นิทานเซ็น "อย่าเพ่อวิ่งหนี..." โดยส่วนตัวแล้ว....ชีวิตในวัยเด็กค่อนข้างใกล้ชิดกับวัด เพราะตอนเด็ก ๆ อยู่กับคุณย่า และคุณยาย เสียเป็นส่วนใหญ่... เรื่องของธรรมะ จึงวนอยู่รอบ ๆ ตัว และค่อย ๆ ซึมซับเข้าไปในใจทีละนิด แต่พอช่วงย่างเข้าวัยรุ่น... วัย และ สภาพแวดล้อมพาไปให้ใช้ชีวิตไปตามแต่ความรู้สึกจะพาไป... ธรรมะที่เคยใกล้ชิดก็ดูจะเลือน ๆ และห่างตัวไปทุกที จวบจนชีวิตวัยเยาว์ และวัยรุ่นหมดไป... เริ่มเข้าสู่ชีวิตจริง!! เริ่มพบกับความเจ็บปวด ความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า และความผิดพลาดในการดำเนินชีวิต... ...ธรรมะ จึงเข้ามามีบทบาท และความสำคัญกับชีวิตอีกครั้ง! ในชั้นหนังสือ เริ่มมีหนังสือธรรมะมากขึ้น!! อ่านแล้วเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง หลับคาหนังสือบ้างก็มี แต่ก็ค้นพบสัจธรรมในชีวิตมากขึ้น... รู้แล้วว่า...ตนเองมีที่พึ่งทางใจ มีหลักยึดเหนี่ยวในใจเมื่อยามทุกข์ ................................................................................... วันนึง...ไปยืนอยู่ในร้านหนังสือ... ตรงหน้ามีหนังสือธรรมะมากมาย...หยิบมาเปิดดู แล้วก็วางกลับเข้าที่ สายตาระเรื่อยไปตามสันหนังสือ... แล้วก็ไปสะดุดตากับหนังสือเล่มนึง... "เล่านิทานเซ็น" หลาย ๆ คน คงจะรู้อยู่บ้างแล้ว่า... "เซ็น" เป็นนิกายนึงในพุทธศาสนา พุทธศาสนานิกายเซ็น มีเทคนิค และวิธีการสอนธรรมะที่พิเศษคือ... "จี้ตรงใจ" คือสอนมุ่งตรงไปยังจิตใจ... เกิดความสว่างแห่งปัญญาอย่างรวดเร็ว ในหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมาที่เจอะเจอกับปัญหา รู้สึกสับสน หาทางออกให้ตัวเองไม่ได้... ก็มักหยิบเอาหนังสือของ "เซ็น" ขึ้นมาอ่าน แล้วก็ได้ข้อคิดทุกครั้งไป... เอาหละ! เกริ่นมาซะนาน เล่านิทานกันดีกว่า กระบวนแห่สิงโตผ่านมาในถนน ประชาชนแตกตื่นพากันอุ้มลูกจูงหลานออกมาดู เด็กอายุ 3-4 ขวบคนหนึ่งร้องไห้เพราะความกลัวสิงโต ก็ดิ้นอย่างจะสิ้นชีวิตลงไป แม่ต้องอุ้มพาหนีเข้าไปในสวนข้างถนนแห่งหนึ่ง พลางบ่นว่า...น่าสงสารลูกโง่ ๆ คนนี้เหลือเกิน แม่จะได้ดูอะไรสักนิดก็ไม่ได้ดู... ทันใดนั้นเอง แม่ก็ดิ้นและร้องวี๊ดว๊าดขึ้น เพราะกิ้งกือตัวหนึ่งเผอิญหล่นลงมาจากต้นไม้ ตกลงไปในเสื้อ ลูกเล็ก ๆ คนนั้นหัวเราะชอบใจ บอกแม่ว่าเขาจะช่วยหยิบให้! แล้วก็ช่วยหยิบทิ้งให้จริง ๆ ................................................................................................. เป็นการสุดวิสัยที่จะไม่ให้เด็ก ๆ กลัวสิ่งที่มีลักษณะ และอาการอย่างภูติผีปีสาจ กระโดดโลดเต้นเข้ามาราวกะจะจับตัวเอาไปกินเสียกระนั้น แต่ทีแม่เอง กลับกลัวกิ้งกือตัวนิดเดียว ทั้งเลื้อยด้วยท่าทางอันนิ่มนวลอ่อนโยน ราวกับเข้ามาแสดงความเคารพ หรือขอความช่วยเหลืออะไรสักอย่างหนึ่ง ความกลัวของแม่ ก็กลัวอย่างกับจะขาดใจตายเช่นเดียวกับลูกเหมือนกัน! เมื่อประกอบอยู่ด้วยอวิชชาอยู่อย่างเต็มที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นภูติผีปีศาจ หรือเป็นสัตว์ตัวนิด ๆ เช่นกิ้งกือใส้เดือนก็ตาม ย่อมสามารถปลุกปั่นความกลัว (วิภวตัณหา) ได้โดยทำนองเดียวกัน ในฐานะเป็นที่ตั้งแห่งความขลาด และวิ่งหนีได้โดยเสมอกัน ในที่สุด ก็เหลือแต่สิ่งที่ต้องคำนวณดูว่า ลูกอายุเพียง 2-3 ขวบ ส่วนแม่อยู่ในฐานะที่เป็นแม่ หรือผู้ปกครองสั่งสอนลูกแล้ว ในกรณีนี้ ใครเล่า...ที่โง่เขลาและน่าสมเพชกว่าใคร ในระหว่าง... แม่ และ ลูก " ถ้าท่านกลัว จนเกินไป... ท่านก็ไม่มีทางทำอะไรสำเร็จได้ " จากหนังสือ "นิทานเซ็น" โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ ขอให้ทุกท่าน....มีดวงตาเห็นธรรม สาตุ๊.... |
บทความทั้งหมด
|
ขอบคุณที่มาแบ่งปันกันค่ะ