Vive la Fête โชคดีมีสุข Jour de Chance ปิตินั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เช้า ง่วนอยู่กับกิจกรรมในโลกอินเตอร์เน็ตมากมาย เฉพาะเคลียร์กล่องจดหมายเข้าก็นานร่วมชั่วโมง เขาไล่กดปุ่มลบฟอร์เวิร์ดเมล์และเมล์ปาร์ตี้ทั้งหลาย ในปีที่แล้ว มีปาร์ตี้เกิดขึ้นโดยผู้จัดหลายเจ้า จัดกันแทบจะทุกต้นเดือน กลางเดือน ปลายเดือน ปิติเลือกไปแต่งานที่มีเพื่อนฝูงหรือคนรู้จักในเน็ตไปกัน ท่ามกลางปาร์ตี้มากมาย ทำให้เขานึกถึงวงดนตรีวงนี้ขึ้นมา เพราะ Vive la Fête แปลเป็นอังกฤษว่า Long live the party ปิตินึกถึงบล็อกของนายเก็ตเตอร์แมวอะไรสักอย่างที่เขียนไว้ว่า "Vive la Fête ดูโอจากเบลเยี่ยม ประกอบด้วยสมาชิกหลักคือ Danny Mommens มือเบสจากวง dEUS ที่เริ่มเล่นเบสไปหาวไป เกิดคันอยากเล่นกีต้าร์และร้องบ้าง พรหมลิขิตก็ขีดเขี่ยให้ได้มาเจอกับ Els Pynoo สาวอึ๋มผมทองที่กลายมาเป็นทั้งคนรักและนักร้องนำ ทั้งสองร่วมก่อตั้งวงกันตั้งแต่ปี 1997 และทำเพลงกันเรื่อยมา กว่าจะดังจริงๆ ก็ในปี 2003 กับอัลบั้ม Nuit Blanche ... " "Vive la Fête เป็นการผสมผสานเสียงเก่าใหม่แบบซินธ์ป็อปยุค80 อิเลคโทรนิก้า โพสต์พังค์ ทำให้เพลงมันส์ไปด้วยท่วงทำนองไพเราะ กลองหนักเร้าใจ เบสเด้งสนุกสนาน กีต้าร์เปรี้ยวเท่ห์และเสียงซินธ์ล่องลอย เมื่อผนวกกับเนื้อร้องภาษาฝรั่งเศสที่เซ็กซี่เป็นทุน ก็ฟังราวกับเป็นการจุติใหม่ ของเพลงแบบ Serge Gainsbourg ในภาคร็อคอิเลคโทรยังไงยังงั้น..." ความคิดของปิติหยุดชะงักเมื่อพบฟอร์เวิร์ดเมล์ขอรับบริจาคเลือด เขาได้แต่รู้สึกเสียดาย เพราะหมู่เลือดที่คนไข้ต้องการตรงกับของเขา แม้จะเสียดายและเสียใจเล็กๆ แต่เมื่อทำอะไรไม่ได้เขาก็กดปุ่มลบไป เหตุการณ์มันผ่านมาเนิ่นนานแล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่แล้ว เดือนเดียวกับที่ Vive la Fête มีผลงานล่าสุด มิถุนายน 2007 Vive la Fête ปล่อยอัลบั้มชุดที่ห้า Jour de Chance ที่ทิ้งห่างจาก Grandprix สองปีออกมา ชื่ออัลบั้มนี้แปลอังกฤษได้ว่า Lucky Day "ถ้าเรียกแบบไทยๆก็คง "วัน(โชค)ดี" สินะ" ปิติคิด Els เป็นคนเลือกชื่อนี้ และให้เหตุผลว่า มันฟังดูดี เพราะมนุษย์ก็ล้วนต้องการโชคลาภและความสุข "จริง" ปิติคิดตามอย่างเห็นด้วย ว่าแล้วก็เปิดเพลงในชุดนี้ฟัง สุ้มเสียงโดยรวมจะคล้ายกับ Grandprix ที่ออกเมื่อปี 2005 แต่ลดทอนอิเลคโทรลงอีกนิด แล้วไปร็อคกันมากขึ้นอีกหน่อย แค่สองเพลงเปิด Aventures Fictives กับ Mais ก็มันส์กระจาย แล้วก็โยกหัวกันตามกันไปแบบไม่ต้องหยุดเกือบทั้งอัลบั้ม ก่อนจะหวานจ๋อยในเพลงสุดท้าย Love Me, Please Love Me เพลงนี้แหละที่ทำให้ปิตินึกถึง Serge Gainsbourg และบรรดา French Pop คลาสสิคหวานละมุนเซ็กซี่ แม้จะมีเวอร์ชั่นรีมิกซ์แถมท้าย แต่ความหวานยังคงเดิม ปิติกดปุ่มลบเมล์ขยะฉบับสุดท้ายเรียบร้อย แต่เพลงยังดังชวนให้เขาโยกหัวตามจังหวะเพลงอยู่ และคิดอยากไปร่วมปาร์ตี้ที่ Vive la Fête บรรเลงสักครั้ง ................................................................. First Published : 29 มกราคม 2551 0:43:23 น. |
บทความทั้งหมด
|
ฟังแรกๆก็มันส์ดี แต่ยาวขึ้นชักรู้สึกว่าโครมครามไปนิด
อาจเป็นเพราะง่วงอยู่ตอนฟังก็ได้