ทำยังไง ถึงจะมีหนังสือเป็นของตัวเอง(บ้าง) สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ช่วงนี้ยุ่งๆกับภารกิจงานประจำ จนทำให้ห่างหายจากการเขียนบล็อคไปพักใหญ่ๆ เมื่อวานนี้ได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนเก่าคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ทำงานอยู่ที่สำนักพิมพ์อมรินทร์ ก็เลยตั้งคำถามธรรมดาๆไปว่า ถ้าเรามีงานเขียน แล้วอยากส่งเข้าสำนักพิมพ์ต้องทำยังไงบ้าง? เพื่อนก็น่ารัก พิมพ์คำตอบมาให้อย่างละเอียดเลย วันนี้ขอยกเอาคำอธิบายของเพื่อนมาแบ่งปันไว้ในบล็อคนี้แล้วกันนะคะ สำหรับคนที่อยากมีหนังสือเป็นของตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี เชิญอ่านด้านล่างได้เลยค่ะ กรณี ทำหนังสือเอง เป็นอิสระ ได้เงินเยอะกว่า ไม่ต้องแบ่งเปอร์เซ็นต์เยอะ แต่เหนื่อย ถ้าจะทำเอง ก็ลงทุนค่าอาร์ท จัดรูปเล่ม ค่าพิมพ์หนังสือ (แล้วแต่ว่าเทคนิคพิมพ์แบบไหน ยอดพิมพ์เท่าไหร่ ให้ A/E โรงพิมพ์เสนอราคามาเปรียบเทียบหลายๆเจ้า หาที่ราคาถูกแล้วก็เครดิตจ่ายตังเหมาะกับตัวเอง) แล้วก็ติดต่อผู้จัดจำหน่ายให้เป็นตัวแทนขายหนังสือให้ทั่วประเทศ เค้าจะหักค่า GP จากราคาปก คูณจำนวนเล่มที่ขายได้ (ส่วนที่เหลือก็คืนให้เจ้าของหนังสือไปเก็บเป็นสต็อกที่บ้าน) ผู้จัดจำหน่ายก็เช่น อมรินทร์บุ๊คฯ คิดค่าGP 40% , ซีเอ็ด, โอเชี่ยนบุ๊คมาร์ท ฯลฯ ก็รอรับทรัพย์ที่ได้จากการขายหนังสือไป ถ้าขายดีหรือขายได้เรื่อยๆ ก็จะได้เงินเรื่อยๆ อาจทุกเดือน แล้วแต่เครดิตของแต่ละราย แต่ต้องดูว่าหนังสือเราเป็นแนวไหน มีโอกาสขายได้รึเปล่า เดี๋ยวนี้หนังสือเต็มร้านไปหมด ส่วนใหญ่ก็พวกนิยาย เพราะซื้อง่ายขายคล่อง ถ้าเป็นแนวอื่นก็ต้องดูเป็นกรณีๆไป มีคนซื้อเรื่อยๆ ร้านค้าก็สั่งหนังสือกับผู้จัดจำหน่ายเรื่อยๆ อาจได้พิมพ์ซ้ำ เพื่อป้อนหนังสือเข้าตลาดเพิ่ม ก็รับทรัยพ์ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเลิกขายหนังสือเล่มนี้ แต่ถ้า.....เป็นหนังสือที่ขายยาก ไม่ใช่แนวตลาดหรืออยู่ในกระแส ก็จะลำบากตรงที่ อาจวางขายอยู่ในร้านได้ 3 เดือนแล้วถูกส่งคืนกลับโกดังของผู้จัดจำหน่าย กลายเป็นสต็อกในคลังที่อยู่นิ่งๆ (แต่ถ้าร้านไหนขายได้ จะสั่งของไปขายต่อก็ได้นะ ทำได้ตลอดเวลา) หนังสือก็จะเสียโอกาสการขายแหละ คราวนี้ จะต้องหาวิธีผลักดันหนังสือออกไปที่หน้าร้านอีกครั้ง อาจด้วยการทำโปรโมชั่น ลดราคาให้คนอ่าน โดยเจ้าของหนังสืออาจต้องยอมให้ GP เพิ่มเพื่อเอาไปให้เป็นส่วนลดกับร้านและคนอ่าน เงินที่ได้ก็จะลดลง แต่มีโอกาสสร้างยอดขายและระบายสต็อก หรือใช้กลยุทธ์พวกของแจก เช่น ซื้อหนังสือแจ่มใส แถมฟรีสมุดโน๊ตลายจิดริด อะไรยังงี้ เพื่อจูงใจทั้งร้านค้าและคนอ่าน ปัญหาที่น่ากลัวของหนังสือเล่มก็คือ สต็อกหนังสือที่ขายไม่ได้ ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ให้ปลวกกินก็ใช่ที ลงทุนค่าพิมพ์ไปเยอะแล้ว ก็อาจต้องขายเลหลังลดราคาถูกสุดๆ แบบที่เราอาจเคยเห็นหนังสือราคาไม่กี่สิบบาทน่ะ หรือขายชั่งกิโลให้ยี่ปั๊วเอาไปย่อยเป็นกระดาษ เราต้องวิเคราะห์ให้ดีว่าหนังสือของเรามีจุดเด่นอะไรบ้าง จะขายได้มั้ย จะโดนใจตลาดรึป่าว คนอ่านหนังสืออาจดูเหมือนเยอะนะ แต่มีสักกี่คนที่ซื้ออ่านหลายเล่ม หลายแนว ทำไมเค้าจะหยิบซื้อหนังสือของเรา ทำไมเค้าไม่หยิบซื้อของคนอื่น แล้วก็กลุ่มคนอ่านเป็นใคร วัยไหน วัยรุ่นมีเงินซื้อ ชอบนิยาย ซื้อได้ซื้อดี หนังสือท่องเที่ยวก็ยังขายได้ หนังสือดาราก็ได้ตามกระแสของแต่ละคน หนังสือธรรมะตอนนี้ก็ฮิตอยู่แต่ต้องดูคนเขียนด้วยว่าเป็นใคร ปกสวยมั้ย ราคาแพงไปรึป่าว เงินในกระเป๋ามีเท่าเดิมแต่รายจ่ายมากขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจ ทำให้คนคิดเยอะขึ้น กรณี ขายลิขสิทธิ์ให้สำนักพิมพ์ สะดวก ง่ายไม่เหนื่อย แต่ไม่เป็นอิสระ โดนแบ่งเปอร์เซ็นต์เยอะ • อีก วิธีหนึ่งของคนอยากมีหนังสือของตัวเองโดยไม่ต้องทำอะไรที่เราว่าไป คือ ขายลิขสิทธิ์หนังสือให้สำนักพิมพ์ ไม่ต้องตั้งสำนักพิมพ์ของตัวเอง เอางานเขียนไปเสนอสำนักพิมพ์ที่สนใจ ถ้าเค้าตกลงพิมพ์งาน หนังสือเราก็จะอยู่ในเครือของสำนักพิมพ์นั้น เค้ามีทีมงานช่วยทำให้มันเป็นรูปเล่มแล้วก็หาที่ขายให้พร้อม ไม่ต้องทำอะไร สะดวกดี เค้าจะจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์ให้ แล้วแต่ว่าสำนักพิมพ์ไหนใช้วิธีไหน ที่พอจะรู้ๆมาก็มี 1. จ่ายเป็น % ของยอดพิมพ์ เช่น 3% ของยอดพิมพ์ 5,000 เล่ม 2. เหมาจ่ายเป็นก้อนไปเลย เค้าจะพิมพ์เท่าไหร่ก็แล้วแต่เค้า จ่ายตู้มให้เลยก้อนเดียว เลือก สำนักพิมพ์ที่คิดว่าจะฝากฝังอนาคตของหนังสือเราให้เค้าดูแลได้ ทำหนังสือสวยดูดี ไม่ใช่ทำกะลั่วๆ ไม่น่าซื้อ แล้วก็มีมืออาชีพที่คอยดูแลงานขายให้ตลอดรอดฝั่ง แต่ก็จะเสียอิสรภาพของตัวเองไปนะ เค้าคิด เค้าทำ เค้าอาจฟัง แต่จะทำรึป่าว ว่าตามที่ประชุม 55 แต่ถ้าไม่ใช่นักเขียน ดัง เรื่องผลตอบแทนก็ค่อยเป็นค่อยไป ตามประสาคนที่ยังไม่มีอำนาจต่อรอง ทางที่ดี เขียนให้มีหลายๆเล่มต่อเนื่อง 555 • เท่าที่รู้ตอนนี้ หนังสือมีอายุการขายที่สั้นกว่าสมัยก่อน เพราะการแข่งขันสูงขึ้นมาก ใครๆก็แห่กันเขียนหนังสือ รอดบ้างไม่รอดบ้าง สังเกตดู หนังสือที่วางอยู่ในร้านได้นานๆ อยู่ในทำเลดีๆ มักจะเป็นของนักเขียนหรือสำนักพิมพ์ที่เรารู้จัก แต่ถ้าไม่ใช่ หนังสือก็จะหลบอยู่ตามซอกหลืบให้คนอ่านเสาะหาแทบเป็นแทบตาย (เพราะอย่างนี้ สำนักพิมพ์ถึงชอบงานสัปดาห์หนังสือไง วางขายที่บูทของตัวเองเลย ลูกค้าหาซื้อง่ายดี) พอมีหนังสือเยอะ ก็ต้องแย่งชิงพื้นที่วางกันเอง เล่มไหนขายได้ก็ยึดพื้นที่ได้นานหน่อย เล่มไหนขายไม่ได้ก็ถูกเบียดกระเด็นโดยหนังสือออกใหม่ ไรงี้ ถ้ายังโชคดี ร้านก็เก็บไว้เผื่อหยิบออกมาขายอีก แต่ถ้าโชคร้าย ร้านก็ทำคืนผู้จัดจำหน่าย มานอนนิ่งสงบอยู่ในโกดัง แล้วหนังสือแนวไหนที่ขายดีในตอนนี้? สังเกตง่ายๆ ตอนนี้มีหนังสืออะไรอยู่ในร้านเยอะสุด นิยาย แจ่มใสยังเป็นแชมป์อันดับหนึ่ง เพราะออกหลายเล่มมากๆ มีนักเขียนเยอะเป็นกองทัพ ส่วนแนวอื่นๆ ที่ขายได้เรื่อยๆ เช่นท่องเที่ยว สุขภาพ อาหาร บ้านและสวน วรรณกรรม เรื่องสั้น หนังสือเด็ก (ก็แทบจะครบทุกหมวดแล้วนะ 555) อ่อ ธรรมะก็ขายได้ติดลมบนมาหลายปีแหละ แต่ต้องเป็นธรรมะที่อ่านง่ายๆนะ ถ้าอ่านยากเมื่อไหร่ ก็เหมือนหนังสือเรียนที่หลบอยู่ตามซอกหลืบเมื่อนั้น ต้องขอบคุณข้อมูลจากเพื่อนคนนี้มากๆ ข้อมูลด้านบนทั้งหมด ยกมาจากเพื่อนล้วนๆ หากจะทำประโยชน์ให้ท่านผู้ใดได้บ้าง ขอยกความดีให้เพื่อนคนนี้แต่เพียงผู้เดียว แต่หากผิดพลาดประการใด ผู้เขียนบล็อคขอรับเองคนเดียวค่าาา สุดท้ายที่อยากฝากไว้ เหนือกว่าความภาคภูมิใจที่ได้มีหนังสือเป็นของตัวเอง คือ การได้เขียนสิ่งดีๆที่เป็นประโยชน์ และสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ไม่มากก็น้อยค่ะ ขอให้ความฝันของทุกท่านเป็นจริงนะค๊ะ :) Thank you for sharing .
Marshalltown 16222 Black Friday | Marshalltown 4754 Black Friday | Marshalltown Bfkit9 Black Friday | Marshalltown Jp570xe Black Friday | Marshalltown Mb48rr Black Friday | โดย: นัชชา (เพชรพญานาค
![]() เป็นความรู้ใหม่เลยค่ะ แต่อากาศร้อนๆอย่างนี้มีนำ้แข็งไสทานยังคะ
![]() โดย: giftforthisworld
![]() ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ
ผมก็อยู่ในระบบการทำหนังสือแบบรับเปอร์เซ็นต์จาก สนพ. น้อย แต่ไม่ต้องเสี่ยงและไม่เหนื่อยมาก เพระามีงานประจำน่ะครับ งานหนังสือเป็นผลพลอยได้หรืองานอดิเรกเท่าั้นั้นเอง ![]() โดย: กะว่าก๋า
![]() ![]() ข้อมูลเนื้อหาดีคะ
โดย: กัน IP: 223.24.175.15 วันที่: 30 มกราคม 2561 เวลา:12:11:58 น.
ข้อมูลเนื้อหาดีคะ
โดย: กัน IP: 223.24.175.15 วันที่: 30 มกราคม 2561 เวลา:12:12:11 น.
|
บทความทั้งหมด
|
ขอบคุณค่ะได้ความรู้