[Review] การฉีด Filler & Botox ปรับโครงหน้าเบาๆ แบบ 40+ แฉๆๆ...เอ้ย!! แชร์ๆๆ วันนี้ขอแชร์ประสบการณ์ตรง กับการฉีด Filler และ Botox ที่หน้า แบบเล่าสู่กันฟังให้ทุกๆ คนได้เก็บไว้เป็นข้อมูล เพื่อเป็นความรู้ หรือประกอบการตัดสินใจในอนาคตกันนะคะ ^_^ Disclaimer: Sponsored by: Doctor Younger Clinic แต่ก่อนจะรู้ข้อมูลโดยละเอียด พี่วิขอเรียนให้ทุกๆ คนทราบตรงๆ ว่าการรีวิวครั้งนี้มีสปอนเซอร์ค่ะ ดังนั้นรายละเอียดค่าใช้จ่ายทั้งหมด พี่วิไม่ทราบตัวเลขที่แน่นอน และแต่ละคนจะใช้ปริมาณไม่เท่ากันด้วย ค่าใช้จ่ายก็จะแตกต่างกัน เพราะฉนั้นเรื่องค่าใช้จ่าย!! รบกวนปรึกษาและสอบถามโดยตรงกับทางคลีนิค จะได้ข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจนกว่าค่ะ คุณหมอที่ดูแลพี่วิคือ นายแพทย์สว่าง อัมพรพันธ์ ที่ ด็อกเตอร์ ยังเกอร์ คลีนิค www.facebook.com/doctoryoungerfan www.doctoryourger.com Call center: 02-261-3697-8 และถึงแม้จะเป็นการรีวิวที่มีสปอนเซอร์.. แต่พี่วิจะขอรีวิวโดยตรงจากใจ ทั้งความรู้สึก ข้อดีและข้อเสีย รวมถึงคำเตือน สำหรับสาวๆ ที่คิดและตัดสินใจจะทำด้วยนะคะ!! อย่างที่แจ้งกันทุกๆ ครั้งว่าพี่วิไม่สนับสนุนให้ใครทำศัลยกรรมนะ.. แต่พี่ 40 แล้ว มีปัญหาและริ้วรอยมากพอสมควร ถึงควรแก่กาลแล้วค่ะ เลยตัดสินใจทำและอยากแชร์ความรู้สึกทั้งหมดต่อทุกๆ คนที่สนใจและกำลังหาข้อมูลค่ะ เรามารู้อีกนิดเนอะว่า Botox และ Filler คืออะไร แตกต่างกันไม๊ ไปอ่านกันค่ะ โบท็อกซ์ (Botox) เป็นโปรตีนบริสุทธิ์ ซึ่งสกัดได้จาก Botulinum Toxin Type A และสร้างจากแบคทีเรีย ชื่อคลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium Botulinum) โบท็อกซ์ช่วยลดการหดเกร็ง ของกล้ามเนื้อเล็ก ที่เกิดริ้วรอยย่นให้คลายตัว และโบท็อกซ์ยังไปกระตุ้นให้เกิดการซ่อมแซม คอลลาเจนและอิลาสตินใต้ผิวได้อีกด้วย ด้วยคุณสมบัติครบถ้วนแบบนี้เองที่ทำให้โบท็อกซ์ ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มศัลยกรรมยกกระชับผิวหน้า หลังฉีดจะเห็นผลชัดเจนใน 3-7 วัน Botox จึงนิยมนำมาใช้ฉีดเพื่อช่วยให้ผิวดูตึง กระชับขึ้น ลดริ้วรอย เพื่อดูอ่อนเยาว์ และปรับแต่ง แก้ไขบกพร่องของใบหน้าเช่น 1. ริ้วรอยหน้าผาก 2. แก้ไขคิ้วตก 3. บริเวณริ้วรอยหางตาหรีอทีนกานั้นเอง 4. ปรับโครงสร้างหน้าเหลี่ยมให้เรียวขึ้น 5. และช่วยลดน่องให้เรียวเล็ก ฟิลเลอร์ (Filler) หรือสาร Hyaluronic Acid (HA) เป็นสารประกอบของคอลลาเจนที่มีอยู่แล้วในผิวหนังของเรา เปรียบได้กับสปริงของผิวหนัง ฟิลเลอร์มีคุณสมบัติในการรวมตัวกับน้ำ และอุ้มน้ำนั้นไว้ จะสร้าง ความตึงให้กับผิวหนังชั้นหนังแท้ ทำให้ผิวที่เป็นริ้วรอยหรือร่องลึกตื้นขึ้น และเลือนไป อย่างเป็นธรรมชาติ Filler ถูกนำมาฉีดเพื่อช่วยในการปรับแก้รูปหน้า เป็นฉีดเฉพาะจุด เช่น 1. เติมจมูก คาง โหนกแก้ม เพื่อ 2. เพื่อเติมเต็มริ้วรอยบนใบหน้า ร่องลึก หลุมสิว ร่องแก้ม บำรุงผิวให้กลับกระชับ เปล่งปลั่ง และเติมริมฝีปากให้ดูอวบอิ่มได้อีกด้วย ฟิลเลอร์เป็นสารที่ร่างกายมีอยู่แล้ว ดังนั้นการฉีดสารชนิดนี้เข้าไปในชั้นผิวหนัง จึงไม่ก่อให้เกิดอันตราย และสามารถย่อยสลายไปเองภายใน 8-12 เดือน ความแตกต่างระหว่างโบท็อกซ์กับฟิลเลอร์ คือ โบท็อกซ์ เป็นการฉีดเพื่อ "ลด" การหดเกร็งของกล้ามเนื้อ แต่ฟิลเลอร์นั้นเป็นการฉีดสารเข้าไป "เพิ่ม" และเติมเต็มผิวบริเวณร่องลึกให้ตื้นขึ้นมา แต่เราจะไม่ค่อยเห็นความแตกต่างระหว่างคนที่ฉีดโบท็อกซ์ กับฟิลเลอร์เท่าไรนัก เพราะผลที่ ได้คือให้ความเต่งตึงของผิวเหมือนกัน แต่ในความรู้สึกของผู้ที่ได้รับการรักษา จะค่อนข้างแตกต่าง เพราะผู้ที่ฉีดโบท็อกซ์ ถูกลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าลง จึงทำให้ ไม่ สามารถยิ้ม หรือขมวดคิ้วได้อย่างเต็มที่ แต่สำหรับผู้ที่ฉีดฟิลเลอร์กลับสามารถยิ้มและเกร็งใบหน้าได้ตามปกติ แต่ใบหน้าก็จะดูไม่เป็นธรรมชาติเท่ากับคนที่ฉีดโบท็อกซ์ วันนี้ใช้อะไรบ้างนะ..นี่เลยค่ะ Restylane เรสทิเลน ตามคำโปรยแล้วคือ เป็นเจลคริสตัลใสผลิตจกไฮยาลูโรนิค แอสิด (HA) มีคุณสมบัติในการดึงน้ำเข้ารอบตัว ทำให้สามารถเติมเต็มเนื้อเยื่อให้กับผิวหนัง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือสารที่ใช้ในการฉีด Filler วันนี้ค่ะ Botulinum toxin type A ตามคำโปรยคือ เป็นโปรตีนบริสุทธิ์ คือสารที่เราใช้ในการฉีด BOTOX วันนี้นั่นเอง มาดูรูป หน้าเปรียบเทียบกันชัดๆ ก่อนและหลังทำ Botox และ Filler ก่อนเลยดีกว่า เรียกว่าวันนี้เหมือนเรามานั่งติววิชาศัลยกรรมกันเลย หลักการและข้อมูลตรึม!! จบในส่วนของหลักการไปแล้วดูไม่ใช่อิชั้นเล้ย555++ มาเข้าสู่ส่วนของวิธีการและความรู้สึกกันเลยนะคะ..อิชั้นจะได้กลับมาเป็นตัวเองสักทีนะ พี่วิมีนัดกับ "นายแพทย์สว่าง" ตอนบ่าย 3 โมงค่ะ พอไปถึงคุณหมอรออยู่แล้ว ดูวันนี้คนไข้เยอะเชียวค่ะ ทั้งผู้ชายผู้หญิง น่าจะมาฉีด Botox หรือ Filler นะเพราะเข้าไปกันแป๊บเดียว แอบเม้าท์นิดนึง!! ผู้ชายแท้ๆ สมัยนี้ก็หันมาสนใจ ดูแลตัวเองกันมากขึ้นนะ คือหน้าเป๊ะอ่ะ เห็นแล้วเราแอบอาย..หน้าอิชั้น..ย่น แถมรูขุมขนกว้างกว่าผู้ชายอีกจ้า (-- ) อุ๊ยตายยย!! พึ่งเริ่มเม้าท์เอง!! ไปก่อนนะคุณหมอเรียกแล้ว ;) คุณหมอมาตรวจสภาพผิวหน้าพี่วิ ว่าผลจากการเลเซอร์คราวที่แล้ว สภาพผิวเป็นอย่างไรบ้าง ก่อนที่จะส่งตัวไปยังห้องแปะยาชา ทิ้งไว้ประมาณ 45 นาที ตามที่คุยกับคุณหมอ..วันนี้เราจะฟิลเล่อร์หน้ากันค่ะ ซึ่งจะทำหลายจุดมากดังนี้ 1. จมูก 2. หน้าแก้ม 3. ร่องแก้ม 4. คาง ถึงเวลาแล้วซินะ!! และความรู้สึกกังวลใจก็ตามมา!! ใน 4 จุดนี้พี่กังวลใจมากที่สุดคือ "จมูก" ที่จริงพี่เคยลองฉีด Filler มาครั้งนึงแล้วนะเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตอนนั้นยังไม่มีข่าวเลวร้ายที่เป็นข้อเสียนะ.. พี่เลยลองทำดูฉีดนิดเดียวตรงดั้งที่หัก!! แต่พี่ไม่ปลื้มค่ะ!! 1. เจ็บมาก 2. นี่ผ่านมา 3 ปีแล้วพี่รู้สึกมันยังอยู่!! เลยเป็นเหตุให้ก่อนหน้านี้พี่ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้เลย 3 ปีก่อน..หลังจากพี่ฉีดได้ไม่กี่เดือน ก็เริ่มมีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับการฉีดฟิลเล่อร์ แอบดีใจที่เรารอดมาได้และไม่โชคร้ายขนาดนั้นเลยบอกกับตัวเองไว้ว่า จะไม่ฉีดฟิลเล่อร์ที่จมูกอีก "กลัว"!! ต้องบอกตรงๆ ว่ากลัวตาบอดหรือทุกๆ ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้.. วันนี้เครียดเลยนะ!! พี่บอกกับคุณหมอตรงๆ เลยค่ะ ว่าอันนี้ถือว่ากลัวมากที่สุด ซึ่งจริงๆ แล้วคุณหมอไม่ได้บังคับนะ อยู่ที่พี่!! กล้าๆ กลัวๆ แต่อีกใจก็อยากสวยและดูดีขึ้นแหละ.. เลยถามคุณหมอไปว่า...หนูจะปลอดภัยใช่ไม๊คะ?? คุณหมอคงดูอาการออก..ก่อนเล่ายาวๆ ซึ่งสรุปได้ว่า คุณหมอ: การร้อยไหมที่คุณวิเคยกลัวนั้น ยังไม่น่าหวั่นใจ เท่าการฟิลเล่อร์จมูกนะครับ!! พี่วิ: อ้าวว!! (ร้องในใจ) คุณหมอ:จะร้อยไหม Botox หรือฟิลเล่อร์ส่วนไหนๆ ให้หมอท่านใดที่อยู่ในสายอาชีพนี้ทำก็ได้!! แต่การฟิลเล่อร์จมูก!!..คุณวิจะให้ใครทำนั้น ต้องเป็นคุณหมอ ที่เรียนมาเฉพาะทางด้านนี้โดยตรง!! ต้องน่าเชื่อถือ!! และมีฝีมือมากพอ!! เพราะอยู่ในจุดที่อาจเกิดอันตรายได้ทุกเมื่อ!! นอกจากเฉพาะทางโดยตรงแล้ว ต้องมีความเชี่ยวชาญชำนาญมากพอ คุณหมอที่ทำมือต้องนิ่งมาก (พอฟังแล้วยิ่งเครียดหนักค่ะ น้ำตาจะไหล!! เมื่อก่อนไม่เคยรู้อะไรอย่างนี้มาก่อนเลย!!) พร้อมทั้งเล่าให้ฟังต่อว่า คุณหมอสอนเรื่องนี้กลับนักเรียนแพทย์อย่างไร และแพทย์ที่คุณหมอจะให้ผ่านวิชานี้ต้องมีคุณสมบัติเช่นไรบ้าง โอเคล่ะ!! ฟังอย่างนี้แล้วอิชั้นก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก.. ในใจคิดว่า..เราคงไม่โชคร้ายเป็น 1 ในล้านที่ซวยขนาดนั้นหรอกน่า!!.. ระดับอาจารย์หมอแล้วนะ!! พอถึงเวลาก็ย้ายจากห้องแปะยาชาไปเข้าห้องฟิลเล่อร์ค่ะ แล้วปัญหาก็ตามมาอีก!! พอเช็ดยาชาออก..คุณหมอเตรียมลงมือจะฉีดตรงดั้งจมูก ท่านนิ่งสักพักแล้วถามว่า.. คุณหมอ: เนื้อนิ่มๆ ที่อยู่ตรงระหว่างคิ้วนี่คืออะไร?? คุณวิมีอยู่แล้วหรือไปทำอะไรมา?? พี่วิ: เอาแล้วไง!! ตอนนั้น..งง!!.. คุณหมอ: หยิบกระจกให้ดูก่อนอธิบายว่ามันผิดปกติ หมอไม่เคยเห็นนะและคิดว่าไม่ใช่เนื้อปกติ!! พี่วิ: อ้าวววว!! เครียดเลยชั้น!! คุณหมอ: แน่ใจนะ!! ว่าไม่เคยทำอะไรมานอกจากฟิลเล่อร์ครั้งนั้น!! พี่วิ: ตอบแบบหนักแน่นไม่เคยจริงๆ ค่ะ!! คุณหมอ: พิจารณากับสิ่งนี้นานมาก..ก่อนบอกว่า..ผมขออนุญาติฉีดยาสลายตรงนี้ได้ไม๊?? เพราะว่าผมคิดว่ามันไม่ปกติ!!..ถ้าฉีดแล้วมันสลายแปลว่ามันคือบางอย่างที่ตกค้างอยู่ แต่ถ้าไม่สลายก็คือเนื้อเราจริงๆ พี่วิ: ก็เลยถามคุณหมอไปว่าจะอันตรายไม๊ คุณหมอ: ไม่อันตรายครับ มันแค่เข้าไปสลายสารที่ตกค้างเท่านั้น พี่วิ: โอเคค่ะคุณหมอ (เลยตกลงฉีดสลายก่อนทำทุกอย่าง).. ตอนฉีดก็รู้สึกนิดๆ ไม่ถึงกับปวดค่ะ.. เจ้าเนื้อนิ่มๆ เจ้าปัญหาก่อนฉีดสลาย ของจริงมันยื่นออกมาชัดกว่านี้ค่ะ นับเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงของพี่เอง.. ที่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว "ไม่" ศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนทำ!! พอฉีดเสร็จคุณหมอส่งกระจกให้ดู (ภาพหลังฉีดแล้วยุบ ไม่มีภาพประกอบ..เสียดายสุดๆ) มันยุบลงไปเลย!! อ้าวววว!! แล้วมันคืออะไรอย่างไง?? ทำไม?? ตอนนั้นคำถามเยอะมาก!! คุณหมอพูดแค่ว่า..มันค้างอยู่!! และน่าแปลกใจมาก..ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร?? ด้วยมารยาทและจรรยาบรรณของคุณหมอที่จะไม่กล่าวอ้างถึงใคร!! คุณหมอไม่ถามสักคำว่าตอนนั้นไปฉีดที่ไหนมา!! แต่เรานี่แหละ..รีบบอกคุณหมอเลย!! แล้วถามคุณหมอต่อทันที!! พี่วิ: แล้วการฉีดครั้งนี้จะไม่ค้างสะสมแบบนั้นใช่ไม๊คะ คุณหมอ: ไม่ครับอันนี้จะสลายไปเองภายใน 6-8 เดือนไม่ต้องกังวล!! พี่วิ: การตกค้างเกิดจากอะไร?? คุณหมอ: คุณภาพของ Filler ที่ใช้ โดยปกติ Filler ต้องสลายไปเอง อย่างช้าสุดไม่เกิน 8-12 เดือน แล้วแต่จุด พี่วิ: อ้าว!! แล้วนั่งเงียบๆ ถามตัวเองในใจ?? แล้วก่อนนี้
คลีนิคนั้น!! ฉีดอะไรมาให้ฟร๊ะ?? คือมันไม่สลายนี่ก็น่ากลัวแล้วนะ..ที่ร้ายยิ่งกว่าคือ มันไหลจากดั้งขึ้นไปที่ระหว่างคิ้วอ่ะ!! ก็ยังโชคดีนะที่มันไม่ส่งผลร้ายไปกว่านี้..ไม่อยากจะคิดเลย!! พอหน้าพี่วิดูสบายใจมากขึ้นหมดกังวล.. คุณหมอก็เริ่มเตรียมฉีด Fillerค่ะ -1. สันจมูกตรงดั้งที่หักแด่นๆ ฉีดเยอะมากค่ะ เพราะดั้งพี่หักมาก และมีรอยแผลเป็นด้วย แต่ตรงกลางจมูกเดิมโด่งเป็นกระดูกๆ นูนออกมา จากนั้นคุณหมดก็นวดๆ ปั้นๆ จมูกเบาๆ เพื่อปรับแต่งให้สวยเข้ารูป -ฉีดเติมที่ปลายจมูกเพราะว่าจมูกพี่วิงุ้มเกินไป ฉีดให้มันดูเชิดขึ้นเล็กน้อยคุณหมอบอกว่า ผู้หญิงที่จมูกเชิดๆ หน้าจะดูหยิ่งนิดๆ ดูมีเสน่ห์ ดูเข้าถึงยาก555++ (ขำในใจ..คุณหมอคะ!!..ตอนนี้ก็ไม่ค่อยมีใครจะคุยกับหนูอยู่แล้วค่ะ.. เพราะหน้าเดิมใครๆ ก็บอกว่าดูหยิ่งมากกก!! ทั้งที่จริงพูดมากสุดๆ >_< ) -2. แก้มตรงช่วงด้านหน้าแก้มคือหน้าพี่มีโหนกแก้มอยู่แล้วค่ะ แต่หน้าแก้มแบนราบ ไม่อิ่ม คุณหมอบอกว่าตรงนี้ถือเป็นโหงวเฮ้งด้วยนะ ถ้าฐานแก้มอิ่ม รองรับกับโหนกแก้ม จะถือว่ามีบารมีกว่าสามี!! เสร็จล่ะ!! วันนี้กลับไปจะใช้ถูบ้านซะให้เข็ด555++ และข้อดีอีกอย่างคือหน้าที่ดูอิ่มเอิ่มจะทำให้ดูเยาว์วัยขึ้น;) -3. ร่องแก้มตรงนี้คุณหมอฉีดไปนิดเดียวอย่าเรียกว่าฉีดเลย เรียกว่าจิ้มปลายเข็มลงไปดีกว่า.. คือน้อยมาก..คุณหมอบอกว่าอยากให้ดูเต็มขึ้นเล็กน้อยพออายุประมาณนี้ อย่างไงก็ต้องมีร่องแก้ม ถ้าฉีดจนอิ่มเต็มไปหมดก็ทำได้แต่ไม่ธรรมชาติดูรู้ว่าทำมา!! ผมอยากให้คุณสวยขึ้นแต่ดูธรรมชาติอยู่(อุ๊บร๊ะ!! โดนใจ) -4. คางหน้าเดิมพี่คางยาวอยู่แล้วค่ะแต่ว่าตรงปลายช่วงกลางคางบ๋อมนิดหน่อยและตัดเป็นเหลี่ยม เนื้อคางแบนๆ ซึ่งเป็บลักษณะคางแบบผู้ชาย คุณหมอบอกว่าคางผู้หญิงที่สวยต้องอิ่ม งอนนิดๆ และมนๆถึงจะดูหวาน เลยเติมตรงปลายคางค่ะ ฉีดลงไป 2 ที ขึ้นมาตุ่ยๆ นวดเบาๆ ก่อนส่งกระจกให้พี่วิดูหน้าตัวเองอีกครั้งหลังฉีดเสร็จ "หลังจากฉีด Filler เสร็จ" คุณหมอเดินวนไปมาเพ่งพินิจหน้า แล้วบอกว่า หมอขอ Botox หน้าผากนิดนึงนะ.. เพราะคิ้วคุณวิต่ำไปนิดนึง กระชับขึ้น จะช่วยให้หน้าโดยรวมดูได้รูปมากขึ้น รองรับกับจมูกที่ดูโด่งขึ้นด้วย รวมถึงช่วงโครงหน้าด้านข้างช่วงขมับ อยากให้ดูตึงกระชับอีกนิดพอ แต่ยาชาหมดฤทธิ์แล้วค่ะคุณ ที่สำคัญหน้าผากไม่ได้แปะยาชาไว้ตั้งแต่ทีแรก คุณหมอ: ฉีดสดไหวไม๊ คุณวิ?? พี่วิ: (เหอะๆๆๆ!! อืมมมม.. ในใจรู้อย่างเดียวอยากสวยต้องอดทน!!) หนูขอน้ำแข็งได้ไม๊คะ5555++ คุณหมอ: บอกโอเคได้เลย!! ทนไม่ไหวบอกนะ!! พี่วิ: ได๋ค๊า... ^_^ (ขอโทษนะ!! น้ำแข็งเวลาประคบปวดกว่าเข็มสะอีก!!) ตอนหลังเลยไม่ประคงประคบแล้ว..เอาเลยค่ะคุณหมอ..แล้วนั่งกัดฟันกรอดๆๆ อ๊ากกกกส์... เธอเป็นใครเนี่ย!! 555++ เออๆๆ..ทำให้ดูหวานขึ้นจริง..มิน่าเมื่อก่อนชอบมีคนหาว่าเรา เป็นกระเทยแปลงเพศ เพราะคางอิฉั้นนี่เอง!! โครงหน้าดูได้รูปขึ้นนะ..แต่สภาพหน้าอาจจะโหดไปนิด 555++ พี่เคยสอบถามคุณหมอว่า..ทำไมไม่แนะนำให้ทำเรื่องรอยกระ..ให้จางลงก่อน แล้วค่อย Filler & Botox คะ?? คุณหมอให้คำแนะนำว่า : หลังจากเราปรับสภาพพื้นผิวหน้าให้เรียบ กระชับขึ้นแล้ว ควรทำโครงหน้าเราให้ได้รูป ดูดีขึ้นก่อน ซึ่งเป็นประเด็นหลักๆ เมื่อโครงหน้าสวยที่เหลือจะตามมาเอง รอยดำเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็ต้องค่อยๆ ทำเก็บรายละเอียด และบำรุงรักษาไปทีละเรื่องจะดีกว่า ตอบคำถามที่น้องๆ Botox เยอะไม๊คะพี่วิ: ทั้งหน้าผากอ่ะค่ะ ถี่ยิ๊บ!! เจ็บไม๊คะพี่วิ: พี่ว่าเลเซอร์ เจ็บและลุ้นกว่าเยอะค่ะ สำหรับพี่โบท็อกซ์เฉยๆ (อุ๊ย..ปากดี!! ได้ข่าวว่านั่งกัดกรามกรอดดดๆๆ 555+) มีน้องๆ ฝากถามคุณหมอเข้ามาทาง Fackbook พี่วิค่ะถามมาให้แล้ว..ตามนี้เลยค่ะ 1. เรื่องคิ้วตกมาก...ควรร้อยไหม หรือ Botox คะ? - คุณหมอบอกว่า Botox ก็พอค่ะ ยกหางคิ้วขึ้นมา แต่ต้องให้คุณหมอดูว่าควรฉีดปริมาณเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม และเพียงพอ 2. ใต้ตาลึกเป็นร่อง ฟิลเล่อร์ช่วยได้แค่ไหน - ฟิลเล่อร์จะช่วยเติมเต็มได้ค่ะ เพราะนั่นเป็นคุณสมบัติหลักของฟิลเล่อร์ แล้วก็จะสลายไปเอง 6-8 เดือนค่ะ 3. ขาใหญ่มาก Botox ช่วยได้จริงหรือ?? - ช่วยได้ค่ะ Botox ขาเรียว ซึ่งต้องให้คุณหมอดูก่อนว่าเป็นไขมันหรือกล้ามเนื้อนะคะ Filler และ Botox เหมาะกับใคร อย่างไร 1. คนที่มีปัญหาเรื่องริ้วรอย ร่องลึก หรือผิวเหี่ยวย่นต่างๆ บนใบหน้าและลำคอค่ะ 2. ควรมีอายุที่อยู่ในวัยทำงานขึ้นไปแล้วค่ะ เพราะเด็กสาวๆ วัย 20 ต้นๆ ทำไปแล้วก็ไม่ค่อยเห็นความแตกต่างมาก เพราะยังไม่มีความเหี่ยวย่นหรือริ้วรอยค่ะ 3. การจะเลือกฉีดโบท็อกซ์หรือฟิลเลอร์นั้น ต้องพิจารณาจากปัญหาผิวหน้าของแต่ละคน และเลือกใช้ให้ถูกจุด ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อศึกษาข้อมูลให้มั่นใจก่อนตัดสินใจ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันสารเหล่านั้น ไม่ให้กลับมาทำร้ายเราเองในที่สุดนะคะ คำเตือนและข้อแนะนำจากพี่วิ พี่ว่าทั้ง Filler และ Botox ถ้าอยากจะทำจริงๆ ให้หาหรืออ่านข้อมูลเยอะๆ ค่ะ...จะทำที่ไหนก็ 1. สืบค้นประวัติของตัวคุณหมอบ้าง ว่าเค้าเป็นใคร มีประสบการณ์มาขนาดไหน ไม่มีคุณหมอคนไหนอยากให้ผิดพลาดแต่ทุกอย่างเกิดขึ้นได้!! ดังนั้นประวัติของคุณหมอย่อมเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เราอุ่นใจขึ้นค่ะ เราควรเลือกคุณหมอเฉพาะทาง ไม่ใช่แค่คุณหมอผู้เชี่ยวชาญเพียงอย่างเดียวค่ะ 2. สถานที่ที่เข้ารับบริการควรได้มาตรฐาน มีชื่อเสียงและการยอมรับ เพราะนั่นหมายถึง เค้าจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานด้วยเช่นกัน กรณีฉีด Filler ถ้าที่เราไปทำแล้ว มันไม่ใช่ฟิลเล่อร์แท้จะเกิดอะไรขึ้น เพราะมันเหลวและไหลไปในผิวเรา ถ้ามันไม่สลายหรือเป็นอะไรก็ไม่รู้ เราจะเอามันออกมาได้อย่างไร ซึ่งอันตรายมาก เรื่องใหญ่ อันตรายนะ 3. อย่าเชื่อคนอื่นหรือคำโฆษณาและราคาที่ล่อใจ ต้องมีสติ หาข้อมูล คิดไตร่ตรองให้รอบครอบ 4. ขอดูบรรจุภัณฑ์และแบรนด์ของสารที่จะฉีดให้เรานะคะ ว่ามาในบรรจุภัณฑ์ที่ ยังไม่ได้เปิดใช้หรือเปล่า และเป็นของที่ไหนอย่างไร เพื่อความปลอดภัยของเราเองค่ะ 5. ราคาที่สมเหตุสมผล ขอถูกและดีมีอยู่ในโลกค่ะ แต่เราไม่ควรเสี่ยงของถูกกับการศัลยกรรม เพราะมันไม่คุ้มเสี่ยงจริงๆ ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วค๊า... ลงมานั่งเพื่อให้คุณหมอสั่งยาและวิเคราะห์โดยรวมก่อนกลับบ้าน คุณหมอ: ชอบไม๊ พี่วิ: ชอบค่ะ คุณหมอ: นิ่งเงียบนานมากกก..นั่งอมยิ้มมองจมูกมองคาง!! พี่วิ: หันไปมองหน้าคุณหมอ..แล้วทำหน้า..งงๆ คุณเจี๊ยบ MKT: คุณหมอท่านเป็นแบบนี้ล่ะค่ะคุณวิ!!.. มีความสุขเวลาแก้ไขรูปหน้าให้คนไข้ดูดีขึ้น!! พี่วิ: อ่อค่ะ..พี่ก็คิดว่าคุณหมอตะลึงในความงามของพี่ซะอีก5555+ "ความรู้สึกส่วนตัวของพี่ ณ วันนี้หลังฉีดมา 15 วัน" เอาแบบพูดกันตรงๆ เลยนะ พี่ว่าไม่เยอะดี ดูเติมเต็มขึ้น คือยังดูธรรมชาติอยู่ ต้องบอกว่าหน้าพี่วิเอง โครงสร้างหน้าเหมือนคนศัลยกรรมมาหนักอยู่แล้ว ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไร นอกจากตา 2 ชั้น ดังนั้นเวลาจะทำอะไรต้องคิดหนัก เพราะกลัวหน้าจะดูพลาสติกเกินไป แค่นี้ก็ตอบคำถามบ่อยมาก..ว่าเสริมจมูกที่ไหน ต่อคางอย่างไง แต่ไม่โกรธนะ..เข้าใจ!! หน้าเรามันดูผิดปกติเอง ช่วยไม่ได้ 555++ ครั้งนี้ที่ฉีด Filler แล้วดูไม่ต่างไปจากหน้าเดิมนัก จึงเป็นเรื่องที่พี่พอใจมาก คือทำ แต่ดูเหมือนไม่ทำมาก!! ปรับโครงสร้างให้สมดุล และดูชัดเจนขึ้น..พอใจแล้วค่ะ!! คุณหมอสามารถฉีดได้มากเท่าที่เราต้องการ ให้ดูเยอะ ตึง โด่งแค่ไหนก็ได้ แต่คุณหมอเน้นย้ำว่า..อยากให้ดูเป็นธรรมชาติ และใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ ไม่ใช่ฉีดปุ๊บ..ต้องมานั่งตอบคำถามทุกวันว่า..ไปทำอะไรมา?? ไปทำหน้ามาหรอ?? ซึ่งเราเองก็คงไม่ชอบ!! แบบนี้ดูสวยธรรมชาติและใช้ชีวิตปกติได้ดีกว่า พี่วิว่า!! แค่ให้คนอื่น..แค่รู้สึกสงสัยในใจ และทำได้แค่พูดว่า เดี๋ยวนี้ดูสวยขึ้นนะ!! ดีกว่าไม๊?? ข้อมูลการรีวิวทั้งหมดในครั้งนี้พี่วิหวังว่าจะเป็นประโยชน์ และข้อเตือนใจสำหรับทุกๆ คนนะคะ ทางคลีนิคฝากประชาสัมพันธ์มาว่า.. น้องๆ เืพื่อนๆ ที่โทรเข้า Call Center เพื่อปรึกษาหรือนัดเข้ารับบริการ ถ้าแจ้งว่า ทราบข่าวมาจากบล็อคหรือเพจของ "พี่วิ Beauty4ties (บิวตี้โฟร์ตี้)" ทุกท่านจะได้รับส่วนลดพิเศษ 30% สำหรับฟิลเลอร์ และร้อยไหม และ 20% สำหรับ Botox ค่ะ ขอบคุณทุกๆ คนที่แวะมาอ่านและ เป็นกำลังใจให้กันตลอดๆ นะค๊า..บ๊ายยย _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ |
บทความทั้งหมด
|