The Buried Forest สถานที่แห่งชีวิต



The Buried Forest
สถานที่แห่งชีวิต

พล พะยาบ
คอลัมน์อาทิตย์เธียเตอร์ มติชนรายวัน 21 ตุลาคม 2550


*ไม่มีเรื่องราวให้เล่ามากนักใน The Buried Forest หรือ Umoregi หนังปี 2005 ของผู้กำกับฯ โคเฮ โองูริ ตัวละครส่วนใหญ่ไร้ชื่อ และแทบจะไม่เกี่ยวข้องกันนอกจากความรู้จักมักคุ้นเพราะเป็นคนเมืองเดียวกัน นั่นคือเมืองเล็กๆ ในชนบทที่มีคนอยู่อาศัยไม่มากนัก แต่มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา

เท่าที่พอจะเล่าได้...เด็กสาววัยรุ่น 3 คน ผลัดกันแต่งเรื่องต่อเนื่องโดยเริ่มต้นด้วย “เจ้าของร้านขายสัตว์เลี้ยงมีอูฐอยู่ตัวหนึ่ง...” เรื่องแต่งดำเนินต่อไปไม่สิ้นสุด ตอนหนึ่งเล่าถึงอูฐตัวนั้นที่เริ่มคิดถึงทะเลทรายและฟากฟ้าถิ่นเกิด และเล่าถึงปลาวาฬเกยตื้นที่กำลังสิ้นหวัง

หนึ่งในสามสาวคือ มาจิ ผู้เงียบขรึม เธอมีเพื่อนสนิทเป็นผู้ชายชื่อ โทโมะ ทั้งสองมักจะเดินเที่ยวไปตามสถานที่ร้างไร้ผู้คน เช่น บ้านเก่าของโทโมะซึ่งเคยเป็นร้านถ่ายรูป หรือบนถนนยกระดับซึ่งถูกสร้างค้างไว้

อีกกลุ่มตัวละครเป็นพ่อค้า 3-4 คน ในตลาดเล็กๆ ที่มักจะพูดคุยกันถึงเรื่องเก่าๆ มี ซันจัง(อาซาโน่ ทาดาโนบุ) ซึ่ง(คาดว่า)เป็นน้องของพ่อค้าคนหนึ่ง เป็นลูกพี่ในแก๊งรถซิ่ง มีคุณยายที่นั่งประท้วงหน้าบ้านเพราะลูกหลานลงมติส่งเธอไปอยู่บ้านพักคนชรา มีช่างไม้ที่หันไปขับแท็กซี่หลังจากลูกสาวเสียชีวิตเพราะโรคร้าย

ยังมีเรื่องราวปลีกย่อยอีกมากมาย แต่เรื่องราวหรือเหตุการณ์สำคัญที่สุดเกิดขึ้นหลังจากพายุฝนผ่านพ้น ชาวนาพบตอไม้ขนาดใหญ่ฝังอยู่ใต้ผืนดิน การขุดค้นดำเนินต่อไปพร้อมกับข้อเท็จจริงปรากฏว่าเดิมพื้นที่ตรงนั้นเป็นป่าอายุหลายพันปี แต่ถูกกลบฝังจากการระเบิดของภูเขาไฟ

ฉากสุดท้ายเป็นงานเทศกาลลอยโคมซึ่งย้ายมาจัดบริเวณ “ป่า” ชาวเมืองพากันมาเที่ยวชมความงามของธรรมชาติและโคมไฟประดิษฐ์รูปต่างๆ หนึ่งในนั้นคือปลาวาฬที่เคยเกยตื้นในเรื่องแต่งของสามสาว บัดนี้ได้กลายเป็นโคมไฟผูกติดกับลูกโป่งลอยสูงสู่ฟากฟ้า ตามด้วยโคมรูปม้าสีแดงของซันจัง

แล้วหนังที่ไม่มีเรื่องราวให้เล่ามากนักก็จบลงตรงนั้น...

ด้วยเรื่องราวที่กล่าวถึง รวมทั้งเรื่องปลีกย่อยอันเป็นเอกเทศอีกมากมาย พอจะสรุปได้ว่าหนังกำลังพูดถึง 2 ประเด็นใหญ่ที่เชื่อมโยงถึงกัน ประเด็นแรกคือการดำรงอยู่ของสังคมเล็กๆ ที่มีความเป็นมายาวนาน กับประเด็นความหมายของการดำรงอยู่ของ “ชีวิต” ในสถานที่หนึ่งๆ


เกี่ยวกับประเด็นแรก บทสนทนา ฉาก และตัวละครที่ปรากฏแบบไม่สลักสำคัญนักบอกเราว่า เมืองเล็กๆ แห่งนี้มีความเป็นมายาวนาน ไม่ใช่ในความหมายของดินแดนโบราณ หรือสถานที่ทางประวัติศาสตร์ แต่เป็นชุมชนเก่าที่สืบทอดผู้คนมาอย่างน้อย 2 รุ่น หญิงชราบอกว่าแม่ของเธออยู่ในเทือกเขา ส่วนพ่อค้าคนหนึ่งบอกว่าพ่อย้ายมาจากโตเกียว ขณะที่เรื่องเล่าจากหญิงชรา ธรรมเนียมบูชาเทพเจ้า ภาพที่มาจิมองเห็น และภาพที่ถูกใส่แทรกเกี่ยวกับตำนานท้องถิ่นล้วนแต่แสดงให้รู้ว่าชุมชนแห่งนี้มีอายุพอสมควร

เมืองแห่งนี้ไม่มีทางรถไฟ ทำให้ตลาดเล็กๆ ยังอยู่ได้ มิเช่นนั้นคนคงเดินทางไปซื้อของในเมืองกันหมด อย่างไรก็ตาม เมืองเล็กๆ นี้ก็มีซุปเปอร์มาร์เก็ตเปิดไฟสว่าง ร้านถ่ายรูปด้วยกล้องแบบเก่าของญาติโทโมะปิดไปเมื่อ 5 ปีก่อน มีคนรุ่นหลังที่ย้ายออกไป เช่นแม่ของโทโมะซึ่งเปิดบาร์ในเมือง ลูกสาวของหญิงชราที่ย้ายไปอยู่โตเกียว ขณะที่บทสนทนาระหว่างพ่อค้า 2 คน บอกให้รู้ว่าสมัยก่อนมีเด็กเยอะแยะ นั่นหมายถึงการหายไปของครอบครัวจำนวนไม่น้อย

ฉากที่โทโมะแวะไปหาแม่ที่ร้านแล้วทั้งสองทะเลาะกันรุนแรง กับคำบอกเล่าของหญิงชราว่าลูกๆ จะให้เธอไปอยู่บ้านพักคนชรา ล้วนแต่สื่อถึงภาพด้านลบของเมือง และการดำรงอยู่อย่างอ่อนแรงของสังคมเล็กๆ ในชนบท

ความหมายของสถานที่เด่นชัดขึ้นด้วยเรื่องราวอีกชุดหนึ่ง ได้แก่ คำบอกเล่าของหญิงชราว่าแม่ของเธอไม่ยอมย้ายออกจากเทือกเขาจนกระทั่งเสียชีวิต เช่นเดียวกับตัวเธอเองไม่อยากไปอยู่บ้านพักคนชราเพราะต้องการอยู่กับลูกหลาน เรื่องแต่งของสามสาวที่ว่าอูฐเริ่มคิดถึงทะเลทรายและฟากฟ้าที่จากมา กับปลาวาฬที่หลงจากท้องทะเลมาเกยตื้น ทั้งหมดนี้ต่างสื่อถึงสถานที่ที่มีความหมายต่อชีวิต

การค้นพบป่าอายุหลายพันปีที่ถูกฝัง กับคำพูดของช่างไม้ที่ว่าไม้ยังมีชีวิตอยู่เสมอ ยิ่งตอกย้ำให้เข้าใจว่าการดำรงอยู่ของบางสิ่งบางอย่างนั้นแนบแน่นอยู่กับสถานที่...ไม่ว่าที่แห่งนั้นจะเปลี่ยนสภาพไปเช่นไร

*ฉากต่อเนื่องที่มาจิมองเห็นภาพวาดปลาวาฬขนาดใหญ่บนตู้คอนเทนเนอร์บนรถบรรทุกที่แล่นอยู่ในเมือง เธอวิ่งตามไปก่อนจะคลาดกัน ระหว่างการตามหานั้นมาจิพบเห็นการกวาดจับพวกลักลอบเข้าเมือง สักพักเธอจึงพบรถคันดังกล่าวจอดอยู่ เห็นเงาสะท้อนรูปปลาวาฬบนพื้นถนนที่เจิ่งนองด้วยน้ำฝนราวกับว่าปลาวาฬกำลังเกยตื้นอยู่ในเมืองใหญ่ ถือว่าเป็นฉากสื่อความหมายที่ดีที่สุดในหนังเรื่องนี้ และเป็นที่มาของฉากจบที่มาจิและเพื่อนๆ ทำโคมรูปปลาวาฬเพื่อปลดปล่อยมันเป็นอิสระ

เท่าที่ดูข้อมูลงานสร้าง ไม่พบระบุว่าเมืองเล็กๆ ในหนังคือเมืองอะไร อยู่ที่ไหน ซึ่งหมายถึงผู้สร้างสมมุติเมืองนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ตาม “ป่าถูกฝัง” อันเป็นชื่อเรื่องชวนให้นึกถึงสถานที่จริงของญี่ปุ่น ที่แรกคือเมืองอุโอสุ ในโทยาม่า ซึ่งมีพิพิธภัณฑ์ป่าถูกฝังเช่นกัน เมืองนี้มีความพิเศษตรงที่มีปรากฏการณ์ธรรมชาติน่าอัศจรรย์หลายอย่าง สอดคล้องกับเรื่องราวแปลกๆ ในเมืองอันเป็นฉากหลังของหนัง เพียงแต่ป่าถูกฝังของเมืองอุโอสุไม่ได้เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ แต่เป็นเพราะระดับน้ำทะเลที่สูงท่วมพื้นที่ป่า

ส่วนป่าถูกฝังจากภูเขาไฟคล้ายกับในหนังอยู่ที่เกาะฮอนชู ภูเขาซันเบ ในอำเภอชิมาเนะ ซึ่งค้นพบป่าถูกฝังช่วง 20 ปีที่ผ่านมา และเปิดเป็นอุทยานซันเบ อาซุกิฮาระ ให้คนทั่วไปได้เข้าชม

หนังเรียบเรื่อยเชื่องช้า ประกอบด้วยฉากไร้ที่มาที่ไปจำนวนมาก หากใครไม่มีปัญหาว่าต้องดูหนังที่มีเรื่องราวชัดเจนจับต้องได้จะพบว่าหนังนุ่มนวลงดงามยิ่งนัก โดยเฉพาะการกำกับภาพของ โนริโอะ เทรานูมะ น่าสนใจตั้งแต่ฉากแรกจนถึงฉากสุดท้าย

สัมผัสความเรียบง่าย อบอุ่น มีชีวิตชีวา โดยไม่ต้องขุดค้นหาให้เสียเวลา



Create Date : 22 มีนาคม 2551
Last Update : 22 มีนาคม 2551 1:53:04 น.
Counter : 2512 Pageviews.

18 comments
  

เอ่อ...

เพิ่งรู้ว่าดีวีดีลิขสิทธิ์ไทยเรื่อง 9 Songs ที่ว่ากันว่าเห็นแบบเนื้อๆ เน้นๆ เพิ่งวางขายไม่กี่วันนี้

ใช้ชื่อไทยว่า ทำนองรัก จังหวะใคร่

นี่มันชื่อที่เราใช้ตอนเขียนวิจารณ์ตั้งแต่ปี 48 นี่หว่า

ลองเสิร์ชดูถึงได้รู้อีกว่าพ่อค้าแผ่นผีก็ใช้ชื่อนี้โฆษณาขายมาตลอดเหมือนกัน หุหุ

บทวิจารณ์นั้นก็ลงไว้ในบล็อกนี่แหละ ถึงว่ายอดคนอ่านเยอะเหลือเกิน
โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 22 มีนาคม 2551 เวลา:3:47:28 น.
  
ม่วนไปดู once มาแระ
น่าร้ากกก
น่ารักอ่ะ
^O^
โดย: ม่วนน้อย วันที่: 22 มีนาคม 2551 เวลา:9:46:41 น.
  
โดย: Z IP: 124.120.25.233 วันที่: 22 มีนาคม 2551 เวลา:20:52:59 น.
  
ตกใจอย่างยิ่งที่ 9 Songs ออกดีวีดี 55+
ส่วน The Buried Forest นี้ก็น่าสนใจเหมือนกัน ตั้งแต่ตอนที่ได้ยินชื่อแล้ว

ปล. ส่งที่อยู่ไปแล้วนะครับ
ปล.2 กำลังพยายามเขียน In the Valley of Elah อยู่ 55+
โดย: nanoguy IP: 125.24.95.117 วันที่: 23 มีนาคม 2551 เวลา:1:54:29 น.
  

ตอบ ม่วน
ใช่ น่ารักเนอะ

ตอบ nanoguy
ได้รับแล้วครับ
In the Valley of Elah ดีนะ แต่ไม่ค่อยชอบฉากจบ
คงประมาณเดียวกับปล่อยคนจีนออกจากท้ายรถในเครื่อง Crash น่ะครับ
ผมว่ามันออกจะเว่อร์ๆ เฟคๆ ไปหน่อย
โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 23 มีนาคม 2551 เวลา:3:29:19 น.
  
เคยเห็นหนังเรื่องนี้เหมือนกันครับ
ชอบหนังแบบนี้จัง
โดย: wayakon วันที่: 23 มีนาคม 2551 เวลา:19:21:01 น.
  

กรี๊ดดดดด ผมชอบหนังเรื่องนี้มาก

เสียดายที่ไม่ได้ในโรงตอนบางกอกฟิล์ม

ดูแผ่นแล้ว เหวอ มาก 555

เคยจะเขียนถึงหนัง โดยใช้ชือ่เรื่องว่า

The Blue-Blurry Forest

(ผมว่าตอนจบมันเศร้าอ่ะ)

แต่ว่ามิสามารถเขียนได้ เพราะไม่รู้จะเขียนยังไง ฮ่าๆๆ
โดย: merveillesxx วันที่: 24 มีนาคม 2551 เวลา:2:03:18 น.
  
ยังไม่ได้ดูค่ะเรื่องนี้..
โดย: renton_renton วันที่: 24 มีนาคม 2551 เวลา:16:50:32 น.
  

ตอบ wayakon
ดูจากที่วยากรเขียนแล้ว ผมก็ว่าน่าจะชอบเรื่องนี้

ตอบ merveillesxx
ตอนจบผมว่าสุขแบบโหวงๆ

ตอบ เรนตัน
ยังไม่ได้ดูแล้วสนใจมั้ย




Touch เล่ม 4 ออกแล้ว
ลุ้นกันไปทีละเล่ม หุหุ
โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 24 มีนาคม 2551 เวลา:22:20:31 น.
  
สำหรับ "อีหล้า" ผมค่อนข้างจะโดนกับสารของมันครับ แต่ไม่ชอบการนำเสนอหลายๆอย่างเหมือนกัน (ฉากสุดท้ายก็คิดเหมือนพี่ คือไม่ได้ถึงกับว่ามันเฟค แต่มันยืดเยื้อเกินไป เพราะผมรู้ตั้งแต่ตัดเข้ามาฉากนี้แล้วว่าจะจบยังไง)

โดยส่วนตัว แม้ว่ามันจะไม่โฉ่งฉ่างเท่า Crash ผมก็ยังชอบ Crash มากกว่า 555555

ล่าสุดเพิ่งดู An Empress and the Warriors (ฟรี) มา ครึ่งเรื่องแรกทำท่าจะดีเพราะแลดูมีประเด็น แต่พอเข้าท้ายเรื่องก็โหมประเคนฉากบังคับหนังจีนให้เราดูเต็มไปหมด
โดย: nanoguy IP: 125.24.79.250 วันที่: 25 มีนาคม 2551 เวลา:9:18:03 น.
  

^
^
ไม่ได้ดูหนังจีนแนวนี้เลยครับ ไม่ค่อยชอบอ่ะ
โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 27 มีนาคม 2551 เวลา:5:03:30 น.
  
มีโอกาสได้ดู เสียงสว่างของเป็นเอกแล้วน่ะ หนังดีจัง
โดย: beerled IP: 203.154.188.177 วันที่: 27 มีนาคม 2551 เวลา:12:07:59 น.
  

^
^
วันอาทิตย์ที่ผ่านมาหรือเปล่าครับ

ผมลืมดู
โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 28 มีนาคม 2551 เวลา:13:43:52 น.
  
yes ชอบวิธีการเล่าเรื่องสลับดนตรี โดยเฉพาะตอนเล่าเรื่องชีวิตของคุณศิลา หวังว่าคงจะทำให้หลายคนตาสว่างขึ้นบ้างเรื่องการใช้ชีวิตที่ทั้งเรียบง่าย สมถะ และพอใจกับสิ่งที่มี
โดย: beerled IP: 203.154.188.177 วันที่: 28 มีนาคม 2551 เวลา:16:47:33 น.
  
ขอนอกเรื่องหน่อยนะครับ
ที่คุณเข้าไปอัพเดทข้อมูลเรื่องสั้นในไทยไรเตอร์ของดิฉันล่าสุดนั้น
มันตกเรื่องสั้นของแก้มหอมไปครับ ผมก็งงเหมือนกัน เพราะเมื่อเช้าเปิดดิัฉันแล้วเห็นเรื่องสั้นสองเรื่อง ผมคงไม่ได้ตาฝาดเพราะเมาค้างนะ
โดย: ลิด้า วันที่: 29 มีนาคม 2551 เวลา:10:31:40 น.
  

^
^
เหรอครับ เดี๋ยวผมเช็กดูใหม่ ปกติผมเปิดดูตามร้านหนังสือน่ะ
ขอบคุณที่แวะมาบอกครับ
โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 29 มีนาคม 2551 เวลา:13:03:26 น.
  
"เสียงสว่าง" ผมดูแล้วกลับคิดเป็นตุเป็นตะเกินหนังไปมากๆ เสียจนเป็นหนังที่อาจจะเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปนั่นเลย 555555 (แต่ก็เพราะแบบนี้แหละที่ทำให้ผมชอบเรื่องนี้มากที่สุดในโปรแกรม "แด่พระผู้ทรงธรรม" อิอิ)

ขอบคุณสำหรับแผ่น "โอ-เนกะตีฟ" นะครับ
ส่วนบทความผมที่ได้ลงอย่าตั้งความหวังมากนะ แหะๆๆๆ เพราะหนังเรื่องนี้เขียนถึงยากพอสมควรเลย
โดย: nanoguy IP: 125.24.90.82 วันที่: 29 มีนาคม 2551 เวลา:15:31:30 น.
  
กำลังดูเรื่องนี้อยู่เลยค่ะ
ใช้เวลาดูอยู่หลายวันเนื่องมาจากความไม่มีอะไรในหนัง
แต่มันเป็นความไม่มีอะไรที่ไม่ค่อยสนุกเหมือนเรื่องอื่น ๆ
เดี๋ยววันนี้จะพยายามดูให้จบ

คุณบรรยายดีจังเลยค่ะ
ขออนุญาต add เพื่อมาอ่านเรื่องอื่น ๆ อีกนะคะ
โดย: ยัยลีลี วันที่: 28 สิงหาคม 2553 เวลา:13:25:57 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Aloneagain.BlogGang.com

แค่เพียงรู้สึกสุขใจ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]

บทความทั้งหมด