36 ชั่วโมง ชีวิตแพทย์ใช้ทุน ... กระทู้โหวตจากห้องสวนลุม ..(มันเป็นเหตุการณ์ปกติของแพทย์ไทย ???)
36 ชั่วโมง ชีวิตแพทย์ใช้ทุน

//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L11642116/L11642116.html


ต้องย้ำก่อนว่าที่เขียนนี่เขียนมานานมากแล้ว แต่ขอเอามาโพสที่นี่
หลายอย่างคงเปลี่ยนไปเยอะแล้ว บางอย่างคงดีขึ้น แต่บางอย่างก็ยังเหมือนเดิม (หรือแย่กว่าเดิม) ความรู้สึกก็เป็นเพียงความรู้สึกในช่วงเวลานั้นไม่ใช่ในปัจจุบัน

*** ชื่อคน ชื่อรพ. ชื่อต่าง ๆ เป็นนามสมมติหมด ตามมารยาท ***


6:30 น. ผมตื่นมาอย่างงัวเงีย แต่มองนาฬิกาแล้วก็ต้องรีบลุก
เพราะอีกครึ่งชั่วโมงผมก็ต้องไปทำงานแล้ว อากาศเย็นสบายออกหนาว ๆ สมกับเป็นจังหวัดในภาคเหนือในหน้าหนาว
ช่างต่างจากกรุงเทพที่เรียนมาหลายปีที่มีแต่ร้อนกับร้อนโคตร

ผมเป็นคนต่างจังหวัด แต่จบหมอจากกรุงเทพ ... ภูมิใจ .... ที่เรียนจบ ....
ภูมิใจที่ได้เป็นหมอสมดังที่ตั้งใจเลือกเรียนเอง .... ตั้งใจที่จะเลือกมาใช้ทุนต่างจังหวัดที่ไม่ใช่บ้านเกิด
.... อยากทำงาน ....อยากช่วยคน .....อยากรู้ว่าหมอต่างจังหวัดเป็นยังไง....


7:00 น.
ผมไปถึงวอร์ดอายุรกรรม ที่ผมเป็นคนดูแลอยู่อย่างรวดเร็ว
ตามประสาแพทย์ที่มักอาบน้ำแต่งตัว กินข้าวเสร็จได้ภายในเวลาไม่เกิน 20 นาที ซึ่งเพื่อนผมแซวว่าพวกแกมัน “วิ่งผ่านน้ำ” มากกว่า “อาบน้ำ”

โรงพยาบาลที่ผมอยู่เป็นโรงพยาบาลจังหวัดระดับที่ถือได้ว่าเป็นโรงพยาบาลศูนย์
วอร์ดที่ผมดูแลอยู่ชั้นที่ 8 ฝั่ง A
หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่า 8A จริง ๆ
แล้ววอร์ดผมมีขนาด 30
เตียง แต่ตอนนี้กลายมาเป็น 52 เตียง ชนิดที่อีกยี่สิบกว่าเตียงคือเอาเตียงผ้าใบแบบชายหาดมาปูนอนกัน
จนแทบไม่มีทางจะเดิน เตียงฝ้าใบล้นออกไปนอกห้องกินพื้นที่ไปจนถึงระเบียงห้องหน้าลิฟต์
มองแล้วก็จนใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้จะส่งคนไข้ต่อไปนอนที่ไหน
ก็นี่มันโรงพยาบาลจังหวัดแล้วนี่นา .....

ผมเริ่มราวด์คนไข้ในวอร์ด
(ราวด์คนไข้
แปลว่าดู ตรวจคนไข้) ไปเรื่อย ๆ แต่รวดเร็ว พร้อมกับน้องแพทย์ฝึกหัด
(นักศึกษาแพทย์ปี 6)
อีก 2 คน คือหว้าและโบว์
ที่อยู่ฝึกกับผม

ผมเดินไปแต่ละเตียง ถามว่าเป็นไงบ้าง
ทักทายนิดหน่อย ก็เดินผ่านไปยังเตียงถัดไป ... หลายเตียงญาติ ๆ ตัดพ้อ ... “ทำไมหมอคุยสั้นจัง”
.... “อะไรพูดแป๊บเดียวก็ไปแล้ว” ..... และอีกหลาย ๆ คำที่ได้ยินบ้าง
ไม่ได้ยินบ้าง .... เข้าใจ ...เป็นใครมานอนโรงพยาบาล ... หมอมาคุยวันละไม่กี่นาทีก็ไป
ย่อมรู้สึกไม่ดี .... แต่ลำพังแค่คุยกับคนไข้เตียงละ 5 นาที คูณ 52 เตียงก็ปาไป 260 นาที หรือก็คือ 4 ชั่วโมงกว่าแล้ว ..... หากคุยเตียงละ 10 นาที ก็จะกลายเป็นเวลา 9 ชั่วโมง ซึ่งก็คงเป็นไปไม่ได้ .... ในเมื่อยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ
... ได้แต่คิดว่าหากว่างจะหาเวลามาดูเพิ่มล่ะกัน


11 : 00 น. ผมเดินมาถึงเตียงน้องอ้อ ... น้องอ้อเด็กสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง
เธอมานอนโรงพยาบาลเพราะกินยาฆ่าหญ้ามาเมื่อสองวันก่อน เพราะทะเลาะกับแฟนหนุ่ม ... จนอยากตาย
....เธอเป็นเด็กนักเรียนชั้นม. 5 ในจังหวัดนี่เอง ผมเดินไปถามอาการ .... เธอบอก “สบายดีค่ะ”
เหนื่อยนิดหน่อย ... มึน ๆ นิดหน่อย .... เธอตอบด้วยรอยยิ้มนิด ๆ ผมมองหน้าเธอ ได้แต่นึกเศร้าในใจ .....
โบว์ได้คุยกับเธอเมื่อเย็นวานนี้ รู้ว่าตอนนี้เธอไม่อยากจะตายแล้ว
.... ตอนนั้นแค่วูบหนึ่งของความโกรธ ... วูบหนึ่งของความเสียใจ .....
วูบหนึ่งของการตัดสินใจที่ผิดพลาด ..... ผมหันไปมองหน้าแม่ของเธอ ... เธอน้ำตาคลอ
.....

เมื่อวานเย็นผมบอกเธอไปแล้ว ....
ว่าลูกเธอกำลังจะตาย .... เธอไม่เชื่อ .... เธอบอกลูกไม่เห็นจะป่วยหนักตรงไหน ...
ยังพูดได้ ... กินข้าวได้อยู่เลย .... ผมเข้าใจ .... ว่าเป็นใครย่อมไม่อยากจะเชื่อ
.... เพราะลูกเธอดูเผิน ๆ ก็ไม่เหมือนคนป่วยหนักจริง ๆ ....
แต่ยาที่เธอกินเข้าไปนี่สิ .... อันตราย .... อันตรายจริง ๆ .... ยาจะค่อย ๆ
ทำลายปอดจนเป็นพังผืด .... ตับวาย .... ไตวาย ......อวัยวะล้มเหลว ...
อาการจะมากขึ้นเรื่อย ๆ .... จนเสียชีวิตในที่สุด .......

ผมนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก
ได้แต่ตอบน้องอ้อไปว่า

“ดีแล้ว
ที่สบายดี” .... แม้รู้เต็มอกว่ามันไม่จริง
..... และเธอกำลังจะตาย ....ผมแตะบ่าแม่เธอเบา ๆ ก่อนเดินไปตรวจเตียงถัดไป


12 : 30 น. ตามคาดว่าผมไม่สามารถดูคนไข้ให้เสร็จก่อนเที่ยงได้
ผมเดินละจากคนไข้เตียงสุดท้าย
รีบเผ่นไปกินข้าวเที่ยง เพราะเดี๋ยวบ่ายโมงผมต้องไปตรวจโอพีดีต่อ ( OPD ;
outpatient department =
ตรวจผู้ป่วยนอก) .... สวมวิญญาณจระเข้ กลืนข้าวลงได้หมดในเวลา 10 นาทีเศษ ตามด้วยน้ำอีกแก้ว
แล้วเดินไปยังแผนกผู้ป่วยนอกอายุรกรรมทันที


13 : 00 น. ผมเริ่มตรวจผู้ป่วยนอก
มองออกไปคนไข้ที่รอเฉพาะหน้าห้องผมเหลืออีก ยี่สิบกว่าคน ...เหนื่อย ....
แต่ก็ต้องยิ้ม คนมาหาหมอทุกคนทุกข์ยากมา หากเจอหน้าบึ้ง ๆ แค่เห็นก็คงแย่แล้ว
.... อีกอย่างแอบไม่อยากเป็นหมอคนที่สองในเดือนนี้ที่ถูกร้องเรียนว่า
“ไม่ยิ้มเลย หน้าไม่รับแขก”

จริง ๆ
เมื่อก่อนโรงพยาบาลไม่จำเป็นต้องจัดหมอมาตรวจช่วงบ่าย
เพราะคนไข้ไม่ได้เยอะขนาดนั้น ส่วนใหญ่แค่บ่ายโมงเศษ ๆ ก็ตรวจได้หมดแล้ว
แต่หลังจากมาตรการ 30
บาทรักษาทุกโรค .... ยอดคนไข้ปีถัดมาเพิ่มเป็นสองเท่าทันตาเห็น และเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ โอพีดีอายุรกรรมจากวันละ 300 คน ถีบขึ้นเป็น 500-600 คนต่อวันทันที .... คนไข้เพิ่มสองเท่า ....
แต่หมอน้อยลงกว่าเดิมสามคนเพราะลาออกไป .... ทำไงนะเหรอ ...ก็ต้องเพิ่มเวลาตรวจช่วงบ่ายไป
....

30 บาท ...นโยบายดี ... เห็นด้วย ....
ทุกคนมีสิทธิรับการรักษาเท่าเทียม..... ชม ...ขอชม ... อยากให้เป็นอย่างนั้น ..แต่ในแง่ปฏิบัติสิ
..... ตอบยาก .... เมื่อหลายคนมาตรวจ ...หลาย ๆ คนย่อมมาด้วยความคาดหวัง .....
ความคาดหวัง .... ที่หลาย ๆ ครั้งไม่เป็นไปตามที่หวัง ย่อมผิดหวัง อารมณ์ ความโกรธ
ความไม่พอใจก็เข้ามาแทนที่ คำตำหนิที่เข้ามา ..... บริการไม่ดี ....
ตรวจไม่ละเอียด .... ทำไมรักษาไม่ได้ ..... รักษาเต็มที่รึเปล่า .......ฯลฯ เพิ่มมาเป็นเงาตามตัว


15 : 45 น.
คนไข้คนสุดท้ายเดินออกจากห้องไป ไม่มีเวลาแล้ว วันนี้ผมอยู่เวรใน อายุรกรรม (เวรในแปลว่า
เวรที่คอยดูแลผู้ป่วยใน ที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล
จะมีอีกเวรคือเวรนอกที่อยู่ประจำห้องฉุกเฉิน) อยู่เวรกับน้องแพทย์ฝึกหัดสองคนเดิมของผม
หว้า กับโบว์ แพทย์ใช้ทุนหนึ่งคนกับแพทย์ฝึกหัดสองคน
ดูแลวอร์ด 4
วอร์ด ในสองชั้นคือ 8A 8B 9A และ 9B
จำนวนเตียงปกติควรจะเป็นไม่เกิน 120 เตียง (วอร์ดนึงมี 30 เตียง) ซึ่งถือว่าไม่มากเท่าไหร่เทียบกับหมอสามคน แต่ตอนนี้มีคนนอนอยู่มากกว่าสองร้อยคน


16 : 00 น. ผมไปรับเวร (อธิบายภาษาหมอหน่อย รับเวร
คือการที่หมอคนที่จะอยู่เวรในคืนนั้น
จะไปคุยกับแพทย์ประจำวอร์ดนั้นว่ามีคนไข้รายไหนต้องดู หรือต้องระวังเป็นพิเศษ
คนไหนอาการหนักต้องเฝ้าติดตามอาการใกล้ชิดบ้าง) รับเวรกับหมอหรือก็เพื่อนผมเองนั่นแหละ
หมอประจำวอร์ดส่งเวรมาวอร์ดละหลายเตียง
รวม ๆ มีคนไข้ที่ต้องระวังกว่าสามสิบเตียง ... ถามว่าจำได้ไหม ... จำไม่ได้หรอก
.... ต้องจดโพยติดตัวเอา


17 : 00 น. เดินรับเวรมาครบทั้งสี่วอร์ดแล้ว
... เดินกลับมาวอร์ด 8A
วอร์ดของตัวเอง .... เดินไปหาพยาบาล ....
ขอผลเลือดทั้งหลายที่เจาะไปตอนเช้านี้มาดู ..... ได้ผลแล็ปมาเป็นปึ้ก
.....ดูชื่อ.... นึกไม่ออก .... ใครหว่า .... หว้าคอยช่วยเตือนผม .... “อ๋อ
ก็คุณตาคนนั้นไงค่ะ” ..... “คุณป้าที่นอนมุมนั้นไงคะ” .... อ๋อ ... จำได้แล้ว
..... มิน่าเค้ากันว่าผู้หญิงจำหน้าจำชื่อคนเก่งกว่าผู้ชาย สงสัยจะจริง

หลังดูผลการตรวจแล้ว
หลายเตียงผมสั่งการรักษาเพิ่ม ..... เปลี่ยนยาบ้าง ..... เพิ่มยาบ้าง ....
ตามแต่อาการไป เดินเยี่ยมอาการคนไข้ที่ตอนเช้าคิดไว้ว่าอยากคุยด้วยเพิ่มเติมแต่ไม่มีเวลา
คุยด้วยเตียงละนิด ... เตียงละหน่อย


18 : 00 น. เสียงโฟนตามสายในโรงพยาบาลดังขึ้นมา
... เสียงนรก ที่ผมอยากให้มันดังน้อย ๆ ที่สุด ... แต่มันก็ไม่เคยเป็นจริง ...
วันนี้มันดังแต่หัววันซะแล้ว ...

“แพทย์เวรอายุรกรรมโทรกลับ 802 ค่ะ แพทย์เวรอายุรกรรมโทรกลับ 802 ค่ะ “ ผมเดินไปเคาเตอร์พยาบาล กดหมายเลข 802 ลงไป ซึ่งเป็นเบอร์ของวอร์ด 8B ชั้นเดียวกับที่ผมอยู่นี่แหละ แต่ฝั่งตรงข้ามของตึกเท่านั้น

“ผมหมอธีรศานต์ครับ”
ผมพูดนำไปก่อนเมื่อปลายสายรับ

“อ้อ หมอค่ะ
มีคนไข้รับใหม่หนึ่งคนค่ะ อีอาไดแอ็กมาว่าฮาทเฟเลียค่ะ” (คำแปล อีอา คือ ER
มาจาก emergency
room
คือห้องฉุกเฉิน ไดแอ็ก ย่อมาจากคำว่า diagnosis คือ วินิจฉัยโรค ส่วนฮาทเฟเลีย มาจาก congestive heart
failure คือ
โรคหัวใจวาย)

“ครับ เดี๋ยวไปดูครับ” ผมเดินไปเรียกสองแพทย์ฝึกหัดที่อยู่เวรให้ไปด้วยกัน
ระหว่างเดินไปผมกดโทรศัพท์หาปอเพื่อนผมที่อยู่รพ.เดียวกันแต่อยู่แผนกเด็ก

“รู้แล้ว ...จะฝากซื้อข้าวเย็นล่ะสิ
ว่ากำลังจะโทรไปถามอยู่เลยว่าจะเอาอะไร”

เพื่อนรักเดาได้ว่าผมต้องการอะไร
ปกติพวกผมก็จะเป็นยังงี้อยู่แล้ว เวลาใครอยู่เวร คนที่เหลือจะมีหน้าที่หาข้าว
หาขนมมาฝาก เพราะส่วนใหญ่จะยุ่งจนออกไปกินข้างนอกไม่ได้

“เอาก๋วยเตี๋ยวแห้งร้านเดิมก็ได้”
เป็นที่รู้กันว่าผมมีร้านโปรดของผม ผมว่าพลางหันไปมองหน้า
น้องสองคนทำนองว่าจะกินอะไร

“หนูเอาเหมือนกันล่ะกัน
ขี้เกียจคิด” ทั้งสองคนบอกเหมือนกัน


19 : 00 น. ดูเคสรับใหม่เสร็จเรียบร้อย
พร้อมกับถูกตามนิด ๆ หน่อย ๆ อีกสองสามครั้ง ... ผมเริ่มหิวแล้ว เดินกลับไปที่ห้องพักแพทย์ที่อยู่ชั้น 8 อาหารกองวางทิ้งไว้ให้เรียบร้อยบนโต๊ะ ตัวผู้ให้ไม่อยู่คงกลับหอไปแล้ว ...
ไม่ทันได้ขอบใจ . ... บนถุงก๋วยเตี๋ยวมีกระดาษน้อยแปะอยู่
“มีทับทิบกรอบเก็บไว้ในตู้เย็นนะ ...ปอ” เห็นแล้วชื่นใจ ... มีขนมฝากเพิ่มเติมมาด้วย
ดีจัง


19 : 30 น.
พึ่งกินข้าวเสร็จ ว่าจะแกะทับทิบกรอบมากินต่อเพราะยังไม่อิ่ม แต่ช้าไปแล้ว ...
เสียงเดิมดังอีกแล้ว “แพทย์เวรอายุรกรรม 1414 .. ที่ 9B
ค่ะ “ ผมสามคนหยุดกินทันที ...
รู้ดีว่ารหัส 1414
หมายถึงมีคนไข้หยุดหายใจหรือหัวใจไม่เต้น .... ทุกคนวางช้อนจ้ำออกไปชั้น 9 ทันที ...

ผู้ป่วยชาย อายุมากแล้ว จากหน้าป้ายผมเปิดดูผ่าน
ๆ แกเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย .... มะเร็งกระจายไปทั่วช่องท้อง ที่ตับ ที่กระดูก
ผมรู้แค่นั้น ...ไปถึงแกหยุดหายใจไปแล้ว ... ผมขึ้นปั๊มหัวใจ ...
ในขณะที่น้องหว้าใส่ท่อช่วยหายใจเข้าทางปาก ทำงานร่วมกัน.... ผมสั่งยาฉีดยาอีกหลายตัว
....ใจก็สับสน ไม่แน่ใจว่าที่เราทำอยู่นี่คือการ prolonged life หรือเป็นแค่ delayed death กันแน่นะ ...ไม่รู้ ....
เพราะวินาทีนั้นผมคงไม่รู้คำตอบแน่ ๆ รู้เพียงว่าญาติและลุงแกไม่ได้เซ็นต์แสดงความจำนงว่าไม่ต้องการการกู้ชีพ
ผมก็ต้องทำไปตามหน้าที่ .... แม้รู้ว่าถึงช่วยขึ้นมาได้ ...
ก็ไม่รู้ว่าแกจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน เพราะมะเร็งของแกกระจายไปจนทั่ว
...จนท้องบวม ...ตัวผอมแห้ง ...

30 นาทีผ่านไป ... เหงื่อซึม ๆ ออกตามหน้าผาก ....
หลังสลับกันขึ้นปั๊มหัวใจติดต่อกัน .... ไร้ผล .... สภาพร่างกายลุงแกคงไม่ไหวแล้วจริง
ๆ .... แกอาจจะต้องการไปสบายมากกว่า .....ผมประกาศยุติการกู้ชีพ
....พยาบาลบันทึกเวลาเสียชีวิต .... ชีวิตแรกที่พ้นทุกข์ไปในคืนนี้


20 : 30 น. มีคนไข้รับใหม่อีกแล้ว ตกลงความพยายามที่จะกินขนมของผมยังไมสำเร็จ
... ยังไม่ทันเดินไปถึงห้องพัก ก็ต้องเดินกลับไปที่วอร์ดชั้น 9 คนไข้เข้ามาใหม่เป็นคนไข้ที่ถูกส่งมาจากโรงพยาบาลชุมชนอีกที
... เป็นคนไข้โรคหอบหืด ... พ่นยาที่รพ.ชุมชนแล้วไม่ดีขึ้น จึงส่งมา ....
ผมรู้ว่าจริง ๆ แล้วศักยภาพรพ.ชุมชน สามารถรักษาโรคหอบได้ แม้จะอาการมากยังไง
เพราะหากต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ รพ.ชุมชนก็มีเหมือนกัน ... รุ่นเดียวกันแป๊ะด้วย
.... ไม่ต่างกันเลย ... เมื่อก่อนก็ไม่มีรพ.ชุมชนส่งเคสแบบนี้มาหรอก
....แต่ตอนนี้ผมเข้าใจ ....เข้าใจ ....ใครย่อมไม่อยากจะเสี่ยงทั้งนั้น ....
หลังจากเหตุการณ์นั้น.....


เหตุการณ์แพทย์ใช้ทุนรพ.ชุมชนแห่งหนึ่งผ่าตัดไส้ติ่ง แล้วคนไข้เสียชีวิตจากการดมยา .... ญาติแจ้งความข้อหาฆ่าคนตาย .... น้องหมอผู้หญิงคนนั้นต้องนอนในห้องขังสามคืน .... ถึงได้ประกันตัว ...แถมศาลชั้นต้นยังพิพากษาจำคุก ต้องประกันตัวออกมาอุธรณ์ อีก.... ผมไม่รู้ว่าป่านนี้น้องเค้าเลิกเป็นหมอ ... หรือลาออกจากราชการ ....ไปทำอย่างอื่นรึยัง .... แต่หากน้องเค้าจะเลิกเป็นหมอ หรือเลิกทำโรงพยาบาลรัฐบาล .... ไม่แปลก .... ไม่แปลกเลย ....หากวันดีคืนดี ผมต้องไปนอนในห้องขังสถานีตำรวจ ร่วมกับผู้ต้องหาอื่น ๆ ถึงสามวัน ผมนึกไม่ออกว่าผมจะรับได้รึเปล่า ....ผมจะรู้สึกยังไง ..... ‘ช่วยคน จนต้องติดคุก’ .....หากผมมีลูกสาว และลูกผมต้องไปนอนในห้องขังทั้ง ๆ ที่ตั้งใจดี ....ผมคงให้ลูกลาออก ....อยู่ไปทำไมรพ.ชุมชน ... คิดแล้วท้อ ... ทำไมสังคมช่างโหดร้าย ....โหดร้ายกับผู้หญิงคนหนึ่ง ....โหดร้ายกับหมอคนหนึ่งถึงเพียงนี้ ....สังคมไทยที่ว่ากันว่าเอื้อเฟื้อหายไปไหน ... วันที่สังคมไม่น่าพิศมัยเอาเสียเลย .... แม้นจะได้เป็นหมอ (ในรพ.รัฐบาล)


ความยุติธรรมบางครั้งอยู่ตรงไหน .... ไม่เข้าใจ ....ทำไมผมเห็นดาราขับรถชนคนตาย .... ไม่เคยนอนห้องขัง ... ไม่เคยติดคุก .... บางคนข่มขืน .... ผิดชัดเจน .... ไม่เคยนอนห้องขัง ... ศาลเพียงให้รอลงอาญา ..... ทำไม ... ทำไม ... ทำไม ...... ผมเคยถามตัวเองหลาย ๆ ครั้ง

นึกถึงคำของอาจารย์ผมที่เคยถามผมไว้ว่า
“หมอ ... หมอเชื่อว่าโลกนี้มีความยุติธรรมจริงหรือ ?” .... นั่นสิ ....มีจริงหรือเปล่า? หรือมันคงเป็นแค่สิ่งที่อยากให้มี แต่คงไม่มีวันเป็นจริง ....

หลาย ๆ คนบอกมาคล้าย ๆ กับว่า การผ่าตัดโดยไม่มีหมอดมยา ... ไม่มีผู้ที่เชี่ยวชาญพอ.... ไม่มีอุปกรณ์ที่ดีเพียงพอ คือการประมาท ... คือการฆ่าคนตาย .... แต่ผมอยากบอกว่าโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศ 500 กว่าโรง แทบไม่มีรพ.ไหนมีหมอดมยาเลยซักกะโรง... แล้วอุปกรณ์ที่ดีพอคืออะไร ... หากบอกว่าต้องดีเท่ากับรพ.มหาลัยแพทย์ ... ประเทศนี้คงมีรพ.ที่ทำผ่าตัดได้ไม่เกิน 30 โรงมั๊ง.... แล้วโรงพยาบาลชุมชนจะมีห้องผ่าตัดไว้ทำไม .... หรือเอาไว้เพียงจี้ตาปลาเท่านั้น

ผลพวงจากเหตุการณ์ที่พวกผมเรียกว่าเหตุอัปยศที่สุดในวงการแพทย์ .... ส่งผลให้รพ.ชุมชนในจังหวัดทั้งหมดประกาศไม่ทำการผ่าตัดใด ๆ ในรพ.อีกเลยแม้แต่ไส้ติ่ง .... คนไข้ทุกรายจะถูกส่งเข้ามาผ่าตัดในรพ.จังหวัดหมด .... แน่นอนงานท่วมทันที .... วันก่อนเพื่อนผมเล่าว่า คนไข้เป็นไส้ติ่งอักเสบ มารพ. ทุ่มเศษ กว่าจะได้ผ่าปาไปตีห้ากว่า ...ญาติร้องเรียนรพ.ว่าทำไมรอนานขนาดนี้ ...ขู่จะฟ้องหมอกับรพ..... เพื่อนได้แต่บ่นเซ็ง ... บอกคืนนั้นมีคนรอผ่าไส้ติ่งอย่างเดียว 8 คน มีคนไข้อุบัติเหตุหนักต้องผ่าตัดอีกสองคน กระเพาะทะลุอีกหนึ่งคน ....ห้องผ่าตัดในเวรมีเปิดแค่สองห้อง ...ก็ต้องรอคิวกันไป .... หนักกว่าก็ต้องผ่าก่อน ...เบากว่าก็ผ่าหลัง แล้วจะให้ทำยังไง.... บางรายรอจนไส้ติ่งแตก .... แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ...ไม่งั้นก็ต้องแนะนำให้ไปผ่ารพ.จังหวัดอื่น แต่ดึกยังงั้นใครจะไปแถมตั้งหลายชั่วโมง...เมื่อก่อนรพ.ชุมชนผ่าตัดเองบ้างก็พอบรรเทาไปได้ แต่ตอนนี้บอกให้ผ่า ใครจะกล้าทำ ......

นอกจากไม่ทำการผ่าตัดใด ๆ แล้ว สิ่งที่ตามมาคือ คนไข้ที่อาการมากหน่อยไม่ว่าโรคใด ๆ จะถูกส่งต่อมารพ.จังหวัดทันที ทั้ง ๆ ที่บางอย่างรักษาที่รพ.ชุมชนก็ไม่ต่าง ... แถมน่าจะดีกว่าด้วยซ้ำเพราะคนไข้น้อยกว่ามีเวลาดูใกล้ชิดมากกว่า .... แต่หลายคนกลัว .... กลัวจะถูกฟ้อง .... กลัวถูกหาว่ารพ.ชุมชนไม่มีความพร้อม .....เลยป้องกันความเสี่ยงด้วยการส่งต่อเข้ารพ.จังหวัด ....ถามว่าผิดไหม ... ไม่ผิดหรอก .....เข้าใจ ..... เป็นผม ผมก็ทำเหมือนกัน ... ใครล่ะอยากเสี่ยง .....แต่ต่างกันแค่ตอนนี้ผมดันยืนอยู่ในรพ.จังหวัด .... ไม่ได้อยู่รพ.ชุมชน....


21 : 00 น. รหัส 1414 ดังขึ้นอีกแล้ว .... คราวนี้มาจากห้องไอซียูที่อยู่ชั้น
7
ผมกับน้องลงไปดู ... ผู้ป่วยชายติดเชื้อในกระแสเลือด .... อาการหนักอยู่แล้ว
....หยุดหายใจ .... ผมเริ่มต้นการกู้ชีพปั๊มหัวใจอีกครั้ง

ผ่านไป 10 นาที ยังปั๊มหัวใจไม่สำเร็จ ... เสียงประกาศรหัส
1414 จากวอร์ด 9B.... ผมหันไปสั่งโบว์ กับหว้าให้จัดการกันไปก่อน
....ผมขึ้นไปดูคนไข้ด้านบนก่อน


21 : 15 น. ผมขึ้นไปถึงภายในสองสามนาที
เริ่มรู้สึกเหนื่อย ... แต่เวลาเร่งจนไม่สามารถพักได้ .... ผมไปดู
คุณป้ามานอนโรงบาลด้วยโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันเฉียบพลัน .... พึ่งเข้ามาเย็นวันนี้
.... ตอนนี้หัวใจหยุดเต้น คาดว่าคงเป็นจากโรคหัวใจที่เป็นซ้ำขึ้นมาอีก ...
พยาบาลขึ้นปั๊มหัวใจ ... ผมสลับไปใส่ท่อช่วยหายใจเข้าทางปาก .... สำเร็จ
ผมลุกมาสั่งการ

“ให้ Adrenaline อีก 2 amp.” ... ผมบอกไป พลางสลับไปปั๊มหัวใจป้าเอง ....
เสียงตามสายลอยมา “หมอเวรอายุรกรรม โทรกลับ 901 ค่ะ” ... ผมได้ยิน 901 เบอร์โทรของวอร์ด 9A ตาม...
แต่ไม่สามารถโทรกลับไปได้ตอนนี้ ....

“ให้ Magnesium อีก 2 amp” ผมให้ยาต่อ ..... แต่แล้วก็ไม่อยากจะเชื่อ
........ “รหัส 1414 ที่ 8A ค่ะ” ดังซ้ำ ๆ .... ซวยแล้วสิ ... ผมรู้ทันที ...
ซวยแล้ว .... ผมกดมือถือหาหว้าอย่างรีบด่วน ให้พยาบาลขึ้นปั๊มหัวใจแทน ....

“หว้า ... ไปดูชั้น 8A หน่อยสิ พี่ยังปั๊มอยู่เลย”

“หนูเดินมาแล้วค่ะ ...
กำลังจะถึงแล้ว” หว้ายังรู้หน้าที่ดีเยี่ยม โดยไม่ต้องบอก ...
สองคนนี้เป็นน้องที่เก่ง แถมทำงานเป็นทีมได้ดีอีกด้วย

“ดี ... แล้วโบว์ล่ะ”

“ปั๊มหัวใจได้แล้ว แต่ BP ยัง drop อยู่เลยค่ะ มันยังเฝ้าอยู่” (คำแปล BP มาจาก blood pressure คือความดันโลหิต; drop คือต่ำ แปลรวมกันคือ ความดันยังต่ำอยู่)

“โอเค ถ้าพี่เสร็จแล้วจะตามไปนะ”
ผมวางหู .... ผมเริ่มหนักใจ .... ภายในชั่วโมงนี้มีคนไข้หยุดหายใจรวดเดียวสามคน
อะไรจะดวงแตกขนาดนี้ ... หมอที่มีอยู่สามคน นี่ก็กระจายไปคนละวอร์ดแล้ว ....ทุกคนปั๊มหัวใจกันอยู่หมด
.....นี่ถ้ามีอีกคนทำไงว่ะเนี่ย ....

ผมหยุดคิดหันมาช่วยคนไข้ตรงหน้าก่อน
.... นี่ผ่านมากี่นาทีแล้วนะ ... เกินสิบแล้วมั๊ง ...
ผมรู้ว่าการปั๊มหัวใจหากยิ่งนานยังไม่สำเร็จ โอกาสรอดยิ่งน้อยลงไปเรื่อย ๆ .....

“หมอค่ะ วอร์ด 8B ตามค่ะ ถามว่ายังไม่เสร็จเหรอ” พยาบาลถามขึ้นมาหลังจากไปรับโทรศัพท์

“ถามเค้าว่ามีอะไร บอกมาเลย”
ผมตะโกนบอก

“เค้าบอกว่าคนไข้ที่เลือดออกในกระเพาะ
... ตอนนี้เลือดออกเยอะ .. ความดันเหลือ 70/50 แล้วค่ะ”

“บอกให้เพิ่ม iv เป็น 200 cc per hour ไปเลย ... เตรียมจองเลือดไว้ด้วย 4 U บอกทางนี้เสร็จแล้วจะไป”

ผมสั่งยาไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้ รู้แต่เห็น
amp.
ยาวางเกลื่อนกลาดแถว ๆ นั้นเป็นสิบ amp. ... แต่ผมยังสู้เต็มที่ ...
หวังว่าคุณป้าก็จะสู้เช่นกัน

22 : 00 น.
ในที่สุดผมก็ช่วยคุณป้าสำเร็จ ... ตอนนี้ชีพจรกลับมาเต้น ความดันเลือดเริ่มดี ...
ผมติดเครื่องช่วยหายใจ ตั้งระบบเครื่องเรียบร้อยแล้ว ... ดีใจ ... ดีใจที่อย่างน้อยสามารถกู้ชีพได้หนึ่งคน
... เพราะรู้ดีว่าโอกาสกู้ชีพแล้วรอด ในชีวิตจริงนั้นมีไม่มากเท่าไหร่หรอก ..... ไม่เหมือนในหนังที่ปั๊มหัวใจ
กี่คน กี่คนก็รอดหมด ....

เมื่อเห็นคุณป้าอาการนิ่งแล้ว ...
ผมนึกถึงหว้า ... ไม่รู้เป็นยังไงมั่ง ...ผมวิ่งลงจากชั้น 9 ไปหาหว้าที่วอร์ด 8A ซึ่งเป็นวอร์ดที่ผมดูอยู่นั่นเอง ... ในใจผมคิด
... ใครกันน้อ ... ใครกันที่โชคร้ายต้องหยุดหายใจไป ... ใครกัน ... ผมนึกไม่ออก

ผมเดินไปถึงวอร์ด
ตรงไปยังเตียงที่ปิดม่าน มีพยาบาลล้อมรอบอยู่สองสามคน ... ผมเปิดม่านเข้าไป แล้วอึ้งไป ... น้องอ้อ
นี่เอง !!! .....

“เป็นยังไงบ้าง” ผมหันไปถามหว้า

“ตอนหนูขึ้นมา หายใจหอบมากจน
air hunger แล้วค่ะ
หนูเลยใส่ tube
ไป” (คำแปล air hunger
คืออาการหนึ่งที่คนไข้หายใจหอบเฮือกใหญ่ ๆ เป็นอาการก่อนที่ระบบหาจใจจะล้มเหลว
ส่วน tube คือท่อช่วยหายใจที่ใส่ทางปาก)

ไม่น่าเชื่อ
ตอนเช้าเธอยังคุยกับผม ยิ้มให้ผมได้อยู่เลย ... แต่ตอนนี้เธอนอนนิ่งไม่รู้ตัว
มีท่อช่วยหายใจใส่อยู่ที่ปาก มีสายน้ำเกลือแทงอยู่ทั้งสองแขน
พร้อมเครื่องวัดความดัน วัดออกซิเจนเต็มตัวไปหมด .... บางครั้งอารมณ์ชั่ววูบ ...
กลับแลกด้วยค่าตอบแทนที่แสนแพง ... ไม่คุ้มเลยกับผู้ชายหนึ่งคน .......แม่ของเธอที่ยืนอยู่ห่าง
ๆ กุมมือไว้ตรงอก น้ำตาไหลพราก ....

ผมมองไปรอบ ๆ เห็นพยาบาลยังบีบ bag เพื่อช่วยหายใจคนไข้อยู่เลย

“แล้วเบิร์ดล่ะ” (Bird คือชื่อชนิดเครื่องช่วยหายใจชนิดหนึ่ง)
ผมถามพยาบาล

“หมอ ของวอร์ดหมดไปแล้วค่ะ ...
นี่ต้องโทรไปขอยืมมาจากแผนกศัลยกรรม นี่ตัวสุดท้ายของโรงพยาบาลแล้วนะคะ
เวรเปลกำลังลงไปเอาอยู่ค่ะ”

ตัวสุดท้าย ...
แปลว่าหลังจากนี้ห้ามมีคนไข้หยุดหายใจอีกแล้ว ...
ไม่อย่างนั้นไม่มีเครื่องช่วยหายใจใช้แล้ว ...
ทางเดียวคือต้องส่งไปโรงพยาบาลจังหวัดข้างเคียง .... ซึ่งใช้เวลาหลายชั่วโมง .....
หรือรพ.ชุมชน ซึ่งก็คงไม่อยากมีใครรับเท่าไหร่ ....

อีกสิบนาที เครื่องช่วยหายใจมาถึง
.... ผมปรับตั้งเครื่อง ... หันไปมองแม่ของน้องอ้อ ... อยากเข้าไปคุยด้วย แต่วอร์ด
8B
โทรมาตามเป็นครั้งที่สามแล้ว ... สถานการณ์คงไม่ดีเท่าไหร่ ...
ผมคงไม่มีเวลาคุยด้วยในตอนนี้ ... ต้องรีบไปดูก่อน ตอนนี้เกือบห้าทุ่มแล้ว
นับจากที่วอร์ด 8B
โทรตามผมครั้งแรกก็........เกือบสองชั่วโมงแล้ว

23 : 00 น. ผมเดินข้ามไปวอร์ด
8B
รู้สึกว่าตัวเองตอนนี้คงเน่าสนิท สภาพคงดูไม่ได้ น้ำยังไม่ได้อาบ
หัวคงกระเซิงน่าดู ... หว้าเองก็เหงื่อซิก ๆ ทั้ง ๆ ที่อากาศเย็น ....โบว์ที่ตามมาสมทบก็ดูหน้าซีด
ๆ อิดโรย อนาถไม่แพ้กัน .... เธอรำพึง ...

“อยู่กับพี่ทีไรดวงแตกทุกทีเลย”

“เออ สิ ดวงใครล่ะ” ... ผมเห็นจริงด้วย อยู่เวรกับสองคนนี้ทีไร
เวรระเบิด ยุ่งกระฉูดทุกที ไม่รู้ใครเป็นตัวซวยกว่าใคร

ผมเดินไปเคาเตอร์พยาบาล ... ถามว่าเตียงไหนเป็นอะไร
... เธอทำหน้าลำบากใจเหมือนมีอะไร... ถามทำไมหมอมาช้าจัง ...
ผมตอบไปตามจริงว่ามีคนไข้ arrest พร้อมกันสามคน (arrest แปลว่าหยุดหายใจ) เธอพยักหน้ารับ ไม่ว่าอะไร ... คงเพราะเวลาโฟนรหัส
1414
มันดังทั้งดึกอยู่แล้ว เธอก็คงได้ยินอยู่ ... ที่ถามคงถามลอย ๆ เฉย ๆ ก่อนที่จะบอกประโยคถัดไป

“หมอ ญาติคนไข้โวยวายมากเลย
บอกทำไมถึงไม่มีหมอมาดูซะที ระวังนะ”

ผมพยักหน้ารับ เปิดชาร์ตคนไข้ดู เป็นลุงอายุ 45 ปีมาด้วยอาเจียนเป็นเลือดจาก esophageal
varices (หลอดเลือดดำโป่งพองที่หลอดอาหาร)
ซึ่งเป็นผลมาจากการเป็นโรคตับเรื้อรังเนื่องจากการกินเหล้า
คนไข้ที่เป็นโรคนี้มักเป็นซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้ง ผมเองก็คุ้นหน้าคุ้นตาลุงคนนี้อยู่
เพราะเหมือนว่าแกก็พึ่งมานอนรพ.เมื่อไม่นานมานี้ ...
แต่แกยังไม่ยอมหยุดเหล้าอยู่ดี แม้จำได้ว่าครั้งก่อนผมก็เคยย้ำแกหลายครั้งแล้วว่า
ต้องเลิกเหล้าโดยเด็ดขาด หากกินอยู่ จะเป็นอีกแน่ ๆ

ผมเข้าไปดู แกดูซีดมาก ความดันตก ชีพจรเต้นเร็ว
อันเป็นลักษณะของการเสียเลือดมากจนใกล้ช็อคแล้ว
หว้าที่ยืนอีกข้างของเตียงเอากระบอกฉีดยาสูบสาย NG tube โดยผมไม่ต้องบอก (NG คือท่อสายยางที่ใส่เข้าที่จมูกให้ไปอยู่ในกระเพาะอาหาร)
หว้าดูดออกมา น้ำที่ไหลตามสายยางออกมาเป็นสีแดงสด ไม่เป็นก้อน ... แสดงว่าเลือดที่ออกมายังไหลไม่หยุด
...

เสียงญาติที่ยืนห่าง ๆ มองมาด้วยสายตาไม่พอใจ
เสียงคำพูดลอยมาไกล ๆ แต่ฟังชัดทีเดียว “:-) หมออะไรว่ะ คนจะตายห่าอยู่แล้ว ไม่ยอมมาดูคนไข้เลย” เสียงนี้ด่าหรือให้กำลังใจ คงไม่ต้องแปล

“เลือดที่จองได้รึยัง” ผมหันไปถามพยาบาล

“ได้แล้วค่ะ กำลังให้คนงานไปเอาที่ห้องเลือด”

“หว้า irrigate NG ต่อไปนะ” (irrigate NG คือการใส่น้ำเข้าไปในกระเพาะ แล้วล้างออกมา
เพื่อดูว่ายังมีเลือดออกอยู่รึเปล่า กับเป็นการทำความสะอาดกระเพาะไปด้วย)

ผมเริ่มเครียด ตอนนี้ทุกนาทีเป็นนาทีชีวิตไปแล้ว
ลุงจะรอดหรือเปล่าผมไม่รู้ ... แต่สถานการณ์ปริ่มเหลือเกิน

“ได้เลือดแล้วให้เลือดไปเลยนะ ... iv อีกสายปล่อย free flow ไปเลย” ผมบอกกับพยาบาล (ปล่อย iv free
flow แปลว่า
ให้น้ำเกลือให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้)

“เตรียมเซ็งฯเลยไหมพี่” โบว์หันมาถามผม ( เซ็งฯ พูดย่อมาจาก Sengstaken Blakemore
tube
คือท่อที่ใส่เข้าไปในกระเพาะกับหลอดอาหาร คล้ายลูกโป่งเพื่อไปกดห้ามเลือด)

“เตรียมเลยโบว์
พร้อมแล้วพี่ว่าใส่เลยดีกว่า”

โบว์วิ่งไปหยิบอุปกรณ์ที่ห้องเก็บของ มาแกะออก
เตรียมน้ำยา เตรียมเครื่องมืออย่างรวดเร็ว เหมือนกับเมื่อกี้ไม่ได้เหนื่อย
ไม่ได้หน้าซีดมาก่อน ... เวลาคับขัน จิตวิญญาณมนุษย์ช่างทรงพลังจริง ๆ

ผมจัดการใส่เซ็งฯ ทันทีที่พร้อม ... ให้เลือด
ให้ยา ให้ทุกอย่าง เต็มที่แล้ว .... ที่เหลือก็สุดแล้วแต่บุญแต่กรรมแล้วมั๊ง
ผมได้แต่คิด หากเลือดไม่หยุดจริง ๆ ทางสุดท้ายก็คงต้องผ่าตัด ... ว่าแล้วผมโทรเข้าไปหาเพื่อนที่อยู่เวรศัลยกรรมติดต่อเผื่อไว้ก่อน พยาบาลปลายสายบอกหมอติดผ่าตัดอยู่
... ผมบอกขอคุยด้วยแป๊บเดียว เธอจึงยื่นโทรศัพท์ให้เพื่อนผมคุยทั้ง ๆ
อยู่ในห้องผ่าตัด

04 : 00 น.
ผมได้กลับมาในห้องพักแพทย์อีกครั้ง
ผ้าปูที่นอนทั้งสามเตียงยังกองวางอยู่ที่เดิมเหมือนเดิม
แสดงว่ายังไม่มีใครในเวรนี้ได้ล้มตัวลงนอนบนเตียงเลย ... ผมหยิบน้ำมากิน
หลังจากพูดไปเยอะ ... ค่อยหายแสบคอหน่อย ...เวรนี้ช่างหนักหน่วงเหลือเกิน หว้ากับโบว์ยังนั่งอยู่บนโซฟา
ยังไม่มีทีท่าจะเข้าไปนอนในห้อง

“ไม่นอนเหรอ” ผมถามขึ้นมา

“แป๊บนึงค่ะพี่ ขอกินน้ำ
กินอะไรหน่อย หิวอ่ะ” หว้าตอบกลับมา ผมยังสงสัยว่าน้องแกตัวผอมอย่างนี้ได้ไงเนี่ย ทั้ง ๆ ที่กินเยอะกว่าผมอีก

“เฮ้อ ... งานเรานี่
สุดคุ้มค่าจ้างเลยนะ” โบว์พูดบ้าง

จริง ...
ไม่บอกคนอื่นต้องไม่คิดแน่ว่าค่าเวร รพ.ผมนี่มันแค่ 700 บาทต่อคืนเท่านั้น งานหนักเป็นควาย ...
ความรับผิดชอบอันสูงยิ่ง ... แลกกับเงิน 700 บาท

“เมื่อไหร่เค้าจะขึ้นค่าเวรให้ก็ไม่รู้เนอะ
... นี่ค่าแรงน้อยกว่าพนักงาน MK ด้วยซ้ำมั๊ง” หว้าแซว

“พี่คิดดูดิ ทำงานสี่โมงเย็นถึงแปดโมงเช้า
16 ชั่วโมง ได้ 700 บาท หารออกมาเหลือ 43 บาทต่อชั่วโมง”

“เออ เนอะ” ผมก็ไม่เคยหารมาก่อน ไม่รู้หรอกว่าพนักงาน
MK
ได้ชั่วโมงเท่าไหร่ แต่ก็คงราว ๆ นี้จริง ๆ มั๊ง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะ
ก่อนมาเรียนผมก็ไม่เคยคิดมาก่อนหรอกว่าเงินเดือนหมอรัฐบาลมันจะน้อยขนาดนี้ถ้าเทียบกับงานที่ต้องรับผิดชอบกับความเป็นความตายของคน

“พี่งีบก่อนนะ” ผมหนีไปนอนบนโซฟาเพราะไม่ไหวแล้ว
โบว์หนีเข้าไปนอนในห้อง ส่วน หว้ายังเดินจกเลย์กินอยู่เป็นระยะ ๆ

หัวแตะหมอนยังไม่ถึงสิบนาทีเลยมั๊ง
... เสียงโทรศัพท์ในห้องพักก็ดังขึ้น

“หมอค่ะ
เคสที่กินยาฆ่าหญ้าอาการไม่ค่อยดีค่ะ” พยาบาลกรอกเสียงมาตามสาย ผมรู้ว่าเคสที่เธอพูดถึงก็คือน้องอ้อนั่นเอง ...

“ครับ เดี๋ยวไปดู” ผมถอนหายใจยาว
... แล้วเดินขึ้นไปดู .... วันนี้คงเป็นอีกหนึ่งวันที่ไม่ได้นอนซักชั่วโมง
ผมเดินไปดูน้องอ้อ ... เธออาการเริ่มแย่ หายใจเหนื่อยขึ้น ความดันเริ่มตก
ชีพจรเริ่มเบา .... ผมทำใจ และบอกให้แม่เธอทำใจ .... จากอารมณ์กำลังจะพัก
ตอนนี้ผมต้องอยู่กับอารมณ์ที่สลดหดหู่ .....
แม้ว่าผมจะชินแล้วกันความเป็นความตายก็ตาม .... แต่ทุกครั้งที่มีคนกำลังจะเสียชีวิตอยู่ตรงหน้า
...อารมณ์ผมก็มักจะเศร้าตาม ....อีกหนึ่งชีวิตที่กำลังจะดับไปพร้อมกับแสงตะวันแห่งวันใหม่ที่กำลังสาดส่องขึ้นมา

ผมเดินไปดูอีกสองสามเคส ... คุณป้าเริ่มรู้ตัว ยกมือทักทายผมได้แล้ว
ดีใจ ... ดีใจ ... คนไข้ไอซียู
อีกเคสที่ปั๊มหัวใจไปเมื่อคืน ก็ยังอาการดีอยู่ .... สองรายที่พ้นวิกฤติ
สองรายที่มีโอกาสเจอฟ้าวันใหม่

06: 00 น. สว่างคาตา
ที่มาของคำ ๆ นี้เป็นแบบนี้นี่เอง ตอนนี้ทุกอย่างสงบ
นึกดูไปแล้วเมื่อคืนยังกะผมหลงเข้าไปในสงครามกลางเมืองยังไงยังงั้น ... หกโมงเศษ ๆ หมอบางคนมาถึงวอร์ดแล้วเพื่อทำงานแต่เช้า
ผมเบาใจพอที่จะไปหาอะไรกิน

“ป๊ะ ไปหาโจ๊กกับกาแฟกินกัน
พี่เลี้ยงเอง” ผมหันไปบอกน้อง ๆ

“จริงเหรอคุณพี่ ... ป๊ะ ๆ “
หว้าดีใจออกนอกหน้า

ผมเดินไปโรงอาหารสั่งโจ๊กมากิน
... พร้อมกาแฟสุดเข้ม เพื่อโด๊ฟไว้
เพราะเดี๋ยวอีกชั่วโมงผมต้องไปทำงานต่อแล้วพร้อม ๆ กับไอ้น้องสองคนนี้แหละ ... เรื่องนอนตัดทิ้ง
... ต้องอาศัยกาแฟช่วยจะได้ไม่ง่วงซะก่อน กินเสร็จ อิ่มหนำ
หัวแล่นขึ้นสงสัยฤทธิ์คาเฟอีนจะออกแล้ว ผมแยกกับน้อง ๆ ไปอาบน้ำ ทั้ง ๆ
ที่จะว่าไปผมก็พึ่งอาบมาไม่กี่ชั่วโมงนี่หว่า
แต่ไม่อาบก็คงไม่ได้เพราะเหงื่อโทรมขนาดนี้

เดินกลับหอ อากาศหนาวเย็น ชื่นปอด
ผมชอบอากาศเย็น ยกเว้นแค่ตอนอาบน้ำเท่านั้นแหละเพราะดันไม่มีน้ำร้อน อาบแล้วรู้สึกดีกระปรี้กระเปร่าขึ้น


7 : 00 น. ผมกลับมาอยู่ที่วอร์ดพร้อมโบว์ หว้า อย่างตรงเวลา
... เริ่มราวด์ต่อ แต่ต่างกันตรงวันนี้เก้าโมงผมต้องไปออกโอพีดี ฉะนั้นหลังเก้าโมง
น้อง ๆ สองคนต้องราวด์กันเอง


9: 00 น.
ผมเดินไปตรวจโอพีดีช่วงเช้า นั่งนึกดูตอนนี้ 26 ชั่วโมงติดต่อกันแล้วที่ผมยังไม่ได้นอนซักแอ๊ะ
ไม่ปฏิเสธว่ามึนหัว รู้สึกเลยว่าหัวแล่นช้ากว่าปกติ คิดอะไรไม่ค่อยออกเท่าเดิม
....ยิ่งตรวจไปสองสามชั่วโมง ยิ่งเบลอ ๆ มากเข้าไปอีก

ผมไม่รู้ว่ามันแฟร์รึเปล่ากับคนไข้
ที่ต้องมาคุยกับหมอซอมบี้ ที่ดูมึน ๆ งง ๆ เป็นผม ผมก็คงอยากเจอหมอที่สมบูรณ์เต็มที่ทั้งกายใจ
ไม่ใช่เจอหมอสภาพคล้ายศพ มีวิจัยมากมายพบว่าคนอดนอนมีโอกาสทำผิดพลาดมากกว่าคนที่นอนเต็มที่หลายเท่า
... เมืองนอกบางประเทศมีกฎห้ามหมอทำงานมากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง
หากเกินนั้นต้องให้พัก ... ออกมาเป็นกฎเลย ... แต่ของไทย ...รู้กัน..... ผมเคยไม่นอนติดกันมากกว่า
48
ชั่วโมงด้วยซ้ำ ... มีเดือนนึงผมอยู่เวรแบบนี้ 20 วันต่อเดือน .... แต่ของแบบนี้เมืองไทยก็ยังตามมีตามเกิดไป

เคยมีแพทย์พยายามต่อสู้เพื่อให้มีวันพักหลังอยู่เวร
... แต่ก็ไร้ผลด้วยคำตอบง่าย ๆ คือ ...คนทำงานไม่พอ

เดี๋ยวนี้อัตราฟ้องร้องแพทย์เพิ่มขึ้นทุกๆ
ปี หากนับจำนวนกรณีพบว่าเคสหมอที่โดนฟ้องอยู่ในรพ.รัฐมากกว่าเอกชนด้วยซ้ำ ...
ผมก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ ... ผมตรวจคนไข้แค่เช้านี้กว่า 50 คน ... ตรวจคนละไม่กี่นาที ... มึนก็มึน
ง่วงก็ง่วง จะพลาดบ้างคงไม่แปลก เดือน ๆ หนึ่งตรวจไป 1000 กว่าคน ปีนึงก็ 12000 คน คนละ 4-5 นาที ผมจะตรวจถูกต้องทุกคนได้ยังไง .... ไม่ต้องคิด
... อาจารย์แพทย์ผู้ใหญ่คนหนึ่งเคยกล่าวอมตะวาจาไว้ว่า “หมอที่ไม่เคยผิดพลาด
คือหมอที่ไม่ตรวจคนไข้” ยังคงเป็นจริงเสมอ ๆ ไม่ว่าผ่านมากี่ยุค ……


ผมเองเคยวินิจฉัยพลาดก็หลายครั้ง
ให้ยาแล้วคนไข้แพ้ยาก็หลายที ...
แต่โชคดีที่ทุกครั้งอาศัยว่าความสัมพันธ์อันดีกับผู้ป่วย เลยรอดมาได้ทุกครั้ง
ไม่เคยถูกฟ้องร้องจริง ๆ จัง ๆ ซักที ส่วนเพื่อนที่ซวยก็มี โดนฟ้อง ต้องเครียด
เซ็งไปเป็นปี

ผู้ใหญ่ในกระทรวงพยายามหากฎหาระเบียบอะไรมากมายมาป้องกันการเกิดฟ้องร้องมากมาย
เช่นให้อธิบายคนไข้ดี ๆ อธิบายว่าโรคเป็นยังไง ต้องรักษายังไงบ้าง
มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนเท่าไหร่และอะไรบ้าง ยาที่ต้องกินมีอะไร
ยามีผลข้างเคียงอะไรบ้าง ฯลฯ แนวคิดนี้ไม่ใช่ว่าหมอส่วนใหญ่ไม่รู้
แต่หากต้องตรวจคนไข้ 100
คนในเวลา 8:00-16:00
น. จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ต่อให้กะไปเลยว่าหมอไม่กินข้าว ไม่เข้าส้วม ไม่กินน้ำ
... ตรวจแบบไม่ต้องพักเลย ... ก็ตรวจได้แค่คนละ 4 นาที 40 วินาที แล้วมันจะทำได้ยังไง??? ตราบใดที่คนไข้ยังมากกว่าหมอเยอะขนาดนี้


12 : 20 น. การตรวจเกินเวลาพักเที่ยงเป็นเรื่องปกติ
ผมหยุดตรวจเท่านี้ ที่เหลือให้รอตรวจช่วงบ่ายไป ผมไปกินข้าว เสร็จแล้วขึ้นไปดูน้อง
ๆ ผมว่าเป็นยังไงบ้าง โบว์กับหว้า ผลัดกันรายงานอาการคนไข้แจ้ว ๆ ผมเดินดูคนไข้ที่อาการไม่ค่อยดีในวอร์ดร่วมกับน้อง
ๆ อีกครั้งเพื่อให้การรักษาเพิ่มเติม

บ่ายโมง รพ.จังหวัดข้างเคียงโทรมาขอ refer คนไข้ บอกว่าเตียงเต็ม .... ผมตอบไปแบบสุภาพว่า
“ที่นี่ผ้าใบเต็มแล้วครับ เตียงน่ะเต็มไปหลายเดือนแล้ว ... ถ้าจะส่งมาจริง ๆ
บอกคนไข้ซื้อผ้าใบมาด้วยล่ะกันนะครับ” (ประโยคนี้ไม่ได้กวนตีนคนอื่นนะครับ
แต่เป็นจริง ๆ และรู้กันว่าถ้าไม่มีจริง ๆ แนะนำให้คนไข้เอาผ้าใบมาเองด้วย)

14 : 00 น. ผมได้รับโทรศัพท์ตามมาจากตึกอำนวยการของโรงพยาบาล
บอกว่า รองผอ.ต้องการพบตัวด่วน ... ผมเดาได้ว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ เพราะชาตินึง
ฝ่ายบริหารไม่ค่อยมาสนใจหมอที่ทำงานหรอก หากตามแบบนี้ต้องมีงานอะไรซักอย่างเข้า
และผมก็พอเดาได้ว่างานอะไรเข้า

จริง ๆ
หมอที่ทำงานมีเรื่องมีราวกับฝ่ายบริหารมานานแล้ว ... ไม่ว่าจะเรื่องค่าเวรที่ต่ำเตี้ย
เรี่ยดิน แถมช่วงหนึ่งฝ่ายบริหารมีแผนเพิ่มคนอยู่เวร
เช่นจากเวรในอายุรกรรมที่ผมอยู่คนเดียว
(ไม่นับแพทย์ฝึกหัดเพราะไม่ได้เงินอยู่แล้ว) จะให้แพทย์ขึ้นเวรสองคน แต่เงินเวรคนเดียวเท่าเดิมคือ
700 บาท ...
ดังนั้นต้องเอาไปหารกันเองสองคน เหลือคนละ 350 ... แน่นอนว่าถูกโต้แย้งอย่างหนัก เพราะนอกจากเงินที่น้อย
จำนวนเวรที่ต้องขึ้นก็พรวดเป็นสองเท่า เท่ากับเดือนหนึ่งอยู่เวรยี่สิบกว่าวัน
ใครมันจะไปอยู่ได้

ผมเดินไปตึกอำนวยการที่ตบแต่งอย่างสวยงาม
... เดินไปหา เลขาฯ หน้าห้อง ... เธอบอกให้เข้าไปพบได้เลย
ผมยิ้มตอบแล้วเดินเข้าไปในห้อง รองผอ.หน้าหงิก ตั้งแต่เข้าไป บรรยากาศในห้องดูมาคุ


รองผอ.เธอบอกว่าญาติคนไข้ร้องเรียนหมอมา
ว่าไม่ยอมมาดูคนไข้ มาดูช้า จนคนไข้เสียชีวิต ...
ญาติบอกเตรียมจะฟ้องหมอกับรพ.แล้ว

ผมถูกซักเหตุผลละเอียดยิบ ...
ทำไมไปดูช้า... ผมก็ตอบไปตามที่เกิดขึ้นจริง

“หมอยุ่งเหรอ ยุ่งทำไมให้น้องไปดูก่อน” ... ผมงงว่าผมก็พึ่งตอบไปนี่หว่าว่าน้องทุกคนก็ดูคนไข้อยู่

“แต่หมอก็ต้องแบ่งเวลาให้ดี ๆ สิ” ... ถูกยิงคำถามต่อทันที ... ผมเซ็ง ... เซ็ง ... จนไม่อยากจะตอบอะไรอีกเลย ... แบ่งเวลาดี ๆ พูดเฉย ๆ น่ะง่าย .....แต่ลองตอบชัด ๆ มาสิว่าแบ่งดี ๆ ในสถานการณ์นั้นแบ่งยังไง ?? ใจอยากบอกว่า ... ลองมาอยู่เองไหมล่ะครับ .... อยากรู้เหมือนกันว่าจะทำยัง .... ผมไม่ใช่อมีบา จะได้แบ่งตัวเป็นหลาย ๆ ตัวแล้วกระจายดูคนไข้ได้นะ (ต้องเข้าใจก่อนว่า ผู้บริหารบางโรงพยาบาลนั้นมักไม่ตรวจคนไข้ และไม่ต้องอยู่เวรกันมานานแล้ว บริหารอย่างเดียว ทิ้งเวรและภาระงานตรวจให้หมอเด็ก ๆ หมด รพ.นี้ก็เช่นกันผอ.และรองผอ.ไม่เคยตรวจคนไข้มาจะร่วมยี่สิบปีแล้ว)


“ถ้าเวรยุ่งมาก หมอก็ตามเพื่อนมาช่วยอยู่สิ” ....เฮ้อ การมองเหตุการณ์ย้อนหลังแล้วเฝ้าจับผิดก็เป็นแบบนี้ทุกทีไป ........ ดึกขนาดนั้นจะโทรตามใคร .... ให้ตามคนไม่ได้อยู่เวร... ดึกป่านนั้นก็คงอาบน้ำแต่งชุดนอน นอนอยู่กับบ้านกันแล้ว ..... จริง ๆ ผมเชื่อว่าโทรไปเพื่อนผมก็คงมา แม้จะไม่ได้อยู่เวร แม้จะไม่ได้ตังค์ซักกะบาท แต่ทุกคนก็มา ... มาเพราะรักเพื่อน .... มาเพราะมนุษยธรรม .... แต่เอาเข้าจริงใครจะไปรู้ว่ามันจะยุ่งขนาดนั้น ... สารภาพว่าตอนคนปั๊มหัวใจคนไข้อยู่ มันคิดไม่ออกหรอกครับวิธีนี้ ....แถมหากจะโทรจริง ๆ กว่าจะโทร ... กว่าเพื่อนจะเปลี่ยนชุด .... กว่าจะเดินทางมาถึงรพ. .... กว่าจะขึ้นมาบนตึก ....คนไข้คงตายไปสักสามสี่รอบแล้ว.....

“ไม่ยังงั้นทำไมหมอไม่ตามเพื่อนที่ห้องฉุกเฉินมาช่วยล่ะ” ... คำถามอันนี้หนักกว่าอันเดิม .... ท่านไม่ต้องอยู่เวรมาหลายสิบปีแล้ว ไม่เคยโผล่มาดูห้องฉุกเฉินด้วยซ้ำ เลยไม่รู้ว่าห้องฉุกเฉินรพ.นี้ เดี๋ยวนี้มันนรกแตกแค่ไหน คืน ๆ นึงคนไข้เป็นร้อย ตายไม่รู้กี่คน อุบัติเหตุเพียบตามแนวคิดเมาแล้วขับ ... แล้วเอาหมออีอามาช่วยในตึกจะเป็นไปได้ยังไง แล้วคนไข้หนักมา ไม่มีใครดู เกิดตาย ก็โดนฟ้องอยู่ดี

ผมโดนบ่นไปอีกหลายสิบนาที .... ป้ารองผอ. บอกรู้ไหมว่ารพ.จะต้องจ่ายเงินให้ญาติเท่าไหร่ เพื่อให้เรื่องยุติ รู้รึเปล่า ... ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่คิดจะไล่บี้เอาที่จ่ายไปคืนจากหมอ .... รู้ไหม ..... เงินตั้งหลายหมื่น
อ้าว .... นี่พูดเหมือนทวงบุญคุณเลยนะเนี่ยที่จะไม่ไล่บี้เอาเงินจากผม .... แน่ล่ะสิ่งที่ลุงกับญาติได้รับนั้นถือว่าไม่เต็มที่จริง ๆ ทางการแพทย์ ... มีหมอมาดูช้าจริง ๆ .... ผมยอมรับ ..... แต่หากย้อนเวลากลับไปได้ มีคนไข้หัวใจหยุดเต้นพร้อมกัน 3 คน ... กับคุณลุง ผมก็ยังคงต้องเลือกดูคนไข้ที่หัวใจหยุดเต้นก่อนอยู่ดี และนี่ก็คงดีที่สุดแล้วในขณะนั้น.... ....อย่างน้อยความคิดแบบนี้ก็ช่วยปลอบใจอารมณ์ขุ่นมัวของผมได้นิดหน่อย

ผมมาปรอทแตกเอาตอนที่ป้าแกบอกว่า “พวกหมอสมัยนี้ไม่ได้เรื่องกันเลยซักคน น้องของหมอก็เหมือนกันดูแลให้ดี ๆ หน่อย อยากเป็นหมอกันจริงรึเปล่าเนี่ย”

เสียงเหมือนมีอะไรขาดฝึงในหัวผม ...ผมลุกยืน “ไม่ได้เรื่องยังไงครับ ... ผมว่าหมอสมัยนี้ กับสมัยก่อนก็ไม่ต่างกันหรอกครับ ... อย่ามาว่าเพื่อนและน้อง ๆ ผม .. ทุกคนอยู่ที่นี่ด้วยอุดมการณ์ ด้วยความตั้งใจทั้งนั้น ... ทุกคนทำเต็มที่ ... เมื่อคืนก็ไม่มีใครได้นอนเลยซักคน .... คุณเคยมาดูบ้างมั๊ย ....คุณเคยมาเห็นมั๊ย......คุณเคยรู้ไหมว่าคนไข้ล้นวอร์ดมากขนาดไหน ....หมอแต่ละคนตรากตรำกันแค่ไหน ....คุณนั่งแต่บริหาร ไม่เคยตรวจคนไข้ ไม่เคยมาดูพวกผมทำงานด้วยซ้ำ อย่ามาตัดสินว่าเพื่อนหรือน้องผมได้เรื่อง หรือไม่ได้เรื่อง ....ผมไม่มีอะไรจะพูดแล้ว” ผมหันหลังเดินออกจากห้อง ปิดประตูใส่ทันที ไม่สนใจว่าป้าแกจะว่าอะไร ช่าง:-) .... อยากไล่ออกเหรอ .... ก็เชิญสิ .... ออกแล้วหาคนมาตรวจแทนผมด้วยล่ะกัน .... ผมมีทางไปอยู่แล้ว รพ.เอกชนอีกมากที่ยังอยากได้หมอ ทางไปที่หรูกว่า สบายกว่า รายได้เยอะกว่า

ผมเข้าใจเพื่อนผมที่ลาออก .... เข้าใจ ... เข้าใจ ......ไม่เคยมองว่ามันไม่ดี ... แม้จะแอบเคืองบ้างว่าการลาออกของมันทำให้งานผมหนักขึ้น ...แต่ดีใจที่มันดูสุขสบายดี แถมยังมาชวนให้ผมไปอยู่สบาย ๆ ด้วย

คนมักประณามหมอที่อยู่เอกชนยังกะไปฆาตกรรมใครมา ..... บางองค์กรด่ายับไม่มีดี ........ผิดหรือที่อยากทำงานสบาย ... ผิดหรือที่อยากทำงานได้เงินเยอะ ๆ โดยไม่ได้ไปโกงใคร..... รักษาคนเหมือนกัน .... ผิดหรือที่อยากกลับไปอยู่กับพ่อแม่ ...มันผิดหรือที่ไม่อยากอดหลับอดนอน ....มันผิดหรือ ..... ผมรู้คำตอบตัวเองดี

ปัญหาแพทย์หนีออกนอกระบบยังมากขึ้นเรื่อย ๆ บัจจุบันประเทศไทยมีโรงพยาบาลชุมชนห้าร้อยกว่าโรง ... มากกว่าครึ่งของแพทย์ที่อยู่ในนั้นคือแพทย์ใช้ทุน ...ที่หนีไปไหนไม่ได้ ..... เพราะติดทุน หรือติดว่าต้องเรียนต่อ (ผู้ใหญ่ออกกฎมาว่าหากจะเรียนต่อ ต้องใช้ทุนอย่างน้อย 1 ปีไม่งั้นไม่มีสิทธิเรียนต่อ) ผู้ใหญ่บางคนคิดวิธีแก้ปัญหาแพทย์หนีไปเอกชนตื้น ๆ ได้เพียงแค่ “ก็เพิ่มเงินค่าใช้ทุนไปสิ” จากเดิม สี่แสนบาท จะเพิ่มให้เป็นล้านกว่าบาท เพื่อไม่ให้แพทย์หนี ... ยังคงคิดได้กันเท่านี้ คิดแก้กันที่ปลายเหตุ .... เหมือนมีคน post รูปโป๊ลง hi5 ก็ปิด hi5 มันไปสิ อะไรแบบนี้ ต่อให้เป็นล้านนึง แต่ตราบใดที่ทำงานเอกชนแล้วได้เงินเดือนเดือนละเป็นแสน ล้านนึงก็ไม่ใช่ปัญหาหรอก รพ.เอกชนบางแห่งออกเงินให้ยืมแบบไม่มีดอกมาใช้ทุนเลยด้วยซ้ำ ... ขอให้ไปอยู่กับเค้า

ผมยังดีใจที่แพทยสภายังไม่บ๊องตื้นและคิดอะไรง่าย ๆ เพียงเท่านี้ .... อ.สมศักดิ์ พูดได้ถูกใจว่า แพทย์ใช้ทุนก็เหมือนนกถูกขังกรง กรงเปิดเมื่อไหร่ก็บินหนีไปหมด ... ผมขอเติมว่าเป็นนกที่ถูกขังกรง อดอาหาร อดหลับอดนอนอีกต่างหาก ... เพราะนกเหล่านี้รู้สึกว่าถูกขังกรง ไม่ได้รู้สึกว่าอยู่ในบ้าน ดังนั้นหากมีช่องกรงเปิดหนีได้ก็ย่อมหนี ... ทำยังไงให้นกเหล่านี้รู้สึกว่าเหมือนได้อยู่บ้าน ไม่อยากไปไหน บินไปก็อยากบินกลับมา .... น่าจะเป็นทางแก้ที่ดีกว่า


สองวันที่ผ่านมาช่างมีอะไรเกิดขึ้นมากมายจนไม่น่าเชื่อ ... ทั้งเรื่องเครียด เรื่องเศร้า เรื่องเจ็บปวด เรื่องโมโห และเรื่องสนุกสนาน ... .เป็นความทรงจำที่มีความหมาย ... ผ่านมานานยังไง ... ผมก็ไม่เคยลืมเลือน ... ยังจำได้ดีกับชิวิตแพทย์ต่างจังหวัด ... ยังจำได้ดีว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างกับชีวิตคนป่วย รอยยิ้ม การไหว้ ความดีใจ การโกรธ การชี้หน้าด่า ความไม่พอใจ .... ชีวิตที่ถือกำเนิดใหม่ ชีวิตที่ดับสูญไป ชีวิตที่ผ่านพ้นความตายอย่างฉิวเฉียด


บันทึกไว้บนสื่อคอมพิวเตอร์ มิ.ย. 2551

ผมอยากที่จะเชื่อ

จากคุณ : ผมอยากที่จะเชื่อ
เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 14:07:50







แอบขอลงเพิ่มครับ (ท่อนที่ผมลงขาดไป)

16 : 00 น. ผมเดินกลับมาที่วอร์ด หว้าเข้ามาถามทันที
“เป็นยังไงมั่งพี่”


ผมเล่าไปตามที่เจอมา
“เจ๋งมั๊ก ๆ พี่ แหมน่าชวนหนูไปด้วยนะ จะได้ช่วยตบมือให้” หว้าพูดพร้อมตบมือให้

“นี่แหม ...นะ ... ขืนตบจริงหนูจะซวยล่ะสิ พี่น่ะลอยตัวแล้ว” ใจผมก็เสียว ๆ เหมือนกัน ผมไม่ได้กลัวถูกไล่ออกหรอก เพราะยังไงก็ไม่มีทางอยู่แล้ว แม้แต่จะลงโทษยังไม่มีทางด้วยซ้ำ ... แต่ผมกลัวการฟ้องมากกว่า เพราะมันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อและบั่นทอนกำลังใจคนเป็นหมอเยอะทีเดียว

บางทีผมก็คิดเหมือนกันว่าคุ้มรึเปล่าเนี่ย กับเงินเดือน สองหมื่นเศษ ๆ กับค่าเวรนิด ๆ หน่อย ๆ กับงานหนักขนาดนี้ เสียสุขภาพขนาดนี้ ต้องจากบ้านพ่อแม่มาอยู่จังหวัดที่ไม่เคยมาอยู่มาก่อน .... คุ้มไม๊ .... หรือผมลาออกไปอยู่เอกชนเหมือนที่เพื่อน ๆ ผมทำ ....

ขณะคิดอยู่เพลิน ๆ เพื่อนผมที่อยู่รพ.เอกชนในกรุงเทพโทรมาชวนเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ มาชวนไปอยู่รพ.เอกชนด้วยกัน บอก

“แก เงินเดือนขั้นต่ำ 80,000 เชียวนะ ... นี่ไม่นับว่าเวรอีกนะแก .. ทำแค่ห้าวันวันละแปดชั่วโมง เหมือนแกทำทุกวันนี้แหละ... แต่คนไข้วันนึงไม่กี่คนเอง .... กลางวันว่างนั่งเล่นเน็ตได้เลย เน็ตฟรีด้วย .... ไม่มาจริงเหรอ ไม่นับค่าเวรคืนละสี่พันนะแก ... แกอยู่ที่นั่นไปสี่ห้าคืนได้เท่ากูอยู่ที่นี่คืนเดียวเองนะ .... “

บางทีคิดตามผมก็เคลิ้มไปบ้าง ... แต่ผมบอกมันไปว่า “ไม่เอาว่ะ ขอเป็นคนดีก่อน”

“แก ... คนดีกับคนโง่มันต่างกันด้วยเส้นบาง ๆ นะโว๊ย”
“ยังไงว่ะ” ผมสงสัย

“แกคิดดิ ... แกว่าคนที่ยอมอดหลับอดนอน ...เสียสุขภาพ ....เงินก็ได้นิดเดียว .... แถมทิ้งพ่อ ทิ้งแม่ให้อยู่กันเองไม่ได้ดูแลอีก ไม่มีปัญญาส่งเงินเลี้ยงดู ... มันเรียกว่า คนดีหรือคนโง่วะ กับคนที่เลือกทำงานที่สบาย สุจริตเหมือนกัน ไม่ต้องอดหลับอดนอน ได้เงินเยอะ ๆ ได้มีเวลาอยู่กับพ่อแม่ มีเงินมากพอเลี้ยงพ่อแม่ได้ มันเรียกว่า คนเลวหรือคนฉลาดล่ะ”

ผมอึ้งไป .... ตอบไม่ถูก .... ไม่รู้เพราะคิดไม่ออกจริง ๆ หรืออดนอนจนหัวไม่แล่น รู้แต่ผมเถียงมันไม่ได้ในตอนนี้ แถมบางคำของมันช่างกระแทกใจดีจริง ๆ ถูกเลย....ถูก.....ที่ตอนนี้เงินเดือนผมมีปัญหาพอเลี้ยงตัวเองเท่านั้น ยังไม่พอที่จะเอาไปเลี้ยงคนอื่น .... บ้านผมก็ไม่ได้กลับมาเป็นเดือน ๆ แล้วเพราะเดือนนึงอยู่เวรสิบกว่าวัน ... จะหาวันว่างติดกันสองสามวันเพื่อกลับบ้านก็ยากเต็มที .... ไปกลับวันเดียวก็เหนื่อย

“เฮ้ย ถ้าเปลี่ยนใจเมื่อไหร่บอกนะเว้ย ... จะได้มาอยู่เป็นเพื่อนกัน” มันทิ้งท้ายไว้ก่อนวางหู

ผมเข้าใจเพื่อนผมที่ลาออก .... เข้าใจ ... เข้าใจ ......ไม่เคยมองว่ามันไม่ดี ... แม้จะแอบเคืองบ้างว่าการลาออกของมันทำให้งานผมหนักขึ้น ...แต่ดีใจที่มันดูสุขสบายดี แถมยังมาชวนให้ผมไปอยู่สบาย ๆ ด้วย

จากคุณ : ผมอยากที่จะเชื่อ
เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 15:30:14





ปล. แถม


สาเหตุที่ทำให้แพทย์ลาออกจากราชการ ... เคยมีการวิจัยมาเพียบ เมื่อไหร่จะเริ่มแก้ไข ???

//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=23-02-2010&group=7&gblog=140


ทำไม ผมถึงลาออกจากราชการ .... เรื่องเก่าเขียนไว้ตั้งแต่ปี 2551 เอามาเล่าสู่กันฟัง

//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=28-01-2011&group=15&gblog=37





Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2555 14:59:37 น.
Counter : 39216 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Cmu2807.BlogGang.com

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]

บทความทั้งหมด