บุญเท่านั้น เป็นที่พึ่งของสัตว์ในโลกหน้า


พระพุทธพจน์

เย นํ ททนฺติ สทฺธาย
วิปฺปสนฺเนน เจตสา

ตเมว อนฺนํ ภชติ
อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ


บุคคลเหล่าใดมีใจผ่องใส ย่อมให้ข้าวด้วยศรัทธา
บุคคลเหล่านั้นย่อมได้ข้าวนั้นเอง ทั้งโลกนี้และโลกหน้า


ตสฺมา วิเนยฺย มจฺเฉรํ
ทชฺชา ทานํ มลาภิภู
ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมึ ปติฏฺฐา โหนฺติ ปาณินํ


เพราะเหตุนั้นพึงเปลื้องความตระหนี่เสีย แล้วให้ทาน
บุญเท่านั้น เป็นที่พึ่งของสัตว์ในโลกหน้า

จาก เสรีสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ข้อ ๒๘๔


-------------------

ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
ประณีต ก้องสมุทร


ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก

คนเราที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ มิได้อยู่โดยลำพังเพียงคนเดียว ย่อมมี พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ มิตร สหาย ข้าทาส บริวาร และบุตร ภรรยา สามีด้วยกันทั้งนั้น การที่เราจะอยู่ร่วมกับคนเหล่านั้นด้วยความสุขและเป็นที่รักของคนเหล่านั้น นอกจากจะต้องเป็นคนดี มีเมตตากรุณา มีสัมมาคารวะต่อผู้ที่ควรคารวะ พูดวาจาอ่อนหวานแล้ว ยังต้องอาศัยความมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อุดหนุน เจือจานกันเป็นเครื่องผูกใจคนเหล่านั้นด้วย

ผู้ขอบ่อยๆ ย่อมเป็นที่รังเกียจของผู้อื่นฉันใด ผู้ให้ก็ย่อมเป็นที่รักของผู้อื่นฉันนั้น

ด้วยเหตุนี้ การให้จึงเป็นการผูกน้ำใจผู้อื่นไว้ได้ประการหนึ่ง ปกตินั้นคนเรามักจะมีความตระหนี่หวงแหนอยู่เป็นประจำใจ ยากนักที่จะหยิบยื่นสิ่งใดให้แก่ใครๆได้โดยง่าย เพราะฉะนั้น คนที่สามารถหยิบยื่นของๆ ตนให้แก่ผู้อื่นได้นั้นนับว่าน่าสรรเสริญอย่างยิ่ง ถ้ารู้จักให้เสียครั้งหนึ่งแล้ว ก็ไม่ยากเลยที่จะให้ในครั้งต่อๆไป

ทั้งๆที่ทุกคนรู้จักการรับและการให้มาตั้งแต่เด็กๆ เพราะต่างก็เคยรับและเคยให้กันมาแล้ว การรับนั้นไม่ยาก ขอให้รับความอ่อนน้อมเป็นพอ ส่วนการให้นั้นเชื่อว่าคงมีคนไม่มากนักที่จะให้ได้ถูกต้องให้เกิดประโยชน์ ทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับ เป็นการให้แบบสัตบุรุษ คือคนดีทั้งหลาย ตามที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ ถ้าไม่ได้ศึกษาเรียนรู้มาก่อน น้อยคนนักที่จะประพฤติปฏิบัติได้ถูกต้อง

แม้แต่ทรัพย์ที่เราขวนขวายแสวงหามา เราก็ยังไม่ทราบว่าจะใช้ทรัพย์นั้นไปในทางใดจึงจะเกิดประโยชน์ ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าก็ได้ทรงแสดง เรื่องการใช้ทรัพย์ ไว้ในอังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต อาทิยสูตรที่ ๑ (ข้อ ๔) ๕ ประการ คือ

๑. ใช้ทรัพย์ที่หามาได้โดยสุจริตชอบธรรม บำรุงเลี้ยงตนเอง บิดา มารดา บุตร ภรรยาและบ่าวไพร่ให้มีความสุข ไม่อดยาก

๒. ใช้ทรัพย์ที่หามาได้โดยสุจริตชอบธรรม เลี้ยงดูมิตรสหายให้อิ่มหนำสำราญ

๓. ใช้ทรัพย์ที่หามาได้โดยสุจริตชอบธรรม ป้องกันอันตรายอันเกิดจากไฟ จากน้ำ พระราชา โจร หรือทายาทผู้ไม่เป็นที่รัก เพื่อให้ตนปลอดภัยจากอันตรายนั้นๆ

๔. ใช้ทรัพย์ที่หามาได้โดยชอบธรรม ทำพลี คือบูชา หรือบำรุงในที่ ๕ สถาน คือ ญาติพลี บำรุงญาติ อติถิพลี ต้อนรับแขก ปุพเปตพลี ทำบุญอุทิศให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ราชพลี บำรุงราชการมีการเสียภาษีอากรเป็นต้น และเทวดาพลี ทำบุญแล้วอุทิศให้แก่เทวดา เพราะว่าเทวดาย่อมคุ้มครองรักษาผู้นั้นด้วยคิดว่า "คนเหล่านี้แม้ไม่ได้เป็นญาติของเราเขาก็ยังมีน้ำใจให้ส่วนบุญแก่เรา เราควรอนุเคราะห็เขาตามสมควร"

๕. ใช้ทรัพย์ที่หามาได้โดยชอบธรรม บำเพ็ญทักษิณาทานที่มีผลเลิศ เกื้อกูลแก่สวรรค์ มีวิบากเป็นสุข ไว้ในสมณะพราหมณ์ผู้เว้นจากความประมาท มัวเมา ตั้งอยู่ในขันติโสรัจจะเป็นผู้หมั่นฝึกฝนตนให้สงบระงับจากกิเลส ในข้อ ๕ นี้ตรัสสอนให้ใช้ทรัพย์ที่หามาได้ให้ทานแก่ผู้มีศีล ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ปฏิบัติเพื่อความหมดจดจากกิเลส ผู้เป็นทักขิเณยยบุคคล เพราะทานที่ให้แก่ผู้มีศีลมีผลมาก ทำให้เกิดในสวรรค์ ได้รับความสุขอันเป็นทิพย์ นอกจากนั้นผู้ถวายยังอาจบรรลุคุณวิเศษ เพราะธรรมที่ท่านผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบเหล่านั้นยกมาแสดงให้ฟังได้อีกด้วย ผู้มีปัญญาย่อมไม่เสียดายทรัพย์ที่หมดเปลืองไปเพราะเหตุเหล่านี้ เพราะว่าท่านได้ใช้ทรัพย์นั้นถูกทางแล้วเกิดประโยชน์แก่ตนและผู้อื่นแล้ว โดยเฉพาะทรัพย์คือบุญที่ท่านถวายไว้ในผู้มีศีลเหล่านั้น ยังสามารถติดตามตนไปในโลกหน้าได้อีกด้วย

ควรหรือไม่ที่เราจะใช้ทรัพย์ให้ถูกต้องตามที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้

และควรหรือไม่ที่เราจะใช้ทรัพย์นั้นจำแนกแจกทาน ด้วยเหตุนี้ จึงควรที่จะรับรู้เรื่องของทาน ตลอดจนการให้ทานที่ถูกต้องไว้บ้าง เพื่อทานของเราจะได้เป็นทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก

คำว่า ทาน ที่แปลว่า การให้ นั้น จัดเป็นบุญเป็นกุศล เป็นความดีอย่างหนึ่ง หมายถึง เจตนาที่เป็นเหตุให้เกิดการให้ก็ได้ หมายถึงวัตถุ คือสิ่งของที่ให้ก็ได้ทานจึงมีความหมายที่เป็นทั้งนามธรรมและรูปธรรม ถ้าหมายถึงเจตนาที่ให้ก็เป็นนามธรรม ถ้าหมายถึงวัตถุที่ให้ก็เป็นรูปธรรม ในที่นี้จะขอกล่าวถึงทานในความหมายทั้งสองอย่างนี้รวมๆกันไป

เจตนาที่เป็นเหตุให้เกิดการให้ทานนั้น แบ่งตามกาลเวลาได้ ๓ กาล คือ ปุพเจตนา เจตนาที่เกิดขึ้นก่อน คือเมื่อนึกจะให้ ก็แสวงหาตระเตรียมสิ่งที่จะให้นั้นให้พร้อม มุญจเจตนา เจตนาที่เกิดขึ้นในขณะกำลังให้ของเหล่านั้น อปรเจตนา เจตนาที่เกิดขึ้นหลังจากได้ให้เรียบร้อยแล้ว แล้วเกิดความปีติยินดีในการให้ของตน

บุคคลใดที่ทำบุญหรือให้ทานด้วยจิตใจที่โสมนัสยินดี ทั้งประกอบด้วยปัญญา เชื่อกรรมและผลของกรรมครบทั้ง ๓ กาลแล้ว บุญของผู้นั้นย่อมมีผลมาก

เจตนาทั้ง ๓ กาลนี้ เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องดับไปเช่นเดียวกับสังขารธรรมอื่นๆ และเมื่อดับไปแล้วสามารถจะส่งผลนำเกิดในสุคติภูมิเป็นมนุษย์และเทวดาได้ ใน พระไตรปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน แสดงความบุพกรรม คือกรรมในชาติก่อนๆ ของผู้ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ที่เกี่ยวกับทานไว้มากมาย ตัวอย่างเช่น พระอรหันต์รูปหนึ่งในอดีตชาติได้ถวายผลมะกอกผลหนึ่งแก่พระพุทธเจ้าที่ประทับอยู่ในป่าใหญ่ รูปหนึ่ง เคยถวายดอกบุนนาค รูปหนึ่งเคยถวายขนม รูปหนึ่งเคยถวายรองเท้า เป็นต้น นับแต่นั้นมาท่านเหล่านั้นไม่เคยเกิดในทุคติภูมิเลย เกิดอยู่แต่ในสุคติภูมิ เป็นมนุษย์และเทวดาเท่านั้น ตราบจนในชาติสุดท้ายได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

วัตถุทาน คือสิ่งของที่ให้นั้นก็มีหลายอย่าง กล่าวกว้างๆ ก็ได้แก่ปัจจัย ๔ คือ จีวร ซึ่งรวมทั้งเครื่องนุ่งห่มด้วย บิณฑบาต ซึ่งรวมทั้งอาหารเครื่องบริโภคทุกอย่าง เสนาสนะ ที่อยู่อาศัย คิลานเภสัช คือยารักษาโรค

ในโภชนทานสูตร อัง. ปัญจก. ข้อ ๓๗ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ทายกผู้ให้โภชนะเป็นทาน ชื่อว่าให้ฐานะ ๕ อย่างแก่ปฏิคาหก คือ ผู้รับ ๕ อย่าง คือ ๑. ให้อายุ ๒. ให้วรรณะ คือผิวพรรณ ๓. ให้ความสุข คือ สุขกาย สุขใจ ๔. ให้กำลัง คือความแข็งแรงของร่างกาย ๕. ให้ปฏิภาณ คือฉลาดในการตั้งปัญหาและตอบปัญหา ถ้าจะพูดให้ละเอียดขึ้นไปอีก พระพุทธองค์ก็ทรงจำแนกวัตถุทานไว้ ๑๐ อย่างคือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน (พาหนะ) ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่อยู่ ที่อาศัย และประทีปดวงไฟ

ใน กินททสูตร สัง. สคาถ. ข้อ ๑๓๘ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

การให้ข้าวและน้ำ ชื่อว่า ให้กำลัง
การให้ผ้า เครื่องนุ่งห่ม ชื่อว่า ให้ผิวพรรณ
การให้ยานพาหนะ ชื่อว่า ให้ความสุขทั้งกายและใจ
การให้ประทีบดวงไฟ ชื่อว่าให้ดวงตา
การให้ที่อยู่อาศัย ชื่อว่า ให้ทุกอย่าง คือให้กำลัง ให้ผิวพรรณ ให้ความสุข และให้ดวงตา
แต่การพร่ำสอนธรรม คือการให้ธรรมะ ชื่อว่าให้สิ่งที่ไม่ตาย เพราะบุคคลจะพ้นจากความตายไม่ต้องเกิดอีกได้ ก็เพราะอาศัยการได้สดับตรับฟังธรรม ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงตรัสว่า..

การให้ธรรมะชนะการให้ (สิ่งอื่น) ทั้งปวง แม้การจะทำทานให้ถูกต้องก็ต้องอาศัยการฟังธรรม

ใน วนโรปสูตร สัง สคาถ. ข้อ ๑๔๖ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบเทวดาที่มาทูลถามว่า ชนพวกไหนมีบุญเจริญในกาลทุกเมื่อ ทั้งกลางวันและกลางคืน ชนพวกไหนตั้งอยู่ในธรรมสมบูรณ์ด้วยศีล เป็นผู้ไปสวรรค์ ด้วยข้อความว่า

ชนเหล่าใดสร้างอาราม (คือสวนดอกไม้ สวนผลไม้) ปลูกหมู่ไม้ (เพื่อให้ร่มเงา) สร้างสะพาน และชนเหล่าใดให้โรงน้ำดื่มเป็นทาน บ่อน้ำ บ้านเป็นที่พักอาศัย ชนเหล่านั้นย่อมมีบุญเจริญในกาลทุกเมื่อ ทั้งกลางวันและกลางคืน ชนเหล่านั้นตั้งอยู่ในธรรม สมบูรณ์ด้วยศีล เป็นผู้ไปสวรรค์

ซึ่งมีความหมายว่า ชนเหล่าใดทำกุศลมีการสร้างอารามเป็นต้น เหล่านี้ เมื่อระลึกถึงการทำกุศลนั้นในกาลใด ในกาลนั้นบุญย่อมเจริญ คือเพิ่มขึ้น และเมื่อชนเหล่านั้นตั้งอยู่ในธรรม คือกุศลธรรม ๑๐ มีการไม่ฆ่าสัตว์ เป็นต้น ย่อมเป็นผู้มีศีลสมบูรณ์ ละโลกนี้ไปแล้วย่อมเกิดในสวรรค์

นอกจากนั้น เจตนาที่เป็นเครื่องงดเว้นจากปาณาติบาต เป็นต้น พระพุทธองค์ก็ตรัสว่าเป็นมหาทาน เป็นทานที่ยิ่งใหญ่ดังที่ตรัสไว้ในปุญญาภิสันทสูตร อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ข้อ ๑๒๙ ว่า

การงดเว้นจากปาณาติบาต คือการไม่ฆ่าสัตว์ทั้งด้วยตนเองและใช้ผู้อื่น เป็นการให้ความไม่มีเวร ไม่มีภัยแก่สัตว์ทั้งหลาย เป็นการให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตสัตว์

การงดเว้นจากอทินนาทาน คือการถือเอาของที่เจ้าของเขามิได้ให้ทั้งโดยตนเอง และใช้ผู้อื่น เป็นการให้ความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของผู้อื่น

การงดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร คือการประพฤติผิดในบุตร ภรรยา สามีของผู้อื่น ชื่อว่า ให้ความบริสุทธิ์แก่บุตร ภรรยา สามีของผู้อื่น

การงดเว้นจากมุสาวาท คือการกล่าวเท็จ กล่าวไม่จริงชื่อว่าให้ความจริงแก่ผู้อื่น

การงดเว้นจากสุรา เมรัย และของมึนเมา เสพติด อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ชื่อว่าให้ความปลอดภัยแก่ทุกสิ่ง คือให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตสัตว์ แก่ทรัพย์สินของผู้อื่น แก่บุตร ภรรยา สามีของผู้อื่น
และให้แต่คำพูดที่เป็นจริงแก่ผู้อื่น ทั้งนี้เพราะผู้ที่มึนเมาแล้วย่อมขาดสติ เป็นผู้ประมาท สามารถจะประพฤติล่วงศีลได้ทุกข้อ รวมทั้งประพฤติผิดอื่นๆด้วย

ด้วยเหตุนี้ผู้ที่อัตคัตขาดแคลนทรัพย์สิ่งของที่จะนำออกให้เป็นทานก็ไม่ควรเดือดร้อนใจ เพราะเราสามารถจะบำเพ็ญทานที่ยิ่งใหญ่เป็นมหาทาน เป็นทานที่ไม่เจาะจง เป็นทานที่แผ่ไปยังสัตว์ทั้งหลายหาประมาณมิได้ ด้วยการรักษาศีล ๕ ยิ่งถ้าสามารถจะทำได้ทั้งสองอย่างก็ยิ่งประเสริฐ.......

******************


ในช่วงเข้าพรรษานี้ หากท่านใดมีจิตตั้งมั่นจะประพฤติดี หรืองดเว้นสิ่งไม่ดี เป่าจินขออนุโมทนากับความตั้งใจดีของท่านนะค่ะ ขอให้ผลของความตั้งใจดีนี้่นำพาท่านไปสู่ความเจริญในธรรม พบคนดีเป็นกัลยาณมิตร ปลอดภัียในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อค่ะ



Create Date : 12 กรกฎาคม 2549
Last Update : 12 กรกฎาคม 2549 10:47:39 น.
Counter : 6806 Pageviews.

22 comments
BUDDY คู่หู คู่ฮา multiple
(3 ม.ค. 2567 04:49:04 น.)
อุ้มสีมาทำบุญ ๙ วัด ในวันขึ้นปีใหม่ที่จ.อุบลราชธานี อุ้มสี
(3 ม.ค. 2567 19:10:02 น.)
ไม่ลอดช่องโหว่ ปัญญา Dh
(2 ม.ค. 2567 13:44:30 น.)
สวัสดีปีใหม่ Rain_sk
(1 ม.ค. 2567 21:38:33 น.)
  
ขอบคุณมากๆครับ
โดย: Zantha วันที่: 12 กรกฎาคม 2549 เวลา:10:59:46 น.
  
อนุโมทนา ค่ะ คุณเป่าจิน
โดย: ตะวันสีชมพู วันที่: 12 กรกฎาคม 2549 เวลา:11:37:18 น.
  
วันนี้มีโอกาสได้เข้ามาอ่านบทความดีๆของคุณเป่าจินครับ เรื่องการให้ และการใช้ทรัพย์

แล้วที่สุด คุณเป่าจินก็ให้ธรรมะที่เป็นการให้ที่สูงที่สุดกับพวกเรา ให้ได้มีโอกาสเข้ามาอ่านบทความข้อคิดดีๆครับ

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ก็ได้มีโอกาสเข้าวัดทำบุญครับ ก็ขอให้คำอนุโมทนา คำอวยพรที่คุณเป่าจินมีให้กับพวกเรา อำนวยพรให้คุณเป่าจินประสบกับความสุขและความเจริญยิ่งๆขึ้นไปเช่นกันครับ

ช่วงนี้ผมเองสบายดีครับ กำลังเตรียมๆขอตำแหน่งวิชาการครับ คุณเป่าจินงานยุ่งมั้ยครับ แต่ก็คงสบายดีนะครับ
โดย: Tempting Heart วันที่: 12 กรกฎาคม 2549 เวลา:19:06:19 น.
  
สาธุ ขออนุโมทนาค่ะน้องเป่าจิน ..

พี่ชอบอาจารย์ปราณีตมากค่ะ หนังสือของท่านอ่านเข้าใจง่ายค่ะ มงคล38 ท่านก็อธิบายไว้ชัดเจน..

เล่มนี้ชอบตรงนี้ที่สุดค่ะ.."แม้การจะทำทานให้ถูกต้องก็ต้องอาศัยการฟังธรรม"..

บุญรักษาค่ะ..
โดย: ป่ามืด วันที่: 13 กรกฎาคม 2549 เวลา:12:26:18 น.
  
ตอนไปเที่ยวที่ศรีลังกา เห็นวัฒนธรรมอันนึงครับ

คือเวลาจะทำบุญ หรือ ให้ทาน ถ้าคนนึงจะทำ หรือ บริจาคทรัพย์ หรือ สิ่งของอะไรก็ตาม เขาจะให้คนอื่น "แตะ" ของนั้น ๆ ด้วย

เสมือนว่าได้ให้ด้วยกัน

ตอนแรกไปก็งง เขาก็เก้อไป คือเขาจะเอาของถวายพระ เขาก็ยื่นของมาที่เรา เราก็ไม่ยื่นมือไปแตะ กลับทำมือแบบไม่เอาอีก จนคนท้องถิ่นมาอธิบายเลยถึงบางอ้อ


โดย: Plin, :-p วันที่: 13 กรกฎาคม 2549 เวลา:14:40:11 น.
  
สวัสดีค่าคุณเป่าจิน
โบว์จำได้จิ ไม่ค่อยว่างแวะมาเหรอคะ
คุณเป่าจินสบายดีน๊า ^^




...
โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 14 กรกฎาคม 2549 เวลา:7:35:20 น.
  
...

"ผู้ให้" ย่อมเป็น "ผู้ได้"

"ขาดทุน" คือ "กำไร" ครับ



โดย: The Legendary Midfielder วันที่: 14 กรกฎาคม 2549 เวลา:8:22:17 น.
  
ขอบคุณครับ ...
โดย: Cymry วันที่: 14 กรกฎาคม 2549 เวลา:10:13:58 น.
  
เป็นบทความที่ดีมากๆ
โดย: Sugar and spice วันที่: 14 กรกฎาคม 2549 เวลา:10:14:12 น.
  
อนุโมทนาครับ รุ่นพี่สถาบัน

ขอบคุณมากๆ ครับ พี่เป่าจิน
โดย: Nutty Professor วันที่: 15 กรกฎาคม 2549 เวลา:1:43:29 น.
  
สวัสดีค่ะคุณเป่าจิน ...

ขอบคุณที่เอาสิ่งดีๆ มีประโยชน์มาแบ่งปันกันนะค่ะ นี่ล่ะค่ะคือความเอื้อเฟื้ออย่างหนึ่งที่มีเผื่อแผ่ต่อผู้อื่นค่ะ


สบายดีนะค่ะ
โดย: JewNid วันที่: 15 กรกฎาคม 2549 เวลา:9:37:43 น.
  
เข้ามาทีไหนได้อ่านเรื่องดี ๆ ทุกที ...ไม่ค่อยเหมือน blog เราเลยแฮะ ขนาดเป็น blog ไปงานบวชยังมีแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้ แหะ แหะ

แต่เข้าพรรษาก็พยายามจะงดเหล้านะ ไม่รู้จะสำเร็จหรือเปล่า สู้ ๆ
โดย: ชาบุ วันที่: 16 กรกฎาคม 2549 เวลา:0:00:12 น.
  
ขอบคุณนะคะ
อนุโทธนาบุญค่ะ
โดย: prncess วันที่: 18 กรกฎาคม 2549 เวลา:8:38:25 น.
  
คิดถึงเป่าจินนะคะ ไม่ได้คุยกันนานเลยคะ แบมก็เข้ามาอัพบล๊อกไม่บ่อยเหมือนเมื่อก่อนคะ ช่วงนี้เหนื่อยๆๆ

ร้อนด้วยคะ

สุขภาพแข็งแรงนะคะเป่าจิน แบมคิดถึงเสมอค่ะ
โดย: yadegari วันที่: 18 กรกฎาคม 2549 เวลา:20:50:37 น.
  
แวะเข้ามาอ่านอีกรอบ แล้วก็ทักทายคุณเป่าจินอีกครั้งครับ

คุณเป่าจินเป็นอย่างไรบ้างครับช่วงนี้ สบายดีไหมครับ ขอบคุณนะครับที่แวะไปเยี่ยมไปทักทายเสมอๆเลยครับ
โดย: Tempting Heart วันที่: 26 กรกฎาคม 2549 เวลา:20:22:30 น.
  
อนุโมทนาบุญที่ทุกท่านสละเวลาอ่านข้อธรรมที่โพสไว้นะค่ะ

ช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เป่าจินมีโอกาสไปไหว้พระ 9 วัดที่อยุธยาค่ะ ประทับใจมาก

เอาบุญมาฝากเพื่อนๆชาวบล๊อคทุกคนนะึค่ะ

อัพบล๊อคครั้งหน้าจะเป็นเรื่องราวของการทำบุญ 9 วัดในครั้งนี้ค่ะ
โดย: เป่าจิน วันที่: 27 กรกฎาคม 2549 เวลา:10:58:48 น.
  
อนุโมทนาสาธุด้วยนะครับพี่เป่าจิน กำลังอยากรู้รายละเอียดเรื่องนี้อยู่เลยครับพี่ นี่ก็อยากไปทำบุญ + ถวายสังฆทานอยู่เหมือนกันครับ แต่ไม่มีเวลาเลย จิตใจตอนนี้ยังย่ำแย่นิดหน่อยครับ แต่ไม่นานคงหายครับพี่ ไม่ต้องเป็นห่วงครับ

ขอบคุณสำหรับคำอวยพรด้วยนะครับ
โดย: Due_n วันที่: 27 กรกฎาคม 2549 เวลา:16:52:07 น.
  
รุ่นพี่สถาบันตอบถูกเลยนะครับ อิอิ

เงินล้านไม่มี มีแต่หัวล้านฮะ
โดย: Nutty Professor วันที่: 27 กรกฎาคม 2549 เวลา:18:44:55 น.
  
สวัสดีค่ะ น้องเป่าจินสบายดีนะคะ
โดย: ป่ามืด วันที่: 2 สิงหาคม 2549 เวลา:14:42:25 น.
  
ไหว้พระหน้าคอมครับ
โดย: Bluejade วันที่: 3 สิงหาคม 2549 เวลา:6:08:58 น.
  
สาธุค่ะ บุญเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกจริงๆ ค่ะ

คุณเป่าจินสบายดีนะคะ
โดย: Hachi_chan วันที่: 5 สิงหาคม 2549 เวลา:11:10:42 น.
  
เข้ามาทักทายคุณเป่าจินนะครับ ช่วงนี้ผมก็ไม่ค่อยได้อัพบล็อกเหมือนกัน

คุณเป่าจินสบายดีไหมครับ คงจะสบายดีนะครับ ว่างๆๆก็ส่งข่าวคราวให้ทราบกันนะครับ
โดย: Tempting Heart วันที่: 12 สิงหาคม 2549 เวลา:6:57:01 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Baojin.BlogGang.com

เป่าจิน
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด