...เวลาจันทร์... วันนี้ดูเหมือนลมจะลาพักร้อน... อากาศรอบข้างนิ่ง เงียบ งัน จนน่าอึดอัด ฉันยังคงนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์คู่ชีพ จอมอนิเตอร์ยี่ห้อมิตซูบิชิ ยังคงทำหน้าที่อย่างซื่อตรง แม้ว่าสีนวลข้างตัวเครื่องจะ ปรากฎรอยกระด่ำกระด่างเป็นจุดๆ ให้หวั่นใจว่ามันอาจจะ ระเบิดตูมขึ้นมาสักวัน ฉันนึกถึงจอแบนตามท้องตลาดที่กำลังได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง บางทีเวลาที่จะได้ใช้มันอาจจะมาถึงในไม่ช้า ทั้งที่ถ้านับจากตอนที่หอบหิ้ว จอเครื่ืองนี้มาจากซีแอตเติ้ลก็เป็นเวลาแค่สามปีกว่าๆเท่านั้น... เวลาผ่านไปเร็วเสมอ อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมง เลขอายุตัวหน้าก็จะเปลี่ยนไปเป็นอีกเลข เลขซึ่งรูปร่างดูห่างไกลจากที่คิดไว้ มาคิดทบทวนดู ชีวิตที่ผ่านมา ได้ผ่านเรื่องราว สถานที่มามากมาย จะนับว่าโชคดีก็ได้ที่เรื่องราวส่วนใหญ่ จะเป็นเรื่องที่สวยงาม เป็นเรื่องที่น่าจดจำ แต่ดูเหมือนมีเพียงส่วนน้อย ที่จะจำหลักจารึกตัวมันเองในความทรงจำ ถึงอย่างนั้น บางครั้งก็รู้สึกสนุกที่อยู่ๆ เรื่องที่ลืมไปแล้วได้ย้อนกลับมาทักทาย อากาศร้อนก็จริง แต่ฉันกลับคิดถึงค่ำคืนแห่งหมอกน้ำค้าง...ในซีแอตเติ้ล ฝนยังคงตกพรำๆตอนที่ฉันกับวีเพื่อนคนสนิทชาวเกาหลีขับรถออกจาก บริเวณโรงเรียน เราสองคนมีรถทั้งคู่ แต่เนื่องจากอยู่อพาร์ทเมนต์เดียวกัน วันไหนที่เรียนวิชาเดียวกันก็มักจะสลับหน้าที่สารถีกัน วันนี้เป็นผลัดของฉัน หยดน้ำเล็กๆตกกระทบหน้าต่างรถ ฝนที่นี่มักตก แบบไร้เสียง บางทีอาจเป็นเพราะความเคยชิน เพราะเมืองนี้เป็นเมืองแห่งฝน ยกว้นในช่วงฤดูร้อนแสนสั้นแล้ว ไม่มีวันไหนที่ฟ้าไม่ร้องไห้ ความจริงจะใช้คำว่า ร้องไห้ ก็อาจจะไม่ถูกต้องนัก เพราะซีแอตเติ้ลไม่เคยเศร้า มีบ้างที่มันเหงา ซึมเซา กับเมฆหมอกทึมชวนหดหู่ คุณเคยร้องไห้เพราะความสุขใจ ไหมล่ะ ซีแอตเติ้ลก็เป็นเช่นนั้น ในความมืดทึมของท้องฟ้า ม่านฝนสีขาวก็ยัง คงส่งประกายแวววาวยามกระทบแสงไฟ...สมกับคำจารึกบนพวงกุญแจ รูปร่ม สัญลักษณ์เมืองนี้ที่ว่า Even when it rains, it shines... สิ่งหนึ่งที่ระลึกถึงเสมอเมื่อคิดถึงเมืองนี้คือ ไอฝนกลิ่นบริสุทธฺ์ ไอเย็นๆที่ ดูดซับกลิ่นหญ้าแมกไม้ ธรรมชาติรอบข้าง สดชื่นจนเผลอคิดว่าฝนที่นี่เป็นสีเขียว ยามหลับตา... ฉันพารถควบตะบึงขึ้นทางฟรีเวย์เพื่อข้ามทะเลสาบไปยังอีกฝั่งของเมืองเพื่อ กลับบ้าน เราอุทานพร้อมกันทันทีที่รถเคลื่อนเข้าเชิงสะพาน ณ เบื้องบน ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มกำลังทำหน้าที่พื้นหลังขับดวงจันทร์สีนวลกลมโต ให้ลอยดวงเด่น ฉันไม่เคยเห็นดวงจันทร์ดวงโตขนาดนี้ มันดูใหญ่ขนาดเท่าภูเขาลูกย่อมๆ ลูกหนึ่งเลยทีเดียว ขนาดของมันทำให้มันดูหนักจนดูราวกับผืนฟ้ากำมะหยี่น้ำเงินเข้ม จะโอบอุ้มไม่อยู่ เลยต้องพึ่งพาผืนน้ำรองรับ...สะท้อนเงาจันทร์... จันทร์ดูเด่นลอยจนเหมือนจะเอื้อมมือคว้าถึง... ดูลวงจนสงสัยว่าใครแกล้งเอาภาพดวงจันทร์มาทำโฟโต้ชอปแล้วขยายใหญ่ แขวนเกี่ยวไว้บนฟ้า ดูงดงามจนแทบกลั้นลมหายใจ... แต่น่าเสียดายที่ช่วงเวลามหัศจรรย์ช่างสั้นเท่าช่วงสะพานข้ามทะเลสาบ เพราะเราหยุดรถชมจันทร์ไม่ได้ เราจึงต้องละทิ้งจันทร์เจ้าไว้เบื้องหลัง... .......... เวลาผ่านไปเร็วเสมอ อีกไม่กี่ชั่วโมง ตัวเลขบางตัวก็จะเปลี่ยนไป ไม่ย้อนกลับคืน แต่เรื่องบางเรื่อง ภาพบางอย่าง ความรู้สึกอันทรงค่า จะยังเก็บตัวมันไว้ในลิ้นชักความทรงจำ...ตลอดมาและตลอดไป... ........... ประกายวิบประกายวับระยับน้ำ ชะอ่ำชื่นชอุ่มทรวงจากห้วงหาว โคมไฟโลกดวงโตแขวนเกี่ยวราว สีเงินขาวสะท้อนแสงจากแดนไกล แปลกจริงนะพระแม่เจ้าธรรมชาติ ช่างเก่งกาจวาดสวรรค์ให้เผลอไผล บุหลันทองลอยเลื่อนแห่งแหล่งไกล กลับดูใกล้ใจเอื้อมในคืนนี้ ธิดาเดือนลอยเคว้งระเด่นฟ้า พระภูษากำมะหยี่น้ำเงินสี เกล็ดดาวน้อยร้อยเรียงมาร่วมพลี สวมฤดีเดือนทองด้วยแสงเงิน ได้ยลโฉมโคมนางมาเยือนฟ้า ได้ซึมซับงามตาจากห้วงเหิน ได้ฟังเสียงลมแทรกล้อหยอกเอิน เห็นจันทร์เขินเมินม้วนเสียงล้อลม ขอเก็บซับความงามแห่งจันทร์จ้าว และเรื่องราวนิทานฟ้าซึ่งสุขสม สลักไว้ในดวงจิตไว้ชื่นชม เจ้างามคมสมคำนะเดือนทอง กลอนนี้แต่งไว้นานแล้ว หลังจากคืนนั้น ในชื่อ ปิลาร์ ............ |
บทความทั้งหมด
|
//www.pantip.com/cafe/jatujak/topic/J3572766/J3572766.html