หลายสิ่งดีในเมืองไทยต้องให้ฝรั่งบอกว่าดี คนไทยจึงเห็นคุณค่า
หลายคนดีและคนเก่งของไทยต้องให้โลกยกย่อง คนไทยจึงพลอยปรบมือเชียร์ด้วย
แต่สายวันนั้น ที่ “เวียงสา” อำเภอเล็กๆ ของจังหวัดน่าน จังหวัดเล็กๆ ที่น่ารักของดินแดนล้านนาตะวันออก
ผมประทับใจข้อความในแผ่นพับของ “กลุ่มคนฮักเวียงสา” ที่แนะนำตัวเองว่าเป็น...
“กลุ่มคนที่มีความสำนึกรักแผ่นดินถิ่นเกิด มารวมตัวกันเพื่อร่วมอนุรักษ์ สืบสานและประชาสัมพันธ์
การท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิต วัฒนธรรมของคนเมืองเวียงสา ให้ผู้มาเยือนมองเห็นความงดงามที่ซ่อนแฝงอยู่ในชุมชน
จึงออกแบบและนำเสนอการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ที่มีแนวคิดให้ผู้มาเยือน ละวางความเร่งรีบในชีวิต
มาสัมผัสวิถีที่เรียบง่าย สบายๆ ไม่วุ่นวาย ลุกลน” ทั้งยังแนะนำอีกว่า เวียงสาเป็นเมืองเล็กๆ เงียบสงบ เรียบง่าย
เพื่ออรรถรสในการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่
ควรใช้จักรยานเป็นพาหนะจะดีที่สุด ดีต่อโลก ดีต่อตัวเรา และที่สำคัญดีต่อเวียงสา
พระประธานประทับยืน ไม่มีใครเหมือนที่วัดบุญยืน
เส้นทางท่องเที่ยวด้วยจักรยานเริ่มต้นที่ “
วัดบุญยืน” พระอารามหลวงอายุกว่า 200 ปี
สร้างโดยเจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญ เจ้าผู้ครองนครน่าน
จุดเด่นอยู่ที่พระปฏิมาประธานในพระอุโบสถที่ไม่เหมือนใครเลย
เพราะแทนที่จะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยอย่างวัดทั่วไป กลับเป็นปางประทับยืน สูง 8 ศอก
หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ อันเป็นที่มาของนาม “วัดบุญยืน”
ยิ่งมีเสาไม้สักขนาดสองคนโอบเป็นเส้นนำสายตา เสริมส่งให้พระยืนยิ่งอลังการน่าเลื่อมใส
ในขณะที่บานประตูไม้สัก รูปเทวดาประทับยืนบนช้างเจ็ดเศียร
ฝีมือแกะสลักโดยเจ้าราชวงศ์เชียงของ ก็วิจิตรตระการตาชนิดไม่น่าพลาดชม
แต่ที่โดนใจผมมากๆ คือลายปูนปั้นรูปกินรี-กินรา น่ารักน่าเอ็นดูด้วยศิลปะแบบ “นาอีฟ” (Naive Art)
ที่จะแปลว่า “ศิลปะไร้เดียงสา” ก็ไม่น่าเกินเลยความจริงแต่อย่างใด

อลังการบานประตูไม้สักรูปเทวดายืนบนช้างเจ็ดเศียร / สล่าเก๊า - ครูภูมิปัญญาด้านหัตถศิลป์ถิ่นเวียงสา
(ภาพ...นพคุณ กุลสุจริต)
จากวัดบุญยืน เส้นทางจักรยานนำพาเราไปเยือนบ้าน “สล่าเก๊า” หรือครูช่าง “ญาณ สองเมืองแก่น”
ครูภูมิปัญญาผู้สืบทอดหัตถศิลป์ถิ่นเวียงสา อวดฝีมือสลักเสลาโขนเรือรูปพญานาคงามนัก
งามจนเราเชื่อสนิทใจว่าเรือยาวเมืองน่าน เป็นเรือแข่งที่สวยกว่าเรือลุ่มน้ำใดในสยาม

อาคารประวัติศาสตร์ ที่สำนักงานเทศบาลตำบลเวียงสายังอนุรักษ์ไว้อย่างดี
จากนั้นก็ขี่รถถีบต่อไปแอ่ว “เฮือนรถถีบมะเก่า” ซึ่งมิใช่สุสานรถจักรยานเก่าอย่างที่หลายคนคิด
แต่คือพิพิธภัณฑ์จักรยานที่เกิดจากความรักความชอบของคุณสุพจน์ เต็งไตรรัตน์ ลูกจีนที่ค้าขายอยู่เวียงสามานาน
และเอื้อประโยชน์ต่อชุมชนอย่างต่อเนื่อง แค่จักรยานพับได้สมัยสงครามโลกครั้งสอง
กับจักรยานล้อโต อันเป็นวิวัฒนาการก่อนเป็นจักรยานในวันนี้ ก็คุ้มค่าแก่การแวะชม

กะหล๊กไม้เรียกปลา ภูมิปัญญาแห่งลำน้ำน่าน
ก่อนลัดเลียบลำน้ำน่านไปต้องมนต์ “กะหล๊กไม้” ที่บ้านอาจารย์ระดม อินแสง
ผู้ตระหนักค่าของภูมิปัญญาล้านนาโบราณ ถึงขั้นดัดแปลงบ้านเป็นแหล่งเรียนรู้ภาษาล้านนา ดนตรีล้านนา
และกะหล๊กไม้ที่ปลาในลำน้ำน่านปรารถนาจะได้ยินเสียงเสียเหลือเกิน
“กะหล๊กไม้” ในอดีตใช้ตีแจ้งเหตุร้าย หรือเป็นสัญญาณนัดแนะผู้คนในชุมชนให้มาทำกิจกรรมร่วมกัน
แต่วันนี้ ใช้ตีเพื่อส่งเสียงเรียกปลาให้ขึ้นมากินอาหาร เป็นสัญลักษณ์ของการปกปักรักษาปลาในลำน้ำน่าน
ให้มันได้ขยายพันธุ์ตามธรรมชาติ เพื่อชาวประมงพื้นบ้านมีอาชีพทำกินอย่างยั่งยืน
เช่นเดียวกับผ้าทอเวียงสา สะท้อนภูมิปัญญาอันแสนสุนทรียะของคนเมืองน่าน
ที่นั่งมองสายน้ำน่านไหลแล้วจินตนาการจนกลายเป็น “ผ้าทอลายน้ำไหล” อันวิจิตร
แต่เบาราคาจนนักช็อปตกใจ เพราะไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางให้เปลืองทั้งเวลาและเงินทอง

กินรีที่น่ารัก ณ วัดบุญยืน
ก่อนไปกราบสักการะ ”พระพุทธรูปไม้ตะเคียน” ขนาดใหญ่ ที่ศูนย์วิปัสนาสุญญตวิโมกข์
แล้วไปจบรายการจักรยานทัวร์ที่ “สำนักงานเทศบาลตำบลเวียงสา”
ซึ่งตั้งอยู่บนอาคารไม้เก่าแก่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ยิ่งนัก
เพราะหากใครได้เห็นพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
คราวเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎรภาคเหนือเป็นครั้งแรก นับแต่เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติ
เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2501 หรือเมื่อ 51 ปีมาแล้ว อาจต้องตกใจระคนดีใจ
ด้วยในระหว่างเสด็จอำเภอสา (ชื่อในขณะนั้น) ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จออกให้ราษฎรชื่นชมพระบารมี
ณ บริเวณหน้ามุขชั้นบนของอาคารที่ว่าการอำเภอสา ซึ่งปัจจุบันคือ “สำนักงานเทศบาลตำบลเวียงสา”
ที่ตกใจเพราะผมไม่ค่อยเคยเห็นทั้งสองพระองค์เสด็จออกเช่นนี้ ที่จังหวัดใด นอกจากที่พระบรมมหาราชวัง
แต่ที่ดีใจคืออาคารที่ว่าการอำเภอสา ยังได้รับการดูแลรักษาไว้อย่างดี จนแทบไม่แตกต่างจากเมื่อกึ่งศตวรรษก่อน
แม้กระทั่งตราครุฑ ที่สำคัญคือบริเวณชั้นบนของอาคารกำลังเตรียมจัดตั้งเป็น “พิพิธภัณฑ์ชุมชนเวียงสา”
จากการผลักดันอย่างแข็งขันโดย “กลุ่มคนฮักเวียงสา”
และได้รับการตอบสนองอย่างดียิ่งจากเทศบาล อันควรค่าแก่การปรบมือคารวะให้ยิ่งนัก
หลายสิ่งดีในเมืองไทย ต้องให้ฝรั่งบอกว่าดี คนไทยจึงเห็นค่า แต่ที่เวียงสา คุณค่าแห่งตน คนเวียงสาเปิ้นรู้เอง
สนใจไปแอ่วเวียงสา ติดต่อ “กลุ่มคนฮักเวียงสา” โทร. 08-5864-8920, 08-9020-2309
เรื่อง-ภาพโดย : "ธีรภาพ โลหิตกุล"
ที่มา : //www.komchadluek.net