานที่ชัดเจน และเป็นเพราะสิ่งนี้นี่แหละ ทันไดนั้น คุณก็ไม่แน่ใจแล้วว่าเขาใช้แค่เทคนิคยูเซ็นหรือเปล่า และบริเวณไหนที่ปิดด้วยข้าวต้มเพื่อจะปล่อยพื้นที่ว่างเอาไว้ จากนั้นค่อยมาเติมสีด้วยมือภายหลัง

ข้างหลังของฉันคือจูบัง คือชิ้นใต้กิโมโน และมันดูเหมือนทำมาเพื่อการแต่งงาน พิจารณาพื้นหลังสีแดงและลายผ้าที่ใช้นั้น มันเป็นผ้าพื้นฐาน การทอจะเป็นลายดอกไม้ ลายเมฆ และสวัสดิกะ และใช้เทคนิคชิโบริลงสีด้วยการย้อมที่ส่วนใหญ่ใช้ลายซ้ำ ๆ กัน"







คำว่า "ชิโบริ" มาจากคำกริยาว่า "ชิโบรุ" หมายถึงบิดขณะกด นี่ให้ความนูนกับผ้าขณะทำวงกลมเล็ก ๆ ที่เรียกว่า "คาโนคุ ชิโบริ"

"ที่ทำให้ฉันสนใจเป็นอย่างมาก อย่างเช่น การฟื้นฟูเทคนิคทซึจิกาฮานะเพื่อพิจารณาเส้นใย เส้นใยก็คือไหม อาจารย์ยังทำงานกับไหม แต่นั่นเป็นเพราะยากที่จะหาไหมที่เหมือนกันในศตวรรษที่ ๑๕ หรือ ๑๖ อิชชิคุ คุโบตะใช้ทรีตเมนเพื่อฟื้นฟูของดั้งเดิม ไหมย่นนี้แตกต่างจากไหมที่ใช้ในศตวรรษที่ ๑๕

เขาภาคภูมิใจกับงานของเขาเสมอ เขาอาจถือว่าพวกมันเป็นภารกิจของเขาเอง แต่ว่าเขาไม่เคยโอ้อวดความชำนาญของเขาเลย จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจและอ่อนน้อมสำหรับชาวญี่ปุ่น เขามีบุคลิกที่โดดเด่น ฉันรู้สึกเสมอ แต่ฉันก็ไม่เคยบอกเขา ฉันได้รับความอุ่นใจของมนุษย์จากอาจารย์เป็นอย่างมาก และฉันก็รู้สึกขอบคุณเขาในเรื่องนั้น บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งสำคัญที่เหลืออยู่ในใจฉัน"












Tetsuko Kuroyanagi
นักแสดงที่มีชื่อเสียงในระดับสากลและพิธีกรชื่อดัง



"เราพบกันเมื่อ ๑๓ ปีก่อน นักแสดงที่มีชื่อเสียงที่สุดใส่กิโมโนในญี่ปุ่นสมััยก่อน ฉันพบอิชชิคุ คุโบตะครั้งแรกตอนที่ฉันได้รับเชิญไปดูศิลปินคนที่แสนวิเศษและเชี่ยวชาญงานผ้า เขาเคร่งครัดมากพอมาถึงเรื่องผ้าและการย้อม เขาเข้มงวดกับตัวเอง มีโครงการที่เรียกว่า เดเดมอง อาร์ทส์ แม้แต่ทำเป็นรายการโทรทัศน์ แต่ในชีวิตปกติเขาเป็นคนใจดีและน่ารัก แต่ว่าเขามีความเข้มงวดมาก ผู้ที่ชื่นชมความสามารถของคุโบตะ รวมถึงคนดังทางทีวี นักธรุกิจหญิงและนักออกแบบแฟชั่น รูปนี้เขาถ่ายรูปคู่กับซอนญ่า ริเกล"






"มีไม่กี่คนเผยแพร่สิ่งที่เขาทำ และมีไม่กี่คนที่พยายามแทรกเข้าไปในรูปแบบต่าง ซึ่งฉันคิดว่าเขาเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ ที่ฉันจัดให้อยู่ในลักษณะพิเศษแบบดั้งเดิมและการคิดค้น และถ้าคุณใส่กิโมโนสักตัวของเขาละก็ แน่นอนเลยว่ามันจะต้องทำพิเศษเพื่อคุณ คุณจะโดดเด่นมาก จะเป็นคนพิเศษอย่างมากในห้องนั้น

อาจารย์ตัดสินใจสร้างเทคนิคนี้ใหม่ในปัจจุบันหลังจากที่มันหายไปจริง ๆ มันน่าทึ่งที่ความหลงใหลของเขาไม่จางหายไปกับกาลเวลา เขาไม่เพียงฟื้นฟูเทคนิคที่เคยมีก่อนหน้านี้ แต่เขายังเสริมความเชื่อส่วนตัวเล็กน้อยเข้าไปอีกด้วย และนั่นคือเหตุผลที่เทคนิคนี้เรียกว่า "อิชิคุ คุโบตะ ทซึจิกาฮานะ"













เอดเวิร์ด ชิพตัน ที่ปรึกษาด้านศิลปะชาวอังกฤษ



"บริษัท ๑๘๕๘ จำกัด เป็นบริษัทให้คำแนะนำธุรกิจนานาชาติ ได้รับเกียรติให้ทำงานกับคอลเล็กชั่นสำคัญทั่วโลก แล้วพอเจ้าของของคอลเล็กชั่นงานของอิชิคุ คุโบตะรับงานมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ และกิโมโนมาถึงเรา ขอให้เราดูและประเมินอย่างเหมาะสมและดูแลคอลเล็กชั่น พวกเขารู้ตอนนั้นและพวกเขายอมรับบางอย่างที่พิเศษและเหนือธรรมดาในงานชิ้นนี้"











ออโรลี ซามูเอล ผู้เชี่ยวชาญหลักในงานสิ่งทอญี่ปุ่นในยุโรป



"ในฐานะนักประวัติศาสตร์ศิลป์ชำนาญในเรื่องเอเชียและสิ่งทอเอเชีย ฉันบอกได้ว่าศิลปะของคุโบตะเข้ามาเป็นศิลปะที่พิเศษมาก ฉันอยากบันทึกว่าเป็นศิลปะที่สมบูรณ์เต็มที่ ฉันคัดออกมาเพราะว่าในประวัติศาสตร์ของสิ่งทอเอเชีย อย่างน้อยวิธีที่พิจารณากันในฝรั่งเศส ศิลปะสิ่งทอถือว่าเป็นงานฝีมือมากกว่าจะเป็นศิลปะที่สมบูรณ์ ถือว่าเป็นทักษะชำนาญ งานของคุโบตะเหมาะในประวัติศาสตร์ของภาพเขียนมากกว่าในประวัติศาสตร์สิ่งทอ"






ออโรลี ซามูเอล เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญหลักในงานสิ่งทอญี่ปุ่นในยุโรป เธอทำงานในพิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชียแห่งชาติในปารีส ยังเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นมูเซกีเมมีมีหนึ่งในคอลเล็กชั่นที่ดีที่สุดในโลก ขณะถ่ายทำเราแอบย่องเข้าไปดูที่พวกเขาเก็บงานที่ไม่เหมือนใครคู่กับสิ่งทอโดยปรมาจารย์เอเชียจากยุคที่ต่างกัน และคอลเล็กชั่นกิโมโนทำให้ตื่นตาตื่นใจ







Kimono As Art 1/3




Kimono As Art 2/3




Kimono As Art 3/3





ภาพและข้อมูลจาก
สารคดีเรื่อง "คุโบตะ ปรมาจารย์แห่งกิโมโน" ช่อง True Explorer 2




บล็อกนี้อยู่ในหมวดศิลปะ



บีจีจากคุณเนยสีฟ้า กรอบจากคุณ ebaemi
ไลน์จากคุณญามี่และคุณชมพร

Free TextEditor




Create Date : 16 ธันวาคม 2558
Last Update : 16 ธันวาคม 2558 22:20:37 น.
Counter : 3690 Pageviews.

0 comments
(ประชาชน)​ นอนฝันขอให้ได้เงินหมื่น​ (เจ้าสัว) นอนตื่นขอให้ได้เงินแสน​ (ล้าน) ปรศุราม
(18 เม.ย. 2567 11:39:20 น.)
สุขสันต์วันปีใหม่ไทย ๒๕๖๗ haiku
(13 เม.ย. 2567 10:13:33 น.)
几度花落时( จี่ตู้ฮวาลว่อสือ) by 任光 (เหยินก่วง)​ ปรศุราม
(5 เม.ย. 2567 10:45:31 น.)
วาดสวย สมาชิกหมายเลข 4313444
(27 มี.ค. 2567 08:29:19 น.)

Haiku.BlogGang.com

haiku
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]

บทความทั้งหมด