กลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา ตอนที่ ๑ ศพที่หนึ่ง




ตอนที่ ๑ศพที่หนึ่ง



หากการประชุมครั้งนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการลงมตินำเทคโนโลยีด้านสถาปัตยกรรมใหม่ๆ มาใช้ในโครงการหรือถ้าให้เครียดขึ้นไปอีกสักหน่อยอย่างเช่นเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับข้อกฎหมายด้านสิ่งปลูกสร้างที่รัฐบาลเพิ่งประกาศใช้ก้องปฐพี ฤทธิ์นาคารองประธานบริษัทชลธารคอนสตรักชันจะไม่รู้สึกหน่ายใจจนเผลอทอดสายตาสีนิลมองท้องฟ้าสีสดใสนอกหน้าต่างกระจกบานกว้างของห้องประชุม

“เราจะไม่ตั้งโต๊ะแถลงเพื่อโต้ข่าวไม่จริงพวกนั้นบ้างหรือครับคุณก้อง”

หลังจากฟังเสียงทุ่มเถียงกันในที่ประชุมมานานรองประธานหนุ่มก็ถูกผู้จัดการฝ่ายการตลาดถามความเห็นถึงการโต้ตอบข่าวที่สร้างกระแสลบให้กับภาพลักษณ์ของบริษัท

ชายหนุ่มลอบถอนหายใจวางปากกาที่ยังไม่ได้ใช้มันเซ็นสัญญาจัดจ้างก่อสร้างถนนหลวงสายสำคัญสายใหม่แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเลยมาตฐานชายไทย จากนั้นวางมือทั้งสองชันกับพื้นโต๊ะ กวาดสายตามองใบหน้าของผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนก่อนมาหยุดที่ใบหน้ากังวลของธิดา ฤทธิ์นาคา ผู้เป็นน้องสาวแสนรักหนึ่งเดียว

“ผมไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่เราจะต้องเสียเวลาไปตั้งโต๊ะแถลงข่าวในเรื่องที่มันไม่จริง”เสียงทุ้มเอ่ยหนักแน่นไม่แพ้ดวงตาที่ฉายแววความจริงจังในทุกคำพูด

“แต่ทั้งข่าวทางทีวีหรือข่าวในกองหนังสือพิมพ์ที่พวกเราทุกคนกว้านซื้อมาก็มีแต่ข่าวโจมตีเราฝ่ายเดียวนะคะพี่ก้องถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้จะส่งผลต่อชื่อเสียงของบริษัทในอนาคต”ผู้เป็นน้องรู้ดีว่าทุกคนรู้สึกอย่างไร จึงขอเป็นตัวแทนพูดกับพี่ชายเอง

“เมื่อสองปีที่แล้ว เราก็เคยเป็นบริษัทโนเนมไม่ใช่หรือแล้วเมื่อสองปีที่แล้วพวกเราทุกคนที่นั่งในห้องนี้ทำงานเพื่ออะไรเพื่อชื่อเสียงที่มีวันเกิดมีวันดับหรือเพื่องานคุณภาพแต่ยั่งยืน”

ปณิธานของประธานบริษัทผู้เป็นบิดาซึ่งวางมือจากการบริหารไปแล้วถูกหยิบยกขึ้นมาเตือนสติ และแม้ก้องปฐพีจะไม่ได้ยินคำตอบจากปากที่กำลังเม้มแน่นของแต่ละคนเขาก็เชื่อเหลือเกินว่ายังคงได้รับการสนับสนุนจากทีมงานให้เป็นผู้นำบริษัทไปสู่อนาคต

“เราจะจบการประชุมแค่นี้ขอให้ทุกคนแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ส่วนตัวผมเองในฐานะรองประธาน...”เขากล่าวเสียงก้องกังวานพลางหยิบปากกาด้ามเดิมขึ้นมาในมืออีกครั้งและครั้งนี้มันถูกจรดลงบนกระดาษเพื่อลงนามเซ็นสัญญาจ้างงานกับรัฐบาล“ผมจะเป็นผู้ตัดสินใจรับงานที่มั่นใจว่าเราทำได้ดีกว่าพวกเก่งแต่ปาก”

จากนั้นยื่นหนังสือสัญญาส่งให้กับผู้จัดการฝ่ายการตลาดพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้ใบหน้าหล่อเข้มเต็มไปด้วยไรหนวดครึ้มดูอ่อนโยนลงไปถนัดตา

“ปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมได้ทำงานไปตามครรลองของมันส่วนพวกเราก็แค่ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดก็พอ”พูดทิ้งท้ายแล้วค้อมศีรษะขอตัวเดินออกจากห้อง ถอดเสื้อสูทตัวหนาปลดเนคไทและกระดุมพอให้หน้าอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามได้คลายความอึดอัดแล้วพาตัวเองขึ้นไปสูดอากาศบริสุทธิ์บนชั้นดาดฟ้า อ้าแขนรับสายลมและแดดอุ่นยามบ่าย

“ก็ในเมื่อความจริงเป็นสิ่งไม่ตายแล้วจำเป็นหรือที่ ก้องปฐพี ฤทธิ์นาคา จะต้องป่าวร้องให้โลกรู้ถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่องในใจ”

ชายหนุ่มรำพึงพลางล้วงเอากล่องเก็บบุหรี่ออกจากกระเป๋ากางเกงจุดไฟแชกที่ปลายมวน สูบควันนิโคตินเข้าเต็มปอดแล้วทอดสายตามองปุยสีเทาหม่นที่เคลื่อนตัวตามแรงลมกลบทับเสี้ยวดวงจันทร์สีขาวก่อนลดสายตาลงมองแสงสีทองที่เริ่มฉาบตรงเส้นขอบฟ้าจากนั้นหลับตาพักความทุกความคิดทำจิตใจให้สงบ

ทว่าเสียงสายเรียกเข้าที่ดังจากสมาร์ทโฟนในกระเป๋ากางเกงขัดจังหวะความผ่อนคลายและพอดูหมายเลขปลายทางก็ทอดถอนลมหายใจเสียงยาวก่อนเลื่อนปุ่มรับสาย

“ก้องปฐพีพูดครับ”

“ฉันโทรมาเพื่อขอคำตอบ”

ถึงปลายทางไม่ได้แนะนำตัวและเอ่ยคำทักทายกลับอย่างที่หวังเขาก็จำน้ำเสียงเข้มงวดของหญิงสาวปลายสายได้ดี เธอคือ ไหมแก้ว วงศ์เวชหมอประจำหมู่บ้านช้างที่เขารับอาสาเข้าไปฟื้นฟูสภาพบ้านเรือนที่ถูกไฟเผาด้วยฝีมือของนายพนาอาชญากรระดับประเทศ

“คำตอบเรื่องอะไรครับ” จริง ๆ แล้วก้องปฐพีรู้อยู่แก่ใจว่าเธอหมายถึงอะไร แต่ก็อยากยั่วยุอีกฝ่ายกลับเป็นการเอาคืน

“คุณคงเริ่มมีอาการความจำเสื่อมเพราะถ้าหากคุณจำเรื่องที่เราคุยกันไม่ได้จริงดิฉันก็คงต้องบอกกับคุณปราณนารายณ์ว่าขอปฏิเสธคำขอร้องของเขาและไม่ให้คุณทำงานนี้”

ก้องปฐพีพ่นลมหายใจพรวด สงบสติข่มความขุ่น แล้วดัดเสียงให้นุ่มสุดขีดเท่าที่ทำได้“คนที่ความจำเสื่อมไม่น่าเป็นผมเพราะผมได้ฝากคำยืนยันไปกับทางเลขานุการแล้วนี่ครับว่าผมขอพิจารณาเรื่องที่คุณหมอขอเปลี่ยนแบบแปลนก่อสร้างซึ่งผมก็จำได้ว่าผมโทรศัพท์ไปที่เบอร์นี้หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีใครติดต่อกลับมาจนผมคิดไปว่าเจ้าของหมายเลขอาจจะเป็นคนขี้ลืม หรือไม่ก็งกค่าโทรศัพท์ขั้นเทพ”

“ดิฉันไม่ได้ขี้ลืมค่ะแต่งกค่าโทรศัพท์ขั้นเทพจริงอย่างที่คุณบอกถ้าอย่างนั้นขอตัดสายสักครู่แล้วขอให้คุณเป็นฝ่ายคุณเป็นฝ่ายโทรกลับนะคะเพราะมันเปลืองเงินค่าโทรศัพท์ของดิฉัน สวัสดีค่ะ” ไม่ทันให้เขาพูดทักท้วง เจ้าหล่อนก็ให้เขาฟังเสียงตัดสัญญาณทันที

“มันอะไรกันวะเนี่ยแม่คุณเอ๊ย!”

รองประธานหนุ่มคำรามแล้วรีบรัวนิ้วกดหมายเลขเรียกเข้าสุดท้ายด้วยความฉุนแต่เจ้าของเลขหมายก็ทำให้เขารอสายนานจนหน้าหงิก

“สวัสดีค่ะ ขอบคุณที่ช่วยดิฉันประหยัดค่าโทรศัพท์ไปหลายนาที”

แถมยังพูดอย่างกับเธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลยเป็นอีกครั้งที่เจ้าหล่อนทำให้เขาพ่นลมออกจมูกเป็นกระทิงแล้วกัดฟันเอ่ยเสียงให้สุภาพที่สุดเท่าที่ขีดจำกัดความอดทนเหลืออยู่

“เข้าเรื่องดีกว่าผมก็ไม่อยากเสียเวลานานนัก ผมเองก็อยากเคลียร์กับคุณหมอเหมือนกันที่คราวก่อนคุณหมอฝากข้อความผ่านเลขานุการของผมว่าผมเป็นนายสถาปนิกนั่งเทียนเขียนแบบ”

“ได้ค่ะ ฉันจะเคลียร์อะไรได้ แต่อยู่ที่คุณจะเปิดใจฟังฉันหรือเปล่า”หญิงสาวปลายสายพูดหยั่งเชิง

ก้องปฐพีกำมือแน่น “คุณหมอครับ ใจผมเปิดกว้างอย่างกับประตูเมืองอยู่แล้วแต่อยากรู้เหตุผมของคุณหมอที่ไม่ยอมรับแบบก่อสร้างที่ผมเขียนส่งไป”

“แบบบ้านที่คุณทำเป็นแบบก่ออิฐมันไม่เหมาะกับที่นี่ค่ะ”

“ไม่เหมาะตรงไหนมิทราบครับ เรือนทั้งหมดของหมู่บ้านช้างโดนเผาจนไหม้เพราะว่าวัสดุที่ใช้เป็นไม้ผมจึงเอาปัญหามาปรับปรุงป้องกันให้ ก็เหมือนกับที่คุณหมอจ่ายยาให้ผู้ป่วยตามโรคนั่นแหละ”ก้องปฐพีชี้แจงเหตุผลกลับ

“แล้วคุณเป็นสถาปนิกจริงหรือเปล่าคงไม่ใช่ผู้ที่ใช้แต่แรงงานในการวาดรูปนะคะ”

แต่การโต้กลับของเธอทำให้ชายหนุ่มถึงกับเหวออ้าปากค้าง สมองว่างชั่วขณะ “คุณหมอว่าอะไรนะครับ”

“แถมยังเป็นคนหูตึงหรือไม่ก็เป็นพวกสถาปนิกรุ่นใหม่ไฟแรง ชอบอวดดีแต่มักเอาหูไปทิ้งที่คันนาเลยไม่ได้ยินความเห็นของคนอื่น”

มาเป็นชุด!

เขาอยากจะโต้แย้งให้แสบปานกันแต่หญิงสาวปลายสายก็ชิงพูดเสียก่อน “คุณพูดถูกตรงที่ฉันจ่ายยาตามโรคของผู้ป่วยนั่นหมายความว่าผู้ป่วยต้องการสิ่งที่ฉันทำให้เขา แต่คุณเป็นสถาปนิกหน้าที่ของคุณคือปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ แต่สิ่งที่คุณทำมันไม่ใช่ ฉันว่าคุณควรจะเอาเวลาที่คุณเถียงกับฉัน เปลี่ยนเป็นมาดูหน้างานจริงก่อนที่จะเขียนอะไรในสิ่งที่คนที่นี่ไม่ต้องการหรือไม่ก็นั่งเทียนทำงานของคุณต่อไป”

แล้วก้องปฐพีก็มาถึงจุดที่หมดความอดทน“ดี ผมจะเข้าไปดูหน้างานให้มันรู้ ๆ กันไป!”

“เรียนเชิญค่ะ พร้อมเมื่อไหร่ก็มา”

“แล้วเราจะได้เจอกันเร็ว ๆนี้แน่นอนครับ... คุณหมอไหมแก้ว”

เขาบอกลาผ่านน้ำเสียงแกมมาดร้ายแล้วสอดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงจากนั้นทิ้งตัวนั่งลงบนม้านั่งจุดบุหรี่สูบมวนที่สองหวังให้มันช่วยลดระดับอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านในตอนนี้

“พี่ก้อง... ไม่เป็นไรจริงหรือคะ”

คำถามเสียงหวาน ทำให้เขาสูดลมหายใจเข้าจนลึกสุดปอดแล้วปั้นยิ้มก่อนหมุนตัวกลับไปหาน้องสาวที่ยืนประสานมือทั้งสองไว้ด้านหน้าจ้องมองมาด้วยดวงตากลมโตสีนิลสุกสกาว

“ธิดาอยากได้คำตอบแบบไหนล่ะ พี่จะได้ตอบให้ถูกใจ”เขาเอ่ยเย้าน้องสาวอย่างเคย

แต่ผู้เป็นน้องไม่ได้อยากเล่นด้วยย่นคิ้วใส่พร้อมเอ่ยกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ “พี่ก้องละก็ ธิดาจริงจังนะคะ”

“พี่ก็จริงจัง” ก้องปฐพีคลี่ยิ้มพูด ขยี้ก้นบุหรี่ในกระบะทราย“เราไม่ต้องเป็นห่วง พี่ไม่ยอมให้ชลธารคอนสตรักชั่นเป็นอะไรไปง่าย ๆ หรอก”

“ที่ธิดาห่วงไม่ใช่บริษัท แต่เป็นตัวพี่ก้องต่างหาก”

พี่ชายนิ้มกว้างยกมือหนาขยี้หัวน้องสาวจนเรือนผมนุ่มสลวยยุ่งเหยิง “แทนที่จะห่วงพี่เราน่ะห่วงตัวเองก่อนเถอะ ตั้งใจเรียนให้จบ จะได้ออกมาช่วยงานเต็มตัวเสียที”

“ธิดาเรียนจบอยู่แล้วน่า” ธิดาเชิดคางพูดแสดงความมั่นใจคนพี่เห็นแล้วให้นึกหมั่นไส้ อยากบิดจมูกน้อย ๆ ของน้องสาวนัก

“อ้อ คืนนี้พี่จะไปพบ เพลงพิณ แล้วจะนัดเขาให้เข้ามาฟังเรื่องที่เราจะเสนอทุนการศึกษาให้”

“พี่ว่าเพลงพิณจะยอมรับความช่วยเหลือจากเราไหมคะ”

ก้องปฐพีถอนหายใจ แต่ยังไม่คลายรอยยิ้ม“ถ้าเพลงพิณได้รู้ว่าเราทำเพื่อแสดงความเสียใจต่อ นายกำธรพ่อของเขาที่ตายไปเพราะเป็นคนหนึ่งที่ช่วยชีวิตธิดาจากค่ายโจรนายพนาพี่ว่าเจ้าเด็กคนนี้ก็คงไม่อยากปฏิเสธความตั้งใจ”

กระนั้นถ้าเด็กหนุ่มที่ชื่อเพลงพิณไม่มายืนยันการรับทุนต่อหน้าเธอธิดาก็คงไม่คลายความกังวล เพราะตามความจริงนั้นนายกำธรเป็นหนึ่งผู้ที่ลักพาตัวเธอไปให้นายพนาแต่เขาเลือกที่จะกลับใจในช่วงสุดท้ายของชีวิต ซึ่งนั่นก็มีค่าแก่การตอบแทน

“แล้วพรุ่งนี้พี่คงเดินทางไปดูหน้างานที่หมู่บ้านช้างแต่เช้ามืดจะได้ไม่ค้างคาใจเจ้าของงาน”เขากล่าวต่อในเรื่องอื่นเพื่อเลี่ยงประเด็นในหัวของน้องสาว

“เจ้าของงาน?” น้องสาวทำหน้างง

“ก็ยายคุณหมอไหมแก้วนั่นไง”พอพูดเรื่องนี้ก็รู้สึกหงุดหงิดใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากไปดูหน้าหล่อนเสียเดี๋ยวนี้แต่พอเห็นคิ้วเรียวย่นเข้าหากันกับดวงตาหวั่น ๆมองมาก็ยิ้มเอ็นดูแล้วรวบตัวน้องสาวเข้ามาสวมกอด

“อย่าห่วง พี่ไม่ไปกินหัวเขาหรอกส่วนเราน่ะอยู่ที่นี่ก็ดูแลพ่อกับเจ้าปราณให้ดี ยิ่งเจ้าปราณมันเพิ่งผ่าตัดตามาไม่นาน อย่าให้ทะเล่อทะล่าเดินไปชนนู่นชนนี่”

“ดูพูดเข้า พี่ปราณเขาไม่ใช่คนซุ่มซ่ามสักหน่อย”

ก้องปฐพีหัวเราะขบขันจนตัวกระเพื่อมก่อนถอนวงแขนออกจ้องใบหน้าง้ำงอของคนที่เพิ่งถูกแหย่ถึงชายคนรักที่เห็นแล้วก็ให้รู้สึกอิ่มใจประหลาดมากกว่าเคืองขุ่น

เขาไม่ได้กลัวว่า ปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์รองประธานควีนส์คอร์ป บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ลำดับต้นของประเทศและเป็นคนรักของธิดาจะซุ่มซ่ามทำตัวเองบาดเจ็บจนกระเทือนถึงผลการผ่าตัดดวงตาแต่เพราะรู้ว่าถ้าไม่มีเขาแล้ว คนที่จะฝากให้ดูแลพ่อและน้องสาวได้ก็คือปราณนารายณ์

และก็เป็นเจ้าปราณนารายณ์คนนี้ ที่อ้อนวอนขอร้องให้เขารับงานอาสาฟื้นฟูหมู่บ้านช้างแบบไม่ได้สตางค์สักแดงเดียว

“พี่ไปแล้วจะรีบกลับ”เขาบอกน้องสาวแค่นั้นแล้วหมุนตัวเดินกลับห้องทำงานส่วนตัวจัดการงานทุกอย่างที่คั่งค้างให้เสร็จแม้จะล่วงเลยเวลาเลิกงานปกติ

จนได้ยินเสียงนาฬิกาเตือนบอกเวลา ก้องปฐพีจึงเปลี่ยนจากชุดทำงานของผู้บริหารแสนเคร่งขรึมเป็นสิงห์นักบิดในชุดแจคเก็ตหนังกับกางเกงยีนส์สีดำซีดตัวโปรดจากนั้นใส่โทรศัพท์และสมุดโน้ตเข้าไปในเป้คู่กาย แล้วตบเท้าเดินออกจากสำนักงานตรงไปยังลานจอดรถเพื่อขึ้นควบซุปเปอร์ไบค์คันโตสีดำด้านที่เขาตั้งชื่อให้แสนเก๋ว่า ‘แบล็คแบร์’

“ลุยงานกันอีกครั้งนะเจ้าหมีดำ”แต่ก็มักเรียกมันด้วยชื่อเล่น

เขาสวมหมวกกันน็อคสีเดียวกับเจ้าหมีดำ สตาร์ทเครื่องยนต์เกิดดังกระหึ่มให้มันพุ่งทะยานด้วยความเร็วตามใจสั่งของผู้เป็นนายแล่นฉิวไปตามถนนสายเศรษฐกิจ ลัดเลี้ยวหลบความคับคั่งของจราจรเข้าตรอกนั้นออกตรอกนี้กระทั่งเข้าสู่แหล่งรวมสถานให้ความบันเทิงเริงใจยามราตรี

เมื่อหาที่จอดให้เจ้าแบล็คแบร์ได้ ชายหนุ่มเดินเท้าต่อมุ่งตรงไปยังสถานจัดงานแสดงซุปเปอร์ไบค์ซึ่งจัดอย่างยิ่งใหญ่โดยมีผู้สนับสนุนเป็นเจ้าของผับชื่อดัง

การที่เขารู้ว่าเพลงพิณจะมางานนี้ก็ต้องขอบคุณสารวัตรอัชวินที่สืบข้อมูลมาให้แต่สารวัตรใหญ่ไม่ได้ทำไปเพื่อช่วยให้เขาส่งมอบทุนการศึกษาแก่เด็กหนุ่มสำเร็จเพลงพิณมีสิ่งที่สารวัตรต้องการนั่นคือการใช้ทายาทของสมุนโจรนำพาไปสู่การจับกุมพวกที่หนีหายไปตอนทะลายค่ายนายพนา

ตลอดสองข้างทางที่ร่างสูงย่ำขาผ่านนั้นมีทั้งร้านเหล้าขนาดเล็กและรถเข็นขายอาหารเรียงรายได้ยินเสียงตะเบ็งของแม่ค้าคุยหยอกล้อกัน ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้คนที่เดินสวนทางและได้ยินเสียงผู้รายงานข่าวจากโทรทัศน์เครื่องจิ๋วที่กำลังฉายภาพการประท้วงของกลุ่มคนผู้ต่อต้าการสร้างกาสิโนในประเทศของตน

ก้องปฐพีทำเพียงแค่เดินผ่านไปไม่ได้หยุดดูหรือฟังคำประท้วงจากเหล่าคนในข่าวเขามุ่งหน้าต่อไปจนมาหยุดตรงทางเข้างาน

ดวงตาคมเข้มสีนิลมองตามสำแสงไฟสปอตไลท์ที่ส่องแสงสว่างให้กับป้ายรูปถ่ายรถเครื่องสองล้อขนาดใหญ่รุ่นใหม่ซึ่งกำลังออกขายและนำมาจัดแสดงในงานส่วนป้ายข้าง ๆ กันเป็นรูปถ่ายของเหล่าพริตตี้สาวงามอันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของงานแสดงรถ

“นึกว่าพี่ก้องจะเบี้ยวผมเสียแล้ว”

เสียงทักทายมาพร้อมกับการลำแขนที่โอบบ่ากว้างของสถาปนิกหนุ่มอย่างสนิทสนมเป็นของระพีพัฒน์ พิทยากูล ชายหนุ่มรุ่นน้องผู้มีส่วนสำคัญในการช่วยชีวิตธิดาแต่นั่นก็ทำให้ระพีพัฒน์กลายเป็นที่พึ่งพาของสารวัตรอัชวินยามที่เจอคดีซับซ้อนแต่งานไขปริศนาก็เป็นที่ชื่นชอบของระพีพัฒน์เป็นทุนเดิมเขาจึงไม่บ่ายเบี่ยงนักถ้าได้ช่วยงานของกรมตำรวจ

“พี่ก้องเขาไม่เหมือนมึงนะกลางที่จะเที่ยวผิดนัดเขาไปเรื่อย” อีกเสียงเป็นของตฤณ ดำรงไกรลาส บุตรชายคนเดียวของเตชิน ดำรงไกรลาส เจ้าพ่อกาสิโนใต้ดิน และเพื่อนผู้ร่วมเป็นร่วมตายของระพีพัฒน์ครั้งลอบเข้าค่ายโจรในอดีต

“มาถึงกันแล้วก็รีบเข้าไปเถอะ อยากเห็นหน้าเจ้าเพลงพิณลูกชายผู้มีพระคุณเต็มแก่”

ก้องปฐพีพูดแล้วก้าวขาพาหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองเข้าสู่งานที่มีเสียงเพลงจังหวะเร้าใจจากเครื่องเสียงชุดใหญ่ดังกระหึ่มทั่วทุกหัวมุมและละลานตาไปด้วยรถเครื่องสองล้อชั้นดี

ทว่าความสนใจของงานกลับไม่ใช่เทคโนโลยีความเร็วอย่างเดียวเพราะยังมีกลุ่มหญิงสาวในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยที่กำลังออกลีลาสะบัดบนเวทีได้เร้าใจจนเหล่ากระทาชายทั้งหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่จ้องตาไม่กระพริบยืนจองที่ติดขอบเวทีเพื่อโลมเลียร่างอรชรเต้นตามจังหวะเพลงด้วยสายตา

แต่สำหรับชายอกสามศอกสามนายที่เพิ่งก้าวขาเข้าสู่ตัวงานนั้นอาจต้องขืนบังคับใจไม่ให้วอกแวกออกนอกลู่นอกทางถ้ายังทำภารกิจไม่สำเร็จแต่เพราะความโดดเด่นของทั้งสามเรียกสายตาจากพริตตี้สาวภาคพื้นดินโดยเฉพาะชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่า หน้าอกกว้างผึ่งผาย เจ้าของใบหน้าหล่อคมเข้มกับดวงตาสีนิลประกายซึ้งก็มักตกเป็นเป้าหมายโจมตีของพริตตี้สาวงามทุกนางเสมอตั้งแต่ก้าวขาเข้าสู่ตัวงาน

“สวัสดีค่ะคุณก้องปฐพี”

พริตตี้สาวในชุดสายเดี่ยวรัดรูปปักเลื่อมระยิบระยับเข้าคู่กับกางเกงหนังเทียมขาสั้นตัวจิ๋วนางหนึ่งเดินตรงเข้ามาทักทายพร้อมกับการเกี่ยวแขนราวกับสนิทสนมกันมาแต่ปางก่อน

“คนจัดงานคงแค่อยากขายรถไม่ได้ต้องการเชิญนักแข่งมาโชว์ตัวกระมังครับ อีกอย่าง พวกผมก็ไม่ได้เด่นดังอะไร” เขาเอ่ยพร้อมค้อมศีรษะเป็นการขอตัวแต่ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะไม่อยากปล่อยเขาไป

“จะรีบไปไหนล่ะคะว่าจะขอลายเซ็นคุณก้องปฐพีไว้ไปอวดพวกเพื่อน ๆ แต่ไม่ได้พกกระดาษกับปากกามา” เธอบอกแล้วบิดตัวไปมาคล้ายเขินอายก่อนหยิบลิปสติกออกจากกระเป๋ากางเกง แล้วยื่นส่งให้พร้อมด้วยดวงตายั่วยวน

“ช่วยใช้ลิปสติกแท่งนี้เขียนตรงหน้าอกให้หน่อยได้ไหมคะ...เอาแบบตัวบรรจงเต็มบรรทัดว่า ก้องปฐพี ฤทธิ์นาคา ”

เพราะไม่ใช่พระอิฐพระปูนและยังเป็นชายแท้ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ดวงตาสีนิลจึงพยายามซ่อนแวววาบวับยามเนินอิ่มขาวเนียนเคลื่อนมาอยู่พอดีพอดีกับสายตาแล้วกล่าวปฏิเสธด้วยถ้อยคำที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายเสียหน้า

“อย่าเลยครับ ลายมือผมไม่สวย กลัวว่าจะทำตัวคุณเปื้อนเสียเปล่าๆ”

เจ้าหล่อนหัวเราะคิกคัก “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะจับมือคุณก้องเขียนนะคะลายมือฉันสวยระดับโรงเรียนส่งเข้าประกวด”

ไม่พูดพล่ามทำเพลง สาวเจ้าก็จะคว้ามือชายหนุ่มแต่ไม่ได้ทันได้แตะเขาแม้แต่ปลายเล็บ ร่างของเธอก็ตวัดให้หมุนหันไปเจอประกายไฟในดวงตาเรียวของคนที่ทำให้ถึงกับอ้าปากค้าง

“จากที่เห็นลงชื่อในบัญชีลูกหนี้ฉันก็การันตีให้เลยว่าลายมือเธอสวยแค่ไหน ถ้าว่างจะช่วยไปสอนฉันคัดลายมือที่กาสิโนได้ไหม”

รอยยิ้มพริตตี้สาวเหี่ยวลงอย่างเห็นได้ชัด เอ่ยพูดเสียงติดๆ ขัด ๆ “ชะ... ช่วงนี้ไม่ว่างพอดีค่ะ ตะ... ต้องวิ่งทำงานหาเงินจนหัวหมุน” แล้วรีบเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองเจ้าของยิ้มร้ายที่มุมปาก

“ตฤณ ทำไมเขาทำหน้าอย่างกับเห็นมึงเป็นยักษ์เป็นมาร”ระพีพัฒน์อดยิ้มขำท่าทางของคนที่เพิ่งสับขาเดินหนีไปไม่ได้

“ก็เจ้าหล่อนยังติดเงินพนันที่กาสิโนอยู่หลายแสน”ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าพ่อกาสิโนใต้ดินเอ่ยอธิบายแล้วเดินปโอบบ่าก้องปฐพี พูดด้วยสีหน้าทีเล่นทีจริง “คราวหน้าผมไม่ไปไหนมาไหนกับพี่ก้องแล้วดีกว่า สาว ๆ วิ่งหาพี่กันหมดไม่เลี้ยวหาผมสักคน”

“ตกลงว่ามึงมาช่วยพี่ก้องหาเพลงพิณหรือตั้งใจมาหิ้วหญิงกลับบ้าน”ทั้งน้ำเสียงและใบหน้าของระพีพัฒน์เต็มไปด้วยความประชดประชันแบบไม่คิดปกปิด

“ก็แค่อยากได้ปลาสักตัวติดไม้ติดมือกลับไปกิน”ตฤณกล่าวอย่างแชเชือนสายตาของอีกฝ่าย “แต่วันนี้ปลาคงไม่ติดเบ็ด”

ก้องปฐพีฟังแล้วก็ส่ายหน้าหากให้ทั้งคู่ยืนถกเถียงกันต่อก็จะมีแต่เสียเวลาจึงกวาดสายตามองไปรอบงานพร้อมเอ่ยคำสั่ง “รีบกระจายตัวกันหาเจ้าเด็กเพลงพิณดีกว่ากูไม่อยากกลับดึกนัก พรุ่งนี้ต้องไปหมู่บ้านช้างแต่เช้ามืด”

“พี่ก้องรับงานฟื้นฟูหมู่บ้านช้างจริงหรือ”ระพีพัฒน์เลิกคิ้วถาม

“ช่วยไม่ได้ รับปากกับปราณไปแล้ว” ก้องปฐพีตอบพลางถอนหายใจ

“พี่ก้องก็ต้องเลี้ยงเบียร์ผมหนึ่งลังด้วยนะ อย่าลืม”ลูกชายเจ้าพ่อบอกความต้องการของตนขึ้นบ้าง

“มึงได้แดกเบียร์แน่ ดูนั่นสิ”

ก้องปฐพีและตฤณรีบหันไปทางปลายสายตาของระพีพัฒน์ที่เป็นเวทีใหญ่กลางงานเห็นกลุ่มชายวัยรุ่นในชุดสถาบันอาชีวะยืนออกันอยู่เพื่อคอยชมการเริงระบำของเหล่านักเต้นโฉมงาม

“คนที่ผมยาวที่สุดนั่นไง... เพลงพิณ”ระพีพัฒน์บอกพลางหยิบรูปถ่ายที่ได้จากสารวัตรอัชวินออกจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตขึ้นเทียบก่อนสอดเก็บเข้าไปตามเดิม“เราต้องหาทางดึงเพลงพิณออกจากกลุ่ม”

“อย่างเพิ่งเข้าไป” แต่ตฤณสะกิดทั้งคู่ให้สังเกตความเคลื่อนไหวอีกฟากของเวทีมีกลุ่มนักเรียนช่างกลอีกกลุ่มใหญ่ที่สวมเครื่องแบบต่างสถาบัน แล้วสังหรณ์ของทายาทเจ้าพ่อก็เริ่มทำงานทันที “กูได้กลิ่นดินปืน”

เรียวคิ้วเข้มตัดกับผิวขาวของระพีพัฒน์ขมวดมุ่นเพราะสังหรณ์ถึงความยุ่งยากที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นเช่นกันจึงหยิบโทรศัพท์ออกมากดเลขหมาย แล้วบอกทุกคนในทีม “คอยดูลาดเลาอยู่ห่าง ๆกูจะติดต่อไปรายงานสถาณการณ์กับสารวัตรก่อน ดูทีท่าแล้วน่าจะมีเรื่อง”

แต่มีเสียงเฮของเหล่าผู้คนดังไปทั่วระพีพัฒน์ก็เงยตามองกลุ่มหญิงสาวในชุดสุดแสนเซ็กซี่เดินเรียงแถวขึ้นบนเวทีปรากฏโฉมของตนต่อหน้าผู้ชม

ทว่ามีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ยืนหันหลังอวดเอวคอดกิ่วกับสะโพกผายกลมกลึงจนเสียงเพลงจากเครื่องเสียงดังกระหึ่ม นวลนางร่างอรชรทั้งหลายก็เริ่มร่ายระบำและในวินาทีที่เจ้าของเอวดคอดนั้นหมุนตัวมา ดวงตาของระพีพัฒน์ก็ถูกตรึงแน่นไว้กับเธอ

แค่เพียงแวบเดียวที่สบประสานสายตากันโดยบังเอิญก็เกิดอาการร้อนวูบวาบภายในอกชายหนุ่ม มือที่ถือโทรศัพท์ค้างนิ่งหลงลืมไปอย่างหมดใจว่าปลายสายกำลังรอฟังคำรายงาน

“เจ้าของทุนเขาเรียกแกให้เข้าไปสัมภาษณ์เมื่อไหร่หรือพิณ”

คำถามที่แทรกเสียงดนตรีจังหวะเร้าใจทำให้เด็กหนุ่มผมยาวประบ่าวัยสิบเจ็ดในเครื่องแบบสถาบันอาชีวะหันหน้าจากเวทีไปมองชายหนุ่มรุ่นพี่ที่นอกจากจะมาจากบ้านเกิดเดียวกันก็ยังร่ำเรียนในสถาบันเดียวกันด้วย

“พรุ่งนี้ครับ” เพลงพิณตอบด้วยน้ำเสียงเบาเหตุเพราะมีเขาคนเดียวที่ได้รับการเสนอทุนการศึกษาจากบริษัทก่อสร้างระดับใหญ่จึงไม่สบายใจและอยากให้คนที่รักดั่งพี่ชายแท้ ๆ คนนี้ได้รับทุนบ้าง

“ผมจะขอให้เขาเพิ่มอีกทุนให้พี่ป๋อง พี่ป๋องเรียนดีกว่าผมเสียอีก”

“อย่าเลย ปีหน้ากูก็เรียนจบแล้ว อย่าห่วงกูมึงน่ะทำตัวดี ๆ ให้เจ้าของทุนเขาเมตตา อย่าไปมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใครเขานัก”

“ผมก็ไม่ได้อยากมีเรื่องสักหน่อยแต่เรื่องมันวิ่งเข้ามาหาผมเอง”

เด็กหนุ่มให้เหตุผล แต่รุ่นพี่ยิ้มส่ายหน้า ยกแขนโอบบ่า“เอาเป็นว่ากูยินดีด้วย ถ้ามึงได้ทุนเรียนจนจบสูง ๆ ก็อย่าลืมพี่ลืมน้องเดี๋ยวกูกลับทองผาภูมิคราวนี้ จะนำข่าวดีไปบอกน้าปิ่นให้”

เพลงพิณยิ้มกว้าง “ครับพี่ ฝากบอกแม่ด้วยว่าผมติดทำงานพิเศษอู่ซ่อมมอเตอร์ไซค์ ลางานกลับไปกราบเท้าไม่ได้เลย แล้วก็ฝากขอบคุณน้าอัญที่ช่วยดูแลแม่ผมให้ด้วย”

“เอื้อยก็คงเหมือนมึง ไม่ได้กลับไปหาน้าอัญนานแล้วป่านนี้ยายอรก็น่าจะโตเท่าเอวแล้วมั้ง”ป๋องเอ่ยพลางหันสายตาไปทางหญิงสาวที่โดดเด่นที่สุดกลางเวที

“ถ้าผมเรียนจบ ได้งานดี ๆ ทำผมจะซื้อซุปเปอร์ไบค์รุ่นที่โชว์ในงานให้พี่ป๋อง”

คนฟังก็ปลื้มปีติ แต่ในใจของป๋องนั้นไม่ได้ต้องการของใดๆ จากเพลงพิณ จึงไม่ได้ตอบรับนอกจากกอดคอกันเดินเข้าสู่งานแสดงซุปเปอร์ไบค์ที่ เสี่ยเกียงผู้เป็นนายจ้างในผับที่เขารับทำงานพิเศษเป็นผู้จัด

แต่จุดประสงค์ของการมาไม่ใช่เพื่อมาดูรถรุ่นใหม่ที่ไม่ปัญญาซื้อหา หรือมาดูพริตตี้ในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยแต่เขามาเพื่อบอกลา เอื้อย หญิงคนรัก ก่อนกลับบ้านเกิดเพื่อนำสารลับจากนายอำพันบิดาของเอื้อยที่ถูกจำคุกอยู่ฝากไปมอบให้ถึงมือผู้รับ

‘พอแกพบคุณหมอไหมแก้วแล้วแกต้องเป็นคนอ่านให้คุณหมอฟังตามวิธีที่ฉันบอก แล้วจากนั้นทั้งแกทั้งเอื้อยแล้วก็เพลงพิณต้องหนีไปจากที่นี่ให้ได้ ต้องหนีไปให้ไกลสุดล่า’

คำบอกของนายอำพันล่าสุดในตอนที่เขาไปเยี่ยมในเรือนจำดูจริงจังกว่าเป็นเรื่องหยอกล้อแล้วเขาต้องหนีใคร หนีทำไม สองคำถามนี้ยังไม่ได้รับตอบทางวาจาแต่เป็นกระดาษห่อหมากฝรั่งที่เขาอยากรู้เหลือเกินว่านายอำพันเขียนอะไร

“พี่ป๋อง นั่นพวกมันนี่ครับ”

เสียงของเพลงพิณรียกเขากลับจากภวังค์ป๋องปรายตามองตามเห็นอริของเด็กหนุ่มยืนมองด้วยสายตามาดร้ายแต่ฝ่ายรุ่นพี่นั้นไม่แสดงทีท่าว่าเดือดเนื้อร้อนใจหันกลับไปทางเวทีที่หญิงคนรักกำลังก้าวขึ้นไป

“พี่ป๋อง” แต่ผู้เป็นรุ่นน้องยังกังวล

“งานนี้ ใคร ๆ ก็มาได้ มึงจะแปลกใจทำไมวะพิณ”ป๋องชักสีหน้าใส่ กล่าวเสียงขุ่น

“มันก็ไม่แปลก แต่ผมไม่อยากอยู่เที่ยวงานร่วมกับมันไอ้พวกนั้นชอบหาเรื่องไร้สาระ”

“ถ้าอย่างนั้น มึงก็ออกไปรอกูด้านนอก กูจะรอคุยกับเอื้อยเสร็จแล้วจะตามไป”

พูดจบก็เดินออกจากเวที มุ่งตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดแอบไว้หลังที่จัดงานจุดบุหรี่ขึ้นสูบ แล้วยืนพิงมอเตอร์ไซค์รุ่นธรรมดาราคาถูกของตนฟังเสียงแว่วของดนตรีที่ดังห่างจากจุดที่ยืนอยู่ก่อนถอนหายใจยาวมองดูท้องฟ้ายามราตรีที่ไม่มีทั้งแสงดาวและแสงจันทร์มีเพียงลำแสงของไฟงานส่องเป็นทางขึ้นไปยังกลุ่มม่านเมฆสีเทา

“ป๋อง”

กระทั่งได้ยินเสียงของหญิงสาวที่เฝ้ารอดังจากด้านหลังเขาทิ้งมวนบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้เท้าขยี้ดับไฟก่อนหันไปโยนคำถามใส่โคโยตี้สาวดาวเด่นที่เพิ่งลงจากเวทีแล้วเอ่ยทักทายเธอด้วยคำถามเจืออารมณ์ขุ่น

“เมื่อไหร่จะเลิกอาชีพเต้นแร้งเต้นกาเสียที”

ร่างอรชรคลี่ยิ้มอ่อนใจเดินเข้ามายกแขนทั้งสองโอบรอบคอชายหนุ่ม “ก็ฉันอยากหาเงินให้ได้เยอะ ๆจะได้ปลดแอกตัวเองจากชีวิตเส็งเคร็งเสียที”

ป๋องถอนหายใจเสียงหนัก ยกมือทั้งสองจับตรงเอวบางคอดกิ่ว“ถึงจะคิดแบบนั้นก็ตาม แต่ฉันไม่ชอบเวลาเธอส่งสายตายั่วผู้ชายคนอื่นอย่างเมื่อกี้แค่ช้ำใจเรื่องเธอตกเป็นเมียเสี่ยบ้ากาม ฉันก็ปวกหัวใจจนแทบเดินไม่ได้”

เธอหัวเราะเสียงใสหยิบบุหรี่ของตนออกจากถุงพลาสติกที่สอดไว้ในกระเป๋าหลังออกมาจุดไฟแล้วสูบควันเข้าปอดฟอดใหญ่ก่อนพ่นกลุ่มควันสีเทาออกมา“อย่าคิดมากสิ มันก็แค่การแสดงเวลาอยู่บนเวทีแล้วเขาก็ไม่ได้มาสนใจผู้หญิงเต้นกินรำกินอย่างฉันหรอกน่า”

“มันจ้องเธอตาไม่กระพริบแบบนั้นหรือที่เรียกว่าไม่สนแต่ที่ฉันกลัวไม่ใช่กลัวว่ามันจะสนเธอ ...แต่กลัวว่าเธอจะลืมสัญญาแล้วหนีไปซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์นักแข่งรถอย่างมันมากกว่า”

“อิจฉาเขาหรือ” เสียงหวานพูดหยั่งเชิงมองแววตาวูบไหวของชายหนุ่ม

ป๋องแค่นหัวเราะ “อาจจะใช่”

“ป๋อง...” เธอสบตาชายหนุ่มตรงหน้าเลื่อนมือจากรอบต้นคอหนาลงมาโอบสันกรามทั้งสองข้าง “วันที่เราแต่งงานเราจะมีความสุขด้วยกันจนทุกคนต้องอิจฉา รออีกนิดเงินที่ฉันเฝ้าเก็บสะสมกำลังงอกเงยเป็นความสุขและอิสระของเรา”

แต่ดวงตาของป๋องควรจะมีประกายความยินดีแต่หาเป็นเช่นนั้นไม่เอื้อยจึงไถ่ถามด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรหรือเปล่า”

ชายหนุ่มส่ายหน้าเบา ๆรวบตัวหญิงสาวเข้าไปกอดแนบจนเธอสัมผัสถึงความร้อนที่แผ่นออกจากร่างกายและจังหวะหัวใจเต้นกระชั้นถี่

“เธออยากให้ฉันช่วยเหมือนทุกครั้งใช่ไหม” เอื้อยจึงเอ่ยเสียงถามไปแต่ยังไร้คำตอบจากเจ้าของวงแขนที่เพิ่มแรงกอดรัด

“ไม่... เธอช่วยฉันมากพอแล้วต่อจากนี้ฉันจะเป็นฝ่ายช่วยเธอบ้าง”

“ป๋อง...” เพราะการพูดจาที่แปลกไป จึงทำให้เธอดันตัวเองออกเงยหน้ามองดวงตาหมองหม่นของชายหนุ่มที่ฟ้องว่าเขามีเรื่องหนักใจจนไม่อาจระบายออกมาเป็นคำพูด

“เธอเป็นอะไร”

“ฉันเป็นคนที่รักเธอสุดหัวใจ”

แล้วปากหยักก็ลงแนบเรียวปากอิ่มฉาบสีแดงก่ำมอบจูบลุ่มลึกและเร่าร้อน จนในบางครั้งหญิงสาวรู้สึกตื่นกลัวในความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ไม่รู้ว่าคืออะไร

ตูม!!!

แต่ในวินาทีนั้น เกิดระเบิดเสียงดังสนั่นยุติจูบหวานราวกับอยู่ในความฝันและชายหนุ่มก็ผละลำแขนตนออกจากการโอบกอดหญิงสาวคนรักฉับพลัน

“พิณ!” เขาพูดเสียงเล็ดลอดจากกรามที่ขบกันแน่นจนเป็นสันนูนแล้ววิ่งรุดไปยังต้นกำเนิดเสียงดังสนั่นสวนทางกับผู้คนที่แตกตื่นวิ่งออกจากงาน

“ป๋อง หยุดก่อน!”

พอขวัญที่กระเจิงหนีไปหลังเสียงระเบิดกลับมาเอื้อยก็ร้องห้ามชายคนรักแล้ววิ่งตามเขาไปติด ๆ แต่ไม่ทันฝีเท้าของชายหนุ่มเพราะความสูงของส้นรองเท้าเป็นเหตุให้สับขาได้ไม่เร็วพอจนเห็นวงล้อมของกลุ่มคนที่กำลังตะลุมบอนกันท่ามกลางกลุ่มเขม่าควันสีขาวลอยคละคลุ้งก็รู้สึกหวั่นในอกประหลาด

“ป๋อง!”

เธอตะโกนเรียกหาพลางกวาดสายตามองไปทั่ว จนเห็นป๋องกำลังวิ่งไปแยกเพลงพิณออกจากการแลกหมัดอย่างหนักหน่วงกับคู่อริจึงตัดสินใจหยุดยืน ยกมือป้องปากแล้วเปล่งเสียงดัง

“ปะ...”

เปรี้ยง!

แต่เสียงลั่นของปืนกลบเสียงของเธอให้หายไปพร้อมกับหัวใจที่ปลิดปลิวออกจากอก

“กรี๊ด!”

เอื้อยหวีดร้องดังสนั่นเสียงของเธอดึงเพลงพิณให้หันไปมองหลังพุ่งหมัดสุดท้ายส่งคู่ต่อสู้ไปนอนกองกับพื้นแต่ก็ถึงกับตกอยู่ในอาการตะลึงงันเมื่อเห็นเลือดสีแดงสดไหลทะลักออกจากหน้าอกของชายหนุ่มรุ่นพี่

เปรี้ยง!

เสียงกระสุนปริศนาดังอีกครั้ง แต่เพลงพิณยังยืนตื่นตระหนกสมองไม่สั่งร่างกายให้ขยับ แต่เห็นหน้าอกสูงป๋องถูกกระสุนอีกนัดเจาะทะลวงเป็นครั้งที่สองก่อนเดินเซมาหาพาเอาเด็กหนุ่มล้มไปด้วยกัน

“ป๋อง!” เอื้อยกรีดร้องเสียงหลง

“พี่... พี่ป๋อง”เนื้อตัวของเพลงพิณเย็นเยือก หากแต่ตัวของป๋องนั้นเย็นยิ่งกว่า

“พะ...พิณ...”

คล้ายกับเขาพยายามเอ่ยคำพูด แต่ก็ยิ่งทำให้ลมหายใจที่กักเก็บมาจางหายปากจึงทำได้เพียงแค่ขยับแต่ไร้ซึ่งเสียงใดเปล่งออกมาดวงตาของเขาเริ่มริบหรี่ลงจนเกือบปิดลำแขนสองข้างยังเกาะเกี่ยวป้องกันภัยคนที่รักดั่งน้องชายไว้ตัวกระตุกสั่นหนาวยะเยือกเหมือนถูกแช่งแข็ง

“กะ...กะ...”

แต่แล้วเสียงสุดท้ายก็ถูกพรากจากไปพร้อมลมหายใจทิ้งร่างเปล่าไร้ดวงวิญญาณไว้ในอ้อมกอดของหญิงสาวไม่ได้ยินสิ่งใดแล้วแม้แต่เสียงร่ำไห้ปานขาดใจ สมองพร่าเลือนมองทุกอย่างเป็นสีดำสนิทจนกระทั่งดวงจิตดับสิ้นมลายหายไป



 -----------------------------

ฝากติดตามด้วยค่ะ

รัก

ฤดีวัลย์





Create Date : 15 ตุลาคม 2561
Last Update : 15 ตุลาคม 2561 16:45:58 น.
Counter : 561 Pageviews.

1 comments
people is different ลำเนา
(18 มี.ค. 2566 02:47:49 น.)
: กลับมา...อีกครั้ง : กะว่าก๋า
(18 มี.ค. 2566 09:11:04 น.)
: เปิดบิล : กะว่าก๋า
(17 มี.ค. 2566 09:10:40 น.)
: กะว่าก๋าแนะนำหนังสือ - ตามรอยพระโพธิสัตว์ : กะว่าก๋า
(12 มี.ค. 2566 05:17:12 น.)

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณlovereason

  
อื้อหือ ภาพประกอบดูแล้วหวาดเสียวค่ะ
ต้องแนวทริลเลอร์แน่เลย
โดย: lovereason วันที่: 16 ตุลาคม 2561 เวลา:0:08:12 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Chonburimamyclub.BlogGang.com

ชลบุรีมามี่คลับ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 13 คน [?]