***** เรามาจากใหน?...และจะไปใหน?...(๕) *****
เรามาจากใหน?...และจะไปใหน?...(๕)

มหาชนต่างโพนทนาว่า ผู้เจริญทั้งหลาย ท่านจงดูธิดาช่างหูกผู้นี้ พูดคำอันตนปรารถนาแล้วๆกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(นึกอยากจะพูดอะไรก็พูดตามใจชอบของตน) เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เธอมาจากใหน? ธิดาช่างหูกนี้ ควรพูดว่า มาจากเรือนช่างหูก เมื่อตรัสถามว่า เธอจะไปใหน? ก็ควรกล่าวว่าจะไปโรงช่างหูก มิใช่หรือ?

พระศาสดาทรงกระทำมหาชนให้เรียบร้อย แล้วตรัสถามว่า กุมาริกา เมื่อเราถามว่าเธอมาจากใหน? เพราะเหตุไร เธอจึงตอบว่า ไม่ทราบ...

กุมาริกา -- พระเจ้าข้า พระองค์ย่อมทราบความที่หม่อมฉัน มาจากเรือนช่างหูก แต่พระองค์ เมื่อตรัสถามว่า เธอมาจากใหน? ย่อมตรัสถามว่า เธอมาจากที่ใหน จึงมาเกิดในที่นี้(เธอตายจากภูมิใหน? จึงมาเกิดในภูมิมนุษย์) แต่หม่อมฉันย่อมไม่ทราบว่า ก็เราตายมาจากที่ใหน จึงมาเกิดในที่นี้..

ลำดับนั้น พระศาสดา ประทานสาธุการเป็นครั้งแรกแก่นางกุมาริกานั้นว่า... ดีละ... ดีละ... กุมาริกา ปัญหาอันเราถามแล้วนั่นแล อันเธอแก้ได้แล้ว แล้วตรัสถามข้อต่อไปว่า เราถามเธอว่า เธอจะไป ณ. ที่ใหน? เพราะเหตุไร เธอจึงกล่าวว่า ไม่ทราบ?

กุมาริกา -- พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบหม่อมฉัน ผู้ถือกระเช้าด้ายหลอดเดินไปยังโรงช่างหูก พระองค์ย่อมตรัสถามว่า ก็เธอไปจากโลกนี้แล้ว จักเกิดในที่ใหน? หม่อมฉันจุติจากโลกนี้แล้ว ย่อมไม่ทราบว่า จักเกิดที่ใหน?

ลำดับนั้น พระศาสดาประทานสาธุการแก่นางเป็นครั้งที่สองว่า ปัญหาอันเราถามแล้วนั่นแล เธอแก้ได้แล้ว แล้วตรัสถามข้อต่อไปว่า เมื่อเราถามว่า เธอไม่ทราบหรือ? เพราะเหตุไร เธอจึงกล่าวว่า... ทราบ.

กุมาริกา -- พระเจ้าข้า หม่อมฉันย่อมทราบว่า จะต้องตายโดยแน่แท้ จึงกราบทูลอย่างนั้น.

ลำดับนั้น พระศาสดาประทานสาธุการแก่นางเป็นครั้งที่สาม แล้วตรัสถามข้อต่อไปว่า เมื่อเราถามเธอว่า เธอย่อมทราบหรือ? เพราะเหตุไร จึงตอบว่า... ไม่ทราบ

กุมาริกา -- หม่อมฉันย่อมทราบว่า จะต้องตายโดยแน่นอนเท่านั้น แต่ย่อมไม่ทราบว่า จักตายในเวลากลางคืน กลางวัน หรือเวลาเช้า เพราะเหตุนั้น จึงพูดอย่างนั้น.

พระศาสดาประทานสาธุการแก่นางเป็นครั้งที่สี่ว่า ปัญหาอันเราถามแล้วนั่นแล เธอแก้ได้แล้ว แล้วตรัสเตือนบริษัทว่า พวกท่านย่อมไม่ทราบถ้อยคำ ที่นางกุมาริกาตอบปัญหา ย่อมโพนทนาอย่างเดียวเท่านั้น เพราะจักษุของชนเหล่าใดไม่มี ชนเหล่านั้นเป็น(ดุจ)คนตาบอดทีเดียว จักษุคือปัญญาของชนเหล่าใดมีอยู่ ชนเหล่านั้นแล เป็นผู้มีจักษุ ดังนี้แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า

อนฺธภูโต อยํ โลโก ตนฺเกตฺถ วิปัสฺสติ

สกุนฺโต ชาลมุตฺโตว อปฺโป สคฺคาย คจฺฉติ

"สัตว์โลกนี้ เป็นเหมือนคนตาบอด ในโลกนี้น้อยคนนักจะเห็นแจ้ง น้อยคนนักจะไปสวรรค์ เหมือนนกหลุดแล้วจากข่าย(มีน้อย)ฉะนั้น.

คำว่า "น้อยคนนักจะเห็นแจ้ง" คนในโลกนี้น้อยคนนัก จะเห็นด้วยวิปัสสนาปัญญาว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

คำว่า "น้อยคนนักจะไปสวรรค์ เหมือนนกหลุดแล้วจากข่าย" หมายความว่า บรรดาสัตว์ทั้งหลาย น้อยคนนักที่ตายแล้วจะไปเกิดในสวรรค์ เหมือนฝูงนกกระจาบที่นายพรานนกผู้ฉลาด ตลบด้วยข่ายจับเอาอยู่ นกกระจาบบางตัวเท่านั้น ย่อมหลุดจากข่ายได้ ที่เหลือย่อมเข้าไปสู่ภายในข่ายทั้งนั้น ฉันใด บรรดาสัตว์ที่ถูกข่าย คือมาร(บ่วงของมารหรือข่ายของมาร คือกามคุณ อันได้แก่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพารมณ์) รวบไว้แล้ว สัตว์เป็นอันมากย่อมไปสู่อบาย มีบางคนเท่านั้นที่ไปเกิดในสวรรค์.

(โปรดอ่านตอนต่อไป)




Create Date : 08 มกราคม 2551
Last Update : 8 มกราคม 2551 16:52:14 น.
Counter : 695 Pageviews.

0 comments
หนังสือและอุปกรณ์การเรียนสำหรับเด็ก ป.1 ของโรงเรียนประถมที่ญี่ปุ่น SN_monchan
(7 เม.ย. 2567 05:39:08 น.)
อย่ามาบ้ง!นะ peaceplay
(5 เม.ย. 2567 15:53:18 น.)
9 แนวคิดที่ทำให้เรามีชีวิตประจำวันที่ดีกว่าเดิม peaceplay
(31 มี.ค. 2567 09:18:27 น.)
Soft Power คืออะไร มีลักษณะอยางไร อ่านความหมายและตัวอย่างที่นี่ newyorknurse
(21 มี.ค. 2567 03:05:02 น.)
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Brightside.BlogGang.com

mars11
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]

บทความทั้งหมด