Bangmod Days : Episode I การแข่งขันที่แสนสูสี

ลีกวัน
14 ต.ค.55 สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติบางมด
บางกอก เอฟซี 3-3 กัลฟ์ สระบุรี


ผมตั้งชื่อแม็ทช์รีวิวนัดนี้ ว่า Bangmod Days : Episode I ด้วยเหตุผล 2 อย่างประกอบกัน ^-^

1. เพื่อเป็นการชาบูให้กับ “ครู” ที่มีชื่อว่า “เชซาเร โปเลงกี” หนุ่มอิตาเลียโน ที่พกตำแหน่งบรรณาธิการบริหารภาคพื้นเอเชียของเว็บไซด์ “โกล์ดอทคอม” มาด้วย...ไง เริ่ดมั้ยล่ะ?

แล้วผมไปรู้จักกุดจี่ เอ้ย! มักจี่กับเขาได้ไงอ่ะ?

คำตอบก็คือ ผมโมเมยกให้ดอนเชซาเรเป็น “ครู” เอาเองแหละ :-p ทั้งนี้เป็นเพราะชื่นชมผลงานของเขาน่ะครับ (^-’)b

ผมรู้จักเชซาเร โปเลงกี (ข้างเดียว) จากบทความในเว็บไซด์โกล์ดอทคอม ด้วยความที่เป็นคนอิตาลี คอลัมน์ของเขาจึงเป็นการวิเคราะห์เกี่ยวกับบอลอิตาลีเป็นหลัก ฝีปาก (กา) ของเขาคมกริบใช้ได้เลย

แล้วเมื่อไม่นานมานี้ มหกรรมลูกหนังเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพได้ระเบิดรอบคัดเลือกขึ้นที่ประเทศพม่า โปเลงกีคือนักข่าวภาคสนามของโกลดอทคอมที่ตามติดฟุตบอลรายการนี้ พร้อมกับเขียนคอลัมน์บรรยายบรรยากาศในกรุงย่างกุ้งลงในเว็บไซด์โกล์ดอทคอมทุกวัน ผมอ่านแล้วรู้สึก “กรี๊ด” มาก ๆ ^O^

สักวันหนึ่ง...ผมจะก้าวไปยืนเคียงข้างเขาให้ได้

เขาใช้ชื่อคอลัมน์ว่า “Burmese Days”

(ผมมารู้ตอนหลังว่า “Burmese Days” เป็นชื่อนิยายที่ประพันธ์โดยจอร์จ ออร์เวลล์)

นั่นเป็นที่มาของ “Bangmod Days” ที่เนื้อหาเป็นการเล่าเรื่องการไปชมเกมการแข่งขันของบางกอก เอฟซีซึ่งมีถิ่นฐานอยู่ที่บางมดของผม

2. แล้วทำไมต้อง Episode I

ถ้าลองพลิกโปรแกรมการแข่งขันที่เหลือของ “กระทิงเหล็ก” บางกอก เอฟซีดู จะพบว่าโปรแกรมที่เหลือทั้ง 3 นัดจะเป็นเกมในบ้านทั้งหมด

ด้วยความที่เป็นสนามใกล้บ้าน ผมก็เลยคิดว่าจะจบฤดูกาลลีกวันไปกับกระทิงฝูงนี้นั่นเอง (ซึ่งแน่นอน มันจะมี Episode II และ III ออกมาแน่นอน ถ้าผมไม่ติดงานอะไรไปซะก่อนนะ :-p)




แม้กระทั่งอาม่าท่านนี้ก็ทำตัวสุดเปรี้ยวและตามมาเชียร์บางกอก เอฟซีด้วย

มิตรภาพเล็ก ๆ ที่อาจจะพบได้เฉพาะในฟุตบอลไทย


ก่อนจะไปพูดถึงเกมลีกวันสุดมันส์นัดนี้ ผมขอย้อนกลับไปอิตาลี เอ๊ะ! หรือพม่านะ กับบทความของเชซาเร โปเลงกีก่อน

แม้จะเป็นชาวยุโรป แต่ด้วยความที่คลุกคลีกับวงการฟุตบอลเอเชียมานานพอสมควร เขาจึงมองฟุตบอลแถบบ้านเราได้อย่างลึกซึ้ง

โปเลงกีมองว่าฟุตบอลรายการนี้เป็นการแข่งขันรายการเดียวที่ทุกประเทศที่เข้าแข่งขันหวังถึงตำแหน่งแชมป์เสมอ ไม่คราวนี้ก็ต้องคราวหน้า

ปัจจัยนึงที่ทุกชาติหวัง (แต่การเป็น) แชมป์นั้น ผมต่อยอดความคิดต่อจากบก.ชาวอิตาลีแล้วอนุมานออกมาได้ว่าเพราะรายการที่ใหญ่กว่านี้ ทั้ง 10 (และปัจจุบัน 11) ชาติ...เอ่อ...ไม่มีปัญญาจะประสบความสำเร็จละมั้ง? ^^!

ต่อไปนี้คือตัวอย่างที่บรรณาธิการบริหารภาคพื้นเอเชียของโกล์ดอทคอมยกขึ้นมาประกอบ

กับฟุตบอลโลก มีเพียงชาติเดียวเท่านั้นที่เคยไป ทีมนั้นก็คือ แต่น แตน แต๊น...

อินโดนีเซีย ภายใต้ชื่อว่าดัตช์ อินดีส์ เมื่อปี 1938

กับรายการใหญ่ลงมาหน่อย ศึกชิงแชมป์ทวีป เอเอฟซี เอเชียน คัพ ก็มีแค่พม่าเท่านั้นที่เคยฝ่าฟันไปคว้ารองแชมป์ได้ตั้งแต่ปีมะโว้ ทศวรรษที่ 60 โน่น

แล้วก็มีไทยที่เคยได้ที่ 3 เมื่อปี 1972 เท่านั้นแหละ

นอกจากจะใส่ข้อมูลและมุมมองที่น่าสนใจแล้ว โปเลงกียังเขียนได้สนุก น่าติดตาม จากตอนแรกที่ผมไม่สนใจรอบคัดเลือกของฟุตบอลรายการนี้เลย ก็รู้สึกอยากติดตามไปด้วย

ซึ่งในที่สุดก็ได้ 2 ทีมที่ผ่านมาเล่นรอบสุดท้ายก็คือพม่าและลาว

ธชตวัน ศรีปาน อดีตมิดฟิลด์เชิงสูงแห่งทีมชาติไทยพูดถึงการลงแข่งขันฟุตบอลรายการนี้ว่า “ถ้าจะถามว่ารู้สึกกดดันไหม? ก็กดดันทุกครั้งนะ แต่เวลาที่ลงเล่น มันไม่กดดันเลยเพราะด้วยศักยภาพและสภาพทีมของเราเป็นต่อคู่แข่งอยู่แล้ว ทุกทีมกลัวเราหมด...หมายถึงในสมัยก่อนนะ ทำให้เราสามารถเล่นได้โดยไม่กดดัน แต่ความกดดันมันไปเกิดเพราะแฟนบอลมากกว่าเพราะทุกคนต้องการเป็นแชมป์เท่านั้น”

“ในอาเซียน รายการนี้มันเหมือนเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีอยู่แล้ว ทุกทีมต้องการล้มไทย ฉะนั้นนักเตะที่จะไปเล่นต้องอย่าคิดว่าเราเหนือกว่าเค้า แต่ต้องเล่นด้วยความมั่นใจ เล่นด้วยความกระหายที่จะเอาแชมป์กลับมาให้ได้ คิดว่าเด็ก ๆ ทุกคนต้องเอาหัวจิตหัวใจเข้าสู้ด้วย ส่วนเรื่องเทคนิค เราสู้ได้อยู่แล้ว” ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อีกหนึ่งตำนานของทีมจากลุ่มน้ำเจ้าพระยาให้ความเห็นบ้าง

“ความคาดหวังของแฟนบอลก็บอกอยู่แล้วว่าต้องเป็นแชมป์ ถ้าไม่ได้แชมป์ก็ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้นเด็กรุ่นหลังต้องทนแรงกดดันนี้ให้ได้” อดีตหมายเลข 10 เสริมเพื่อนคู่ซี้

ก็อย่างที่โปเลงกีเขียนไว้นั่นแหละ ไม่ว่าจะดี จะแย่ยังไง ทั้ง 11 ชาติต่างก็มอง (หรือแอบมอง) ไปที่เป้าหมายเดียวกันทั้งนั้น คือ...แชมป์

ภาพนั้นฉายให้เห็นชัดขึ้นในรอบคัดเลือก เมื่อติมอร์ เลสเตที่ตั้งแต่ก่อตั้งทีมชาติขึ้นมาก็ยังไม่ชนะใครเลย จนมาถึงทัวร์นาเมนท์นี้นี่เองที่จัดการ “เปิดซิง” ด้วยการถล่มกัมพูชาซะ 5-1 ได้ลุ้นเข้ารอบจนถึงแม็ทช์สุดท้ายกับบรูไน

สถานการณ์นั้น ไม่มีใครคิดว่าติมอร์ เลสเต ซึ่งเต็มไปด้วยพวก “เมสติโซ (ลูกครึ่งโปรตุเกส)” จะพ่ายแพ้บรูไนหรอก

แต่ก็นั่นแหละ ทุกทีมพัฒนาขึ้นมาจนการแข่งขันเป็นไปด้วยความสูสี บรูไนจึงจัดการเชือด “น้องใหม่” พร้อม ๆ กับฉุดให้ตายตกตามกัน




ธชตวัน ศรีปานและเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เฮดโค้ชแห่งกัลฟ์ สระบุรีและบางกอก เอฟซี ผู้เคยผ่านศึกในอาเซียนมาอย่างโชกโชน

ขุนพลกระทิงเหล็ก บางกอก เอฟซีวิ่งวอร์มกันอย่างแข็งขัน

นักเตะเกาหลีทั้งสองทีมทักทายกันก่อนเกม


จะว่าไปแล้วมันก็เหมือนการแข่งขันลีกรองของเมืองไทย ซึ่งปีนี้ใช้ชื่อว่า “ลีกวัน” เหมือนกันนะ ที่มีทีมมากกว่า 10 ทีมที่ศักยภาพไม่หนีกันมาก ก่อนเปิดฤดูกาล แทบทุกทีมหวัง (และแอบหวัง) ถึงการเลื่อนชั้นทั้งนั้น

และหากมองให้ตลกร้าย ทีมเหล่านี้พอขึ้นไปสู่การแข่งขันในลีกที่สูงกว่า ก็ต้องพบกับความยากลำบากเหมือนกับทีมชาติในอาเซียนยามก้าวขึ้นสู่การชิงชัยระดับทวีปเหมือนกัน!

ไล่ไปถึงแค่ปีที่ผมกลับมาดูและติดตามบอลไทยแบบจริงจังอีกครั้งนะครับ

ปี 2009 สามทีมที่ได้เลื่อนชั้นคือเพื่อนตำรวจ, ทหารบกและศรีสะเกษ

ผลน่ะหรอ? ตำรวจซึ่งเป็นเพื่อนกับอินทรีแล้วอยู่รอดได้ ส่วนทหารบกหรืออาร์มี ยูไนเต็ดกับศรีสะเกษ ถ้าดร.โลเลและนายกฯสุดยี้ไม่อุตริ เอ้ย! ดำริให้เพิ่มทีม ก็คงปิ๋วเอาแค่ปีเดียวนั่นแหละ

ปี 2010 ได้ทีมที่เลื่อนชั้นคือศรีราชา, ขอนแก่น, เชียงราย ยูไนเต็ด

ผลลัพธ์การเอาตัวรอดในลีกสูงสุด ปรากฏว่ามีแค่ทีมอันดับ 3 อย่าง “กว่างโซ้ง” เท่านั้นที่เป็นเดอะ เซอร์ไวเวอร์

ปี 2011 ผลการสอบเลื่อนชั้นปรากฏผลเป็นบุรีรัมย์, ชัยนาทและบีบีซียู

แล้วผลสอบในลีกสูงสุดล่ะ บุรีรัมย์ไม่นับเพราะยุบทีมไปแล้ว ชัยนาทกำลังจ่อปากเหวอยู่

ส่วนบีบีซียู ตอนที่ผมเขียนอยู่นี่เพิ่งเละเป็นโจ๊กโดนระเบิดมา จากผลการแข่งขันที่ถูก “แชมป์ 3 สมัย” อย่างเอสซีจีถล่มซะ 8-1 ปิดฉากในลีกสูงสุดเรียบโร้ย

ทีมในลีกวันช่างทำตัวเป็นชาติในอาเซียนจริง ๆ นะนี่ - -"

บางกอก เอฟซีที่จะเปิดบ้านพบกับกัลฟ์ สระบุรีนั้นต่างก็ไม่ได้ลุ้นในการเลื่อนชั้นแล้วแหละ แถมยังต้องมากังวลกับสถานการณ์อันตรายในโซนล่างด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องยอมรับว่าทั้งสองทีมไม่ใช่ทีมที่จะถูกทีมหัวตารางย่ำยีได้ง่าย ๆ เหมือนกัน

ธชตวัน เฮดโค้ช “ขุนศึก” มองว่า “ตอนนี้มาตรฐานของลีกวันมันไม่ห่างกันมากหรอก อยู่ที่ว่าบ้านใครมากกว่า แล้วก็ความพร้อมของผู้เล่นที่จะมาทดแทนกันด้วย จะเห็นว่าช่วงหลังที่มีการแข่งติด ๆ กัน ถ้าทีมไหนมีตัวสำรองที่สามารถทดแทนได้ ก็จะได้เปรียบ ทีมใหญ่ ๆ เค้าถึงยังแข็งแกร่งและพลาดยากไงครับ เพราะมีตัวซัพพอร์ทที่ดีกว่า”

ในขณะที่เพื่อนซี้อย่างซิโก้ก็มองในมุมเดียวกัน “ผมมองว่ามันไม่ต่างจากไทยพรีเมียร์ลีกแล้วนะ เพียงแต่ว่าผู้เล่นอาจจะเป็นผู้เล่นวัยรุ่นมากหน่อย ส่วนในไทยพรีเมียร์ลีกเป็นพวกเก๋า ๆ เยอะหน่อยเท่านั้นเอง”




แฟนคลับของลี ทัคเลือกซื้อของที่ระลึกของทีมโปรด


เกมนี้ผมมาถึงสนามก่อนคิกออฟเป็นชั่วโมงเลย ก็เลยเดินดูของที่ระลึกซะหน่อย โปรโมชันซื้อเสื้อแข่ง 1 ตัว (ของฤดูกาลนี้) แถม 1 ตัว (ของฤดูก่อน ๆ) หมดไปแล้ว แต่ราคาที่ปักป้ายขายไว้ก็น่ารักน่าลุ้นเหลือเกิน

เสื้อแข่งฤดูกาลนี้ตัวละ 350 บาท

เสื้อโปโล พะโลโก้สโมสรตัวละ 200 บาท

เสื้อแข่งฤดูกาล 2010 และ 2011 ตัวละ 100 บาท

ผมตัดสินใจควักใบแดง ๆ หนึ่งใบ แลกกับเสื้อแข่งในยุคเริ่มต้นของชื่อบางกอก เอฟซี (ปี 2010 เพราะก่อนหน้านี้ใช้ชื่อกรุงเทพมหานครบ้าง บางกอก บราโวบ้าง)

ตั้งใจว่าอีก 2 นัดที่เหลือที่จะมาดู จะซื้อเสื้อแข่งฤดูกาลนี้ เหย้า-เยือนนัดละตัว

หรือไม่แน่อาจจะต่อรองกับคนขายดูว่าซื้อ 2 ตัว เหย้า-เยือนเลยนะ แต่แถมเสื้อแข่งฤดูกาลที่แล้วให้หน่อยจิ (หวังว่าคนขายคงใจอ่อนนะ :-p)

จากนั้นก็เดินเข้าไปเก็บเกี่ยวบรรยากาศในสนาม ซึ่งวันนี้อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส แต่ก็ไม่ถึงกับร้อนเกินไปนัก

ระหว่างที่ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ ประธานเทคนิคแห่ง “กระทิงเหล็ก” เดินไปทักทายเพื่อนซี้อย่างธชตวันอยู่ อภิสิทธิ์ ไข่แก้ว อดีตดาวยิงวัดสุทธิวราราม ซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนของบางกอก เอฟซีเป็นคนที่ลงไปดูแลการอบอุ่นร่างกายของนักเตะอย่างใกล้ชิด

กระทิงเหล็กเจ้าบ้านวันนี้มาในระบบ 4-4-2 มีนราธิป พันธุ์พร้อมเป็นผู้รักษาประตู แผงหลังจากขวามาซ้ายประกอบไปด้วยอนุสรณ์ เอี่ยมภาษี, สุขสยาม ชาญมณีเวช, มิก้า ชูนวลศรีและเฉลิมเกียรติ บุญเนตร

แดนกลางมีโซโลมง โอกูตูปัดกวาดเกมรับ, กิตติพล ปาภูงา กัปตันทีมสร้างสรรค์เกมรุก, คิม บุง เชเดินเกมทางซ้ายและซามูเอล ควาคูกระชากฝั่งขวา

คู่หน้าเป็นการประสานงานกันระหว่างลี ทัคและศรายุทธ ชัยคำดี

ในขณะที่ฝั่ง “ขุนศึก” ทีมเยือนนั้น ตามทฤษฎีแล้วก็ยังไม่ถึงปลอดภัย 100% แต่ในทางปฏิบัติ ธชตวัน ศรีปาน เฮดโค้ชของทีมมั่นใจว่าเอาอยู่...เอ้ย! อยู่รอดแน่

“จริง ๆ โล่งใจตั้งแต่แม็ทช์ที่แล้วแล้ว (บุกไปชนะพัทลุง 2-1) เพราะ 40 แต้มนี่น่าจะพอ คือเฮด ทู เฮดของเราดีกว่าทั้งพัทลุงและภูเก็ตเลย แต่แม็ทช์นี้เราก็ยังต้องสู้ด้วยศักดิ์ศรีครับ เนื่องจากคนข้างนอกอาจจะมองว่าเกมนี้เราเจอบางกอก เอฟซีของเพื่อนซี้ที่ยังต้องลุ้นหนีตกชั้นอยู่ แล้วเราอาจจะปล่อย แต่ด้วยสปิริตมันยอมกันไม่ได้หรอกครับ เรื่องของเพื่อนเป็นเรื่องนอกสนาม แต่พอลงสนาม เราก็ต้องเต็มที่”

โค้ชแบนจัดทีมวันนี้ในระบบ 4-3-3 ใช้กิตติธัช สุกุมารพันธ์เป็นผู้รักษาประตู ขึงแนวรับไว้ด้วยได มิน จู, นครินทร์ ฟูปลูก, ยุทธพงษ์ ศรีละครและเอกภพ สนิทวงษ์ จากขวามาซ้ายตามลำดับ

แดนกลางมีพัชรินทร์ สุขใสกำกับเกมรับอยู่หน้าแผงหลัง ปล่อยให้สองนักเตะต่างชาติอย่างอัลฟา ซามากับชอย แจ วอนคอยสร้างสรรค์เกมรุก

แดนหน้าสามคน ใช้วาเลรี เอ็นโจมอนกับมนัส ตัดสุนทร กัปตันทีมอยู่ทางริมเส้นขวา-ซ้ายตามลำดับ มี “ซูเปอร์บอมบ์” ศุภกร นาคน้อยยืนเป็นตัวเป้า




ขุนพลกระทิงเหล็กเดินลงสนามเพื่อทำศึกนัดสำคัญ

สองกัปตันทีมทักทายกันก่อนเริ่มเกม กิตติพล (ซ้าย) ของเจ้าบ้านและมนัส (ขวา) ของทีมเยือน

สิบเอ็ดคนแรกของบางกอก เอฟซีมาแบบฟูลทีม

สถานการณ์การอยู่รอดของ "ขุนศึก" น่าจะสบาย ๆ แล้วแหละ


เกมนัดนี้มีนักฟุตบอลระดับไทยพรีเมียร์ลีกมาชมเกมด้วย ส่วนใหญ่มาด้วยความรัก, ความเคารพและความผูกพันที่มีต่อ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง นายใหญ่ของทีมเจ้าบ้านทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะ “คนบ้านเดียวกัน” หรือ “ลูกทีมเก่า” ก็ตาม

เปิดฉากมาแค่ 4 นาที ทีมเยือนก็ช็อคแฟน ๆ เจ้าบ้านได้ก่อน เมื่อซามา มิดฟิลด์ก้านยาวแตะต่อให้ศุภกรยิงผ่านมือ “ล่องจุ๊น” นราธิป นายด่านกระทิงเหล็กได้สำเร็จ

กัลฟ์ สระบุรีนำ 1-0 แล้ว

แต่ขุนพลเสื้อส้มไม่ปล่อยให้ตกเป็นรองนาน สี่นาทีถัดมา จากลูกเปิดทางด้านซ้าย ลี ทัค สตาร์เมืองผู้ดีจับบอลอย่างนิ่มนวล ก่อนจะส่งเข้าไปสู่ก้นตาข่ายราวกับเสกเวทมนตร์

สกอร์บอร์ดขยันทำงานซะจริง 1-1 แล้วนะ

เกมช่วง 15 นาทีแรกยังออกมาในรูปแบบไปเรื่อย ๆ ทั้งสองทีมเคาะบอลหาช่องเจาะเข้าทำ

“คิดว่าเกมไปเรื่อย ๆ งั้นรึ?” มนัส กองหน้าฝั่งซ้ายของทีมเยือนอาจจะแอบค่อนขอดผมในใจแบบนั้น ก็เลยลองพลิกยิงที่เสาแรกดูในนาทีที่ 16 แต่ล่องจุ๊น ผู้รักษาประตูบางกอก เอฟซียิ้มแฉ่งแล้วก็เซฟแบบสบาย ๆ

หกนาทีต่อมา สาวกกระทิงเหล็กเป็นฝ่ายได้เฮแบบสุดเสียงกันอีกครั้ง เมื่อแผงหลังทีมเยือนสกัดบอลที่ลอยโด่งมาวืดเต็ม ๆ ซามูเอล ควาคูแม้จะไม่หล่อแบบพี่หนุ่ย อำพล ลำพูน แต่ก็แอบฮัมเพลงเบา ๆ

“เจอะเข้าแล้วเต็มเปา เจอะคราวนี้เต็มใบ เป็นไปได้ไง ไม่อยากเชื่อเลย...”

ปีกขวาความเร็วจัดของเจ้าบ้านทำประตูได้จากจังหวะนี้ พากระทิงแห่งทุ่งบางมดหนีไป 2-1 แล้ว!

จังหวะถัดมา อนุสรณ์ แบ็กขวาของเจ้าถิ่นหวดบอลที่ลอยโด่งมาพลาดบ้าง แต่ทำไม่ดีเหมือนต้นฉบับจากสระบุรี บอลก็เลยปลิ้นกลับไปหานราธิป คาดว่าครั้งนี้ล่องจุ๊นไม่น่าจะยิ้มแฉ่งแล้วแหละ แต่อาจจะบ่นเบา ๆ แทน

“ตัวอย่างดี ๆ ก็ไม่เลียนแบบ”

ส่วนอนุสรณ์นั้นต้องขอโทษขอโพยเพื่อน ๆ เป็นการใหญ่

แต่ก็ไม่รู้นะว่า “ช็อตพลาด” ช็อตนี้จะไปเข้าตาซ้ายกรรมการ เอ้ย! ซิโก้แบบเต็ม ๆ หรือเปล่า? ผ่านครึ่งชั่วโมงแรกไปแค่ 3 นาที แบ็กขวาหมายเลข 7 รายนี้ก็ต้องเดินออกจากสนามแล้วให้เสมอภาค ศรีนนท์ลงไปเล่นแทน

แม้ดาวเตะ “โจ๊กเกอร์” รายนี้จะใส่เสื้อหมายเลข 3 แต่ไม่ได้ลงมาเล่นแบ็กขวาแทนหรอกนะ โน่น! ปีกซ้าย ตำแหน่งถนัดต่างหาก แล้วก็กลายเป็นคิม บุง เชที่ต้องถอยมายืนแนวรับฝั่งขวาแทน

ช่วงต้นเกมอาจจะดูสีสู แต่ยิ่งเล่น กระทิงเหล็กก็ยิ่งเป็นฝ่ายครองเกมได้มากกว่า เปิดเกมรุกใส่ “ขุนศึก” เต็มสูบ น่าเสียดายที่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น

จบ 45 นาทีแรก บางกอก เอฟซีจึงออกนำไปเบาะ ๆ แค่ 2-1 เท่านั้น




สระบุรีเป็นฝ่ายเปิดเกมในนัดนี้

ลี ทัคเฮฮาหลังจากยิงตีเสมอได้

การชิงเหลี่ยมของหมายเลข 7 ทั้งสองฝั่ง และเป็นมนัส กัปตันทีมเยือนที่เซถลา

อนุสรณ์ยิ้มแหย ๆ หลังจากสกัดบอลพลาด

ลีลาของโจ้ 5 หลา

เก่งนัก ลี ทัคก็ต้องถูกสอยล้มลงเป็นธรรมดา

มาดจอมทัพของกัปตันมะเดี่ยว (34)


โค้ชแบนปรับเปลี่ยนทัพช่วงพักครึ่งทันที ส่ง “ดาวยิง” อย่างปิยะวัฒน์ ทองแม้นลงมาแทนอัลฟา ซามาเหมือนเป็นการยืนยันว่า “เกมนี้ไม่มีคำว่าเพื่อน!”

แล้วรูปเกมในครึ่งหลังก็ช่วยยืนยัน นอนยันอีกแรงเมื่อกัลฟ์ สระบุรีเป็นฝ่ายเปิดเกมบุกโจมตีตั้งแต่สิ้นเสียงนกหวีดของกรรมการเลย

บางกอก เอฟซีเล่นในบ้านก็ไม่มีหวั่นเหมือนกัน อาจจะมีเป๋บ้างช่วงต้นครึ่งหลัง แต่พอเวลาผ่านไปสักพัก พวกเขาก็เริ่มตั้งลำได้

และก็เป็นฝ่ายหนีนำไปได้ 3-1 ซะด้วยในนาทีที่ 57 จากความมหัศจรรย์ของลี ทัคที่กระชากบอลไปคนเดียวตั้งแต่กลางสนาม อาศัยจังหวะพลาดของแผงหลังทีมเยือนนิดนึง แค่นี้เพชฌฆาตชาวผู้ดีก็หลุดเข้าไปส่งยิ้มให้กิตติธัช ผู้รักษาประตูทีมเยือนซะแล้ว

“ตามองตา สายตาก็จ้องมองกัน รู้สึกเสียวซ่านหัวใจ...”

ลี ทัคออกจะตาหวานซะขนาดนั้น กิตติธัชก็ต้องเสียวซ่านหัวใจเป็นธรรมดา เอ้ย! จะไม่ให้เสียวซ่านได้ไงล่ะ ก็พ่อฝรั่งตาน้ำข้าวบรรจงยิงลูกหนังผ่านมือเขาไปได้น่ะเซ่

ประตูที่ 20 ในซีซันของสตาร์ชาวอังกฤษทำให้กระทิงเหล็กโขยกนำห่าง...สามแต้มอยู่ในมือแล้ว...ล่ะหรือ?

“สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร” ธชตวันคำราม พร้อมกับทิ้งไพ่ในมือสองใบสุดท้ายทันทีในนาทีที่ 65 ส่งสมบูรณ์ ทรัพย์พานิชกับนิติพงษ์ เสลานนท์ลงไปเล่นแทนมนัสกับเอกภพ

3 นาทีต่อมา ซิโก้ก็เปลี่ยนตัวบ้าง ส่ง “หมี” รชานนท์ ศรีนอก ศูนย์หน้าร่างยักษ์ลงมาแทนกิตติพล จอมทัพของทีม ราวกับจะบอกเพื่อนซี้ว่า “เดี๋ยวได้นับศพทหารแน่”

แล้วเกมฟุตบอลที่สนุกสนานก็ค่อย ๆ กลายพันธุ์กลายเป็นสงครามเล็ก ๆ ผู้ที่จุดชนวนไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก ผู้ตัดสินนั่นเอง ที่หลาย ๆ จังหวะตัดสินไม่ค่อยเคลียร์เท่าไหร่

โดยเฉพาะจังหวะที่สระบุรีเสียลูกทุ่มหน้าม้านั่งสำรองของตนเอง ทั้ง ๆ ที่ช็อตนั้นผู้เล่นกระทิงเหล็กทำออกเห็น ๆ ทำเอาธชตวันซึ่งดูนิ่ง ๆ ไม่ค่อยมีปากมีเสียงกับใครถึงกับกระโจนออกมาจากซุ้มม้านั่งสำรองพร้อมกับสต๊าฟของทีมอีก 2 คนเลย

แต่นั่นก็เป็นช็อต “หลุด” เล็ก ๆ ช็อตเดียวของโค้ชแบนเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นผู้ที่ทำหน้าที่โวยวายตลอดเวลาก็คือสต๊าฟคนหนึ่งของทีม (ที่ผมม่ายรู้จัก)

ดูเขาจะโวยทุกช็อตราวกับว่าผู้ตัดสินทำอะไรก็ผิดไปหมด

“ยกขาสูงไม่ฟาวล์หรอ?”

“ถอยไม่ถึง 10 หลาเลย”

ฯลฯ

หรือแม้กระทั่ง

“หน้าที่เก็บบอลต้องให้ผมทำด้วยหรอ เด็กเก็บบอลไม่มีหรอ?”

พูดยังไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำ เด็กเก็บบอลคนนึงก็โยนลูกเข้ามาในสนาม ส่วนอีกคนกำลังวิ่งตื๊ดไปเก็บบอลลูกที่ออกอย่างขยันขันแข็ง -*-

ฝั่งซิโก้ก็มีหันมาบ่นกับผู้ตัดสินที่ 4 เหมือนกัน ในจังหวะเสียลูกโทษบริเวณแบ็กขวา

“ไหล่ต่อไหล่นะกรรมการ เป่าได้ไง!”

เกมหลังจากที่ขึ้นนำห่าง ดูเหมือนว่าเจ้าบ้านจะพออกพอใจสกอร์แล้ว เลยหันมาตั้งรับแล้วโต้กลับเร็ว ปล่อยให้ทีมเยือนเป็นฝ่ายเปิดเกมรุกกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์อยู่ฝ่ายเดียว

วาเลรี เอ็นโจมอน ปีกขวาตัวจี๊ดเริ่มฉายฟอร์มโดดเด่นขึ้นเรื่อย ๆ พาแผงรับของกระทิงออกทัวร์อย่างสนุกสนาน

และก็เป็นเขานี่แหละที่พากัลฟ์ สระบุรีกลับสู่เกมในช่วง 10 นาทีสุดท้าย เมื่อกระชากไปทางกราบขวา ก่อนจะตบเข้ากลาง สุขสยามปาดเข้าหาลูกทันที แต่กลับสกัดผิดเหลี่ยม ลูกหนังเปลี่ยนทิศเข้าไปตุงตาข่ายแบบสุดช็อก

“อ๊ากส์! ฉันเหมือนคนที่โดนเธอแทงข้างหลัง แล้วมันทะลุถึงหัวใจ เธอจะให้ฉันมีชีวิตต่อไปอย่างร๊าย...” นราธิปแทบจะอยากแปลงร่างเป็นอ๊อฟ ปองศักดิ์ซะเดี๋ยวนั้น

บางกอก เอฟซี 3-2 กัลฟ์ สระบุรี

“โดนทะลวงประตูทะลุถึงหัวใจงั้นรึจุ๊น งั้นพี่จัดยาให้” ซิโก้บ่นพึมพำนิดนึง ก่อนจะส่งนพดล วงศ์จันทร์ลงมาแทนโจ้ 5 หลา หวังแพ็กเกมให้แน่นกว่าเดิม

“ช่วยกันไล่หน่อย” อดีตดาวยิงหมายเลข 13 แห่งทีมชาติไทยฉีดยาให้ลูกทีมอีกเข็ม...ถ้าโดนเพิ่มอีกเม็ดนึงนี่ ไม่ใช่แค่นราธิปเท่านั้นที่โดนทะลวงถึงหัวใจ แต่จะเป็นเขานี่แหละที่จะหัวใจแหลกสลาย

6 นาทีสุดท้าย ใบเหลืองก็ถูกควักออกมาจากกระเป๋าผู้ตัดสินจนได้ ชอย แจ วอนเป็นผู้โชคดีคนนั้นเพราะดันไปพูดมากในจังหวะที่รชานนท์นอนเจ็บ

บางกอก เอฟซีแพ็กเกมกันได้แน่นดี (แม้จะต้องลุ้นแบบเสียว ๆ ไปบ้างก็เหอะ!) และทำท่าว่าจะยันอยู่ เก็บ 3 แต้มสำคัญได้...

แต่แล้วในนาทีสุดท้ายของการต่อเวลานั่นเอง

“ปรี๊ด” เสียงเดียวสั้น ๆ แต่มีความหมายจากผู้ตัดสินนั่นเองที่ทำให้หัวใจทุกดวงของชาวกระทิงเหล็กตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อสุขสยามดันไปสกัดคู่แข่งล้มลงในเขตโทษ

“ลูกนี้ผมว่าต้องชมเค้ามากกว่านะที่ยังพยายามเข้าสกัด ถ้าเป็นคนอื่น บางทีอาจจะปล่อยไปแล้ว” แผงหลังระดับไทยพรีเมียร์ลีกคนนึงที่มาชมเกมนี้ร่วมวิเคราะห์ ราวกับเดนิส เออร์วินในรายการ “The Big Match With Denis Irwin” ในช่อง MUTV (เดนิส เออร์วิน...ผมจะบอกใบ้ว่าหมอนี่เป็นแบ็กซ้ายใช่ไหมนี่? 555) “ผมเข้าใจว่าเค้าพยายามจะแหย่บอลออกหลังนะ แต่อย่างว่า...ฟุตบอล โดยเฉพาะในช่วงท้ายเกม อะไรมันก็เกิดขึ้นได้”

ชอย แจ วอน จอมทัพของขุนศึกหยิบลูกมาวางที่จุด แล้วก็ซัดเข้าไป

3-3 แล้ว...ใครจะไปเชื่อ!

โดนไปแบบนั้น เหล่าขุนพลกระทิงเหล็กก็เลยรีบเอาบอลมาเขี่ยเพื่อเปิดเกมรุกทันควัน...แต่...เอ่อ...เวลา 3 นาทีที่ทดไปน่ะมันหมดแล้วนะ ก็เลยไม่แปลกที่จะมีเสียงคุ้น ๆ ดังมาจากม้านั่งสำรองของทีมเยือน

“อะไร ๆ ๆ จะเอาถึงชนะเลยหรอ?”

พี่สต๊าฟคนเดิมคนนั้นนั่นแหละครับ

แล้วก็เกือบจะเป็นประเด็นซะด้วย เพราะความพยายามครั้งสุดท้ายของบางกอก เอฟซีน่ะ ผลออกมาคือ “ชนคาน” เลยนะ

ผมนึกภาพไม่ออกว่าถ้าบอลมันลอยต่ำกว่านี้ ผู้ตัดสินเกมนี้จะต้องหูชาขนาดไหนก็ไม่รู้ - -"

ครับ จบเกมเสมอกันไปอย่างดุเดือด 3-3 กัลฟ์ สระบุรีรอด 100% แล้ว ส่วนบางกอก เอฟซีน่ะ สองนัดสุดท้ายคือสองนัดแห่งชีวิต!




บางกอก เอฟซีรวมพลังกันก่อนเริ่มครึ่งหลัง

แนวรับกระทิงเหล็กต้องทำงานหนักในครึ่งหลัง

ลี ทัคยิงให้ทีมหนีห่าง 3-1

20 ประตูแล้วคร๊าบบบบ

เจ้าบ้านเจ็บ ทีมเยือนเร่ง

มิก้านั่งเซ็งเมื่อทีมต้องมาเสียจุดโทษในนาทีสุดท้าย

นราธิปหยุดจุดโทษลูกนี้ไม่ได้ หมายถึง 2 แต้มที่หลุดลอยไป


“ผิดหวังนะ...เราเล่นในบ้านก็ต้องการ 3 แต้ม เกมเราดี เกมรุกดีเลยเหมือนกับทุก ๆ เกมนั่นแหละ แต่เกมรับเราเสียสมาธิไป พอเสียปุ๊บ สมาธิก็ไม่อยู่กับตัวแล้ว 3-1 มันต้องปิดกล่องแล้ว มันเหมือนกับเกมที่แล้วน่ะ คล้าย ๆ กัน (บุกไปเสมอสงขลา 3-3)” เกียรติศักดิ์แสดงทัศนะด้วยน้ำเสียงเซ็ง ๆ

ในขณะที่ธชตวัน ศรีปานนั้นก็เหมือนจะดูผิดหวังเล็ก ๆ เหมือนกัน

“ต้องยอมรับว่าด้วยสภาพสนามทำให้เข้าทางพวกเค้ามากกว่า จะเห็นได้ว่าเราสามารถครองเกมได้หมด พยายามเซ็ทบอลไป แต่พวกเค้าก็แพ็คกันแน่นและกลายเป็นจังหวะโต้กลับ แล้วเราผิดพลาดกันเองในจังหวะเสียประตูในสองลูกแรก มันเลยลำบากในการกลับสู่เกม แต่เด็กก็ร่วมใจ ร่วมแรงจนเราสามารถเอาคืนได้ ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกคิดว่าด้วยสภาพสนามแบบนี้ เราคงเอาคืนไม่ได้หรอกเพราะว่ามันไม่ใช่แนวทางเราไง”

ต้องยอมรับว่านี่เป็นเกมที่สนุกจริง ๆ การแข่งขันลีกวันช่างเป็นลีกที่คาดเดาผลไม่ได้เลย (ฤดูกาลนี้ขอยกเว้นจันทบุรีไว้สักทีมนะฮับ) เพราะทุกทีมมีฝีเท้าที่สูสีกันหมด

ระดับการแข่งขันที่สูสีกันแบบนี้ กัลฟ์ สระบุรีคาดหวังจะเลื่อนชั้นบ้างไหมในฤดูกาลหน้า?

“ผมว่าฟุตบอล...ทุกอย่างมันอยู่ที่งบประมาณ ทีมไหนงบประมาณเยอะก็สามารถนำไปใช้เป็นแรงจูงใจในการดึงนักเตะดี ๆ ค่าตัวแพง ๆ ได้ สำหรับสระบุรีเรามีงบประมาณเท่าไหร่ เราก็ทำทีมด้วยงบเท่านั้น เราก็ไม่อยากคาดหวังถึงการขึ้นไทยพรีเมียร์ลีกด้วยงบประมาณนิด ๆ หน่อย ๆ แบบนี้ มันต้องดูศักยภาพของทีมในปีหน้าต่อไปด้วย” อดีตตำนานหมายเลข 10 แห่งทีมชาติไทยให้ความเห็น

ผมคิดไปถึงบทความ “ทีมฟุตบอลอิตาลี จนที่สุดในยุโรป?” ที่เชซาเร โปเลงกีเคยเขียนวิเคราะห์ลีกกัลโชไว้ในเว็บไซด์โกลดอทคอมเลย

“แฟน ๆ ยูเว่ยังเฝ้าฝันไปว่า ทีมรักจะเสริมแนวรุกด้วยผู้เล่น 'ระดับท็อป' ชื่อของเอดิน เชโก้, โรบิน ฟาน เพอร์ซี และ เฟร์นานโด ยอเรนเต ถูกโยงเข้ามา แต่สุดท้าย ม้าลายทำได้แค่พยายามตัดหน้าวิโอลาคว้าตัวดิมิตาร์ เบอร์บาตอฟ และสุดท้ายก็ลงเอยด้วยการคว้าตัว นิคลาส เบนด์เนอร์ ด้วยสัญญายืมตัว กองหน้าที่พรีเมียร์ลีกส่ายหัว กำลังจะมีอนาคตใหม่ที่นี่”

ผมตัดมาแค่บางตอนที่แสดงให้เห็นว่าอำนาจการซื้อของทีมจากอิตาลีเริ่มลดลง และนั่นแหละทีมจากกัลโชเลยไม่ได้รับการคาดหมายให้เป็นตัวเต็งอันดับต้น ๆ ในถ้วยยุโรปเหมือนดั่งช่วงทศวรรษ 90 ที่ดินแดนรองเท้าบู๊ทแทบจะเป็นสถานที่ที่ซุป’ตาร์ลูกหนังระดับโลกเดินชนกันหัวร้างข้างแตก

ยุค “ทุนนิยม” แบบนี้ ต้องยอมรับว่า “เงิน” เป็นปัจจัยสำคัญในการทำทีมฟุตบอลให้ประสบความสำเร็จจริง ๆ




ธชตวันทักทายผู้เล่นเจ้าถิ่นหลังจบเกม

นักเตะกัลฟ์ สระบุรีขอบคุณแฟน ๆ ที่มาเชียร์ในนัดนี้


ซึ่งที่บางกอก เอฟซีนั้น...ช่างแตกต่างกับสระบุรี ราวฟ้ากับเหว

“ซิโก้ลั่นขอช็อป 70 ล้านปีหน้า พากระทิงเหล็กตีลังกาให้ได้”

คือหัวข่าวจากไทยลีกออนไลน์ที่ผมอ่านเจอก่อนหน้านั้น แต่พอผมเข้าไปถามรายละเอียดกับเจ้าตัว ก็ได้รับคำตอบว่า

“ผมยังไม่มองปีหน้านะครับ...”

ปีหน้าก็ปีหน้าครับ

แล้วปีนี้ล่ะ สองคม สองคน สองโค้ช สองตำนานทีมชาติไทยมองว่าลีกที่การแข่งขันสุดสูสีแบบนี้ ทีมไหนจะได้เลื่อนชั้นสู่ไทยพรีเมียร์ลีก?

อืม!...ราชบุรี มิตรผลคงไม่พลาดอยู่แล้วมั้ง? เอาเป็นว่า แล้วอีก 2 ทีม (ที่แย่งกันอยู่ 3 ทีม) ล่ะจะออกหน้าไหน?

“คงจะเป็นสุพรรณฯ แล้วก็บางกอกน่ะครับ” ธชตวันตอบ บางกอกที่ว่าไม่ใช่เอฟซีนะครับ แต่เป็นยูไนเต็ด ไม่รู้สิผมชอบที่โค้ชแบนเรียก “บางกอก ยูไนเต็ด” มากกว่าเรียกด้วยสำเนียงฝรั่งแบบนั้นอีกนะ

คำตอบของซิโก้ก็ไม่น่าจะต่างกันเท่าไหร่ ผมตีความเอาจากเป้าหมายในนัดหน้า ที่เจ้าตัวและบางกอก เอฟซีวางเอาไว้ ในการเปิดบ้านพบกับศรีราชาน่ะ

อดีตศูนย์หน้าจอมตีลังกาประกาศชัด ๆ ออกมาว่า

“เราตั้งใจจะหยุดศรีราชาไม่ให้ขึ้นชั้น เนื่องจากเราต้องการ 3 แต้มเท่านั้น!”



Create Date : 19 ตุลาคม 2555
Last Update : 19 ตุลาคม 2555 8:17:09 น.
Counter : 1914 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Futbolreview.BlogGang.com

baevi
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]