โดน‘ลอก+ดัดแปลง’บทวิจารณ์หนัง : The Orphanage สถานรับเลี้ยง‘เด็กผี’


เมื่อคืนหลังจากทราบข่าวว่าหนังสยองขวัญสเปนเรื่อง The Orphanage (El Orfanato) กำลังจะเข้าฉายวันที่ 18 ธันวาคมนี้ ด้วยความอยากรู้ว่าหนังใช้ชื่อไทยว่าอะไรจึงเสิร์ชหาคำตอบใน google

ปกติบทวิจารณ์ภาพยนตร์ที่ผมเขียนลงหนังสือพิมพ์มติชนและลงในเว็บไซต์ของมติชนด้วยจะถูกนำมาโพสต์ซ้ำโดยอ้างอิงที่มาตามเว็บไซต์วาไรตี้ต่างๆ เป็นประจำ ดังนั้น การพบเห็นบทวิจารณ์ของผมตามเว็บไซต์ต่างๆ เวลาเสิร์ชใน google จึงเป็นเรื่องปกติ

บังเอิญการค้นหาคราวนี้เจอข้อความหนึ่งที่ผมจำได้ว่าตนเองเป็นคนเขียนอยู่ในบล็อกของใครบางคนในบล็อกแก๊ง แต่หัวเรื่องกลับไม่ใช่ของผม...จึงตามเข้าไปดู

ปรากฏว่าสิ่งที่เจ้าของบล็อกโพสต์ไว้(ซึ่งมีลักษณะแบบงานวิจารณ์) มีข้อความบางส่วนที่ลอก ตัดต่อ และดัดแปลงจากบทวิจารณ์ของผม

ลองเปรียบเทียบกันดูครับ อันแรกเป็นบทวิจารณ์ชื่อ The Orphanage สถานรับเลี้ยง‘เด็กผี’ ซึ่งตีพิมพ์ในคอลัมน์อาทิตย์เธียเตอร์ มติชนรายวัน ฉบับวันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม 2551 (ไม่สปอยล์)





The Orphanage
สถานรับเลี้ยง‘เด็กผี’

พล พะยาบ


สัปดาห์ก่อนพูดถึงเจ้าของรางวัลออสการ์หนังภาษาต่างประเทศเรื่อง The Counterfeiters(มีโปรแกรมฉายในบ้านเราเร็วๆ นี้) ตั้งใจว่าสัปดาห์นี้และคราวต่อๆ ไปจะไล่เรียงหนังตัวแทนของประเทศต่างๆ ที่ส่งเข้าประกวดในรอบปีเดียวกันเท่าที่ผู้เขียนได้ชมซึ่งมีอยู่หลายเรื่อง อาจจะสลับด้วยหนังนอกเหนือจากนี้บ้างตามแต่โอกาส

เริ่มด้วย The Orphanage หรือ El Orfanato หนังสยองขวัญที่ฮิตมากในสเปนเมื่อปีที่แล้ว ทั้งยังได้เข้าชิงรางวัลโกย่าหรือตุ๊กตาทองของสเปนถึง 14 สาขา รวมถึงหนังยอดเยี่ยม ก่อนจะคว้ามาได้ 7 สาขา ผลงานกำกับฯเรื่องแรกของ ฆวน อันโตนิโอ บาโยน่า ซึ่งผันตัวมาจากวงการมิวสิควิดีโอ

ผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการในตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างของหนังเรื่องนี้คือ กีลเลร์โม เดล โตโร ผู้กำกับฯคนดังชาวเม็กซิกันที่เพิ่งประสบความสำเร็จจากหนังแฟนตาซีหม่นมืดเรื่อง Pan’s Labyrinth

หนังใช้ฉากเมืองชายทะเลของสเปน ณ คฤหาสน์หลังงามโดดเด่นและโดดเดี่ยวซึ่งเคยเป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เลาร่า สาววัยปลายสามสิบหรืออดีตเด็กหญิงเลาร่ากลับมายังสถานที่ที่เธอเคยอาศัยอีกครั้งในฐานะเจ้าของใหม่ พร้อมกับคาร์ลอส สามีผู้เป็นหมอ และซีโมน ลูกชาย โดยเลาร่าตั้งใจว่าจะเปิดที่นี่อีกครั้งให้เป็นสถานเลี้ยงดูเด็กพิการ

เรื่องทุกข์ใจอย่างหนึ่งของเลาร่าคือซีโมนชอบพูดจาหรือตั้งคำถามแปลกๆ เขามักจะตื่นขึ้นกลางดึก พร่ำพูดถึงเพื่อนในจินตนาการราวกับว่าเด็กๆ เหล่านั้นมีตัวตนอยู่จริง เธอและคาร์ลอสแม้จะห่วงกังวลแต่ก็ปลอบใจกันว่าเป็นเรื่องปกติตามวัย และคงเพราะเหตุที่ลูกไม่มีเพื่อน ถ้ามีเด็กๆ ย้ายมาอยู่ที่นี่ซีโมนคงหายเหงาและปรับตัวได้ดีขึ้น

ความตั้งใจของเลาร่าที่จะเปิดสถานเลี้ยงดูเด็กพิการอาจเนื่องมาจากลูกชายของเธอเองก็มีปัญหาด้านสุขภาพ เลาร่าและคาร์ลอสปกปิดไม่ให้ซีโมนรู้ว่าเขามีเชื้อเอชไอวี ความลับสำคัญอีกประการหนึ่งคือซีโมนเป็นเด็กที่ทั้งสองรับมาอุปการะ

วันหนึ่งเลาร่าพาซีโมนเดินเที่ยวชายทะเลและปล่อยให้เขาเข้าไปในถ้ำตามลำพัง เมื่อเลาร่าตามเข้าไปจึงเห็นซีโมนทำท่าทางเหมือนคุยกับใครอยู่ หลังจากวันนั้นซีโมนก็เอาแต่พูดถึงเพื่อนใหม่ชื่อโทมัส บรรยากาศของความสับสนสงสัยทำให้แม่-ลูกเริ่มมีปากเสียงกัน ซ้ำร้ายซีโมนยังบอกเลาร่าว่าเขารู้แล้วว่าตนเองเป็นโรคร้ายและไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเธอ โดยคนที่บอกความลับนี้แก่เขาก็คือโทมัส…เพื่อนของลูกซึ่งเลาร่าไม่เคยคิดว่ามีตัวตนอยู่จริง

ไม่เพียงเท่านั้น มีหญิงชราท่าทางไม่น่าไว้ใจอ้างว่าเป็นนักสังคมสงเคราะห์แวะมาที่บ้าน ทั้งยังแอบเข้ามาในบริเวณบ้านตอนกลางดึก เมื่อให้ตำรวจตรวจสอบก็ไม่พบหญิงชราคนดังกล่าวอยู่ในบัญชีของนักสังคมสงเคราะห์

สถานการณ์เลวร้ายถึงขีดสุดในวันแรกที่มีเด็กๆ เข้ามาอยู่ในบ้าน เลาร่าถูกทำร้ายโดยเด็กสวมถุงผ้าปกปิดใบหน้า และซีโมนได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า โทมัส เด็กที่มองไม่เห็น ถ้ำ ซีโมน หญิงชรา...บางทีเรื่องราวลึกลับดำมืดที่เกิดขึ้นอาจเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้ไว้ด้วยกัน

แม้แต่ตัวเลาร่าเองซึ่งมีอดีตครั้งเยาว์วัยเวียนว่ายอยู่รายรอบตัว!

ท่ามกลางหนังสยองเลือดสาดและสไตล์ผีเกาหลี-ผีญี่ปุ่นที่เห็นเกลื่อนจอ The Orphanage คือหนังสยองขวัญแบบเก่าที่ไร้ความโฉ่งฉ่างจากภาพและเสียง แต่เลือกสร้างบรรยากาศวังเวงหวั่นหวาดด้วยองค์ประกอบภาพและการออกแบบงานสร้างให้ดูขรึมขลังหนักแน่น การตัดต่อแบบค่อยเป็นค่อยไป และเรื่องราวที่ค่อยๆ คืบหน้า ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นสไตล์ถนัดของคนทำหนังจากยุโรปอยู่แล้ว

ดังนั้น ไม่น่าแปลกใจถ้าหากดูหนังเรื่องนี้แล้วจะนึกถึง The Others หนังปี 2001 ที่ นิโคล คิดแมน นำแสดง เพราะนอกจากจะมีตัวละครหลักเป็นผู้หญิงและใช้ฉากบ้านหลังใหญ่แล้ว ยังเป็นหนังสัญชาติสเปน และมีผู้กำกับฯคือ อเลคานโดร อเมเนบาร์ ซึ่งเป็นคนสเปนเหมือนกัน (แถมหนังยังกวาดรางวัลโกย่าไปพอๆ กันคือ 8 สาขา)

บ้านหลังใหญ่แบบโบราณทั้งภายนอกภายในคือส่วนสำคัญในการสร้างความน่าสะพรึง ฉากภายนอกบ้านมักถูกถ่ายขึ้นจากมุมต่ำให้ความรู้สึกน่าหวั่นเกรง ไม่ก็ถ่ายผ่านเครื่องเล่นเด็กค่อยๆ หมุนตัวส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดราวกับมีเด็กที่มองไม่เห็นกำลังเล่นอยู่ เหนือขึ้นไปจากบ้านเห็นท้องฟ้าสีดำทะมึนยิ่งรู้สึกถึงความน่ากลัวที่กำลังคุกคาม

ส่วนฉากในบ้าน...ทางเดินทอดยาวมีแสงเพียงน้อยถูกใช้บ่อยครั้ง เมื่อครั้งหนึ่งปรากฏเด็กสวมถุงผ้าปกปิดใบหน้ายืนนิ่งอยู่ตรงสุดทางเดินจึงกลายเป็นฉากติดตาที่มีผลชะงัด

ฉากน่าสะพรึงอีก 2 ฉากอยู่ในช่วงต้นเรื่อง หนังเปิดฉากแรกด้วยภาพเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ใต้เงาไม้ใหญ่ เธอนับหนึ่งถึงห้าแล้วรีบหันไปด้านหลังเพื่อให้เด็กคนอื่นหยุดเคลื่อนเข้าหา นับแต่ละครั้งเพื่อนก็เคลื่อนเข้าใกล้มากขึ้น ภาพตัดมาระยะใกล้จู่ๆ มือของเพื่อนคนหนึ่งก็ใกล้จะแตะถึงตัวเธอแล้ว ฉากนี้จะเป็นส่วนสำคัญของเรื่องราวช่วงท้าย

อีกฉากเป็นไตเติลเปิดเรื่อง มีเงาและมือของเด็กโผล่มาฉีกกระชากวอลล์เปเปอร์ลวดลายโบราณเผยให้เห็นเครดิตทีมงานทีละชื่อ ก่อนที่มือหลายมือจะรุมฉีกวอลล์เปเปอร์จนปรากฏชื่อหนัง นับเป็นไตเติลเปิดเรื่องที่น่าสะพรึงและน่าประทับใจไปพร้อมกัน

แม้เนื้อหาเรื่องราวและการนำเสนอของหนังจะค่อนไปในทางสยองขวัญสั่นประสาท แต่แง่มุมสวยงามก็มีอยู่ในหนังเช่นกันโดยเฉพาะเมื่อเรื่องราวดำเนินไปถึงจุดหนึ่ง หนังใช้จี้ห้อยคอรูปนักบุญแอนโธนี่หรือนักบุญอันตนแห่งปาดัวที่คาร์ลอสมอบให้แก่เลาร่าสื่อถึงการเยียวยารักษาของตัวละคร เนื่องจากนักบุญอันตนเป็นที่เคารพในหมู่คาทอลิกว่าสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งยังเป็นนักบุญที่ชาวคาทอลิกวิงวอนเมื่อมีของหายซึ่งก็ตรงกับเลาร่าและคาร์ลอสที่ตามหาลูกชายซึ่งหายตัวไป

นอกจากงานกำกับหนังครั้งแรกของบาโยน่าและทีมผู้สร้างในหลายตำแหน่งซึ่งทำได้ดีแล้ว อีกคนที่สมควรได้รับคำชมคือ เบเลน รวยด้า ผู้รับบทเลาร่าโดยเธอแบกรับหนังทั้งเรื่องได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ที่ผ่านมารวยด้าเพิ่งมีผลงานแสดงหนังใหญ่เพียง 3 เรื่อง เรื่องที่พอจะคุ้นหน้าคุ้นตาสำหรับคอหนังบ้านเราคือ The Sea Inside (2004) ซึ่งเป็นหนังเรื่องแรกของเธอ

ล่าสุดแว่วข่าวว่าค่ายนิวไลน์เตรียมรีเมคหนังเรื่องนี้เป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ ตามธรรมดาของฮอลลีวู้ดซึ่งกลายเป็นสถานรับเลี้ยง “หนังผี” จากทั่วโลกไปแล้ว

ต้องรอดูว่าจะถูกแต่งองค์ทรงเครื่องออกมาแบบไหน






ส่วนนี่เป็นหน้าตาของบล็อกและเนื้อหาของงานเขียนชื่อ Orphanage: บ้านหลังนี้มีความลับ จากบล็อกนี้

//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=chubbymature&month=07-2008&date=08&group=3&gblog=23

อัพไว้เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2551














บล็อกของ chubbymature ผมไม่เคยเข้าไปจึงเพิ่งเห็นสิ่งที่เขาทำ และไม่คุ้นว่าเขาเคยคอมเมนต์ในบล็อกนี้

แต่ที่แน่ๆ คือเขาเคยแวะมา เพราะมีบล็อกของผมอยู่ในรายชื่อ Friends' blogs ของเขาด้วย

ที่น่าประหลาดใจคือ บทวิจารณ์ที่ตีพิมพ์ในมติชนและที่ลงในเว็บไซต์มติชนจะมี url บล็อกของผมในบล็อกแก๊งให้เห็นชัดเจน

แล้วคนที่คิดลอกและดัดแปลงเพื่อโพสต์ในบล็อกแก๊งด้วย ไม่กลัวว่าจะถูกจับได้เลยหรือ ใกล้กันแค่นี้เอง





Create Date : 21 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2551 19:16:04 น.
Counter : 3190 Pageviews.

20 comments
  
น่ากัวเน้อะ

จะดูดีมั้ยน้อ
โดย: patra_vet วันที่: 21 พฤศจิกายน 2551 เวลา:19:09:53 น.
  
พูดได้คำเดียวว่า "แย่"
โดย: jenifaae วันที่: 21 พฤศจิกายน 2551 เวลา:19:38:00 น.
  
เฮ้ย แย่มากเลยครับ คุณพลฯ

โดย: I will see U in the next life. วันที่: 21 พฤศจิกายน 2551 เวลา:21:26:32 น.
  
ฝากไปถึงคนที่ลอกงาน+ดัดแปลงงานเขียนของคนอื่นไปเป็นของตน

" แหวะ !! พฤติกรรมเยี่ยงนี้น่ารังเกียจมาก ทำไปได้อย่างไร
ตอนลอกข้อความคนอื่นและตั้งใจเอามาเป็นของตน ตอนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่..อยากรู้
หลอกคนอ่าน คนอ่านคงไม่รู้ (แปลว่าดูถูกคนอ่าน) อ่านไปเถอะครับผมเขียนเองแหละ..งั้นเหรอ?
ที่สำคัญ คุณหลอกตัวเองอยู่ รู้หรือเปล่า....ยืดอกทำงานอยู่ได้อย่างไรกันนะ คนเรา "

ปล.จะโดนเรียกตัวไปเป็นพยานให้การก็ยินดีค่ะ หุหุ
เพราะหลงเข้าไปเม้นต์ในนั้นกับเขาด้วย
โดย: renton_renton วันที่: 21 พฤศจิกายน 2551 เวลา:21:32:11 น.
  
อ้าว ผมก็ไปเม้นต์แบบเป็นตุเป็นตะไปแล้วซะด้วย

แต่สังเกตุว่าสิ่งที่ผมแย้งไป ก็คือสิ่งที่เขา "คิด" ขึ้นมาเองนะครัีบ ซึ่งก็อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นว่าเขา "ไม่เก๊ท" หนังเรื่องนี้ จนถึงขนาดที่เอาบทความของคุณ มาตัดแปะอย่างน่าไม่อาย...

ขอร่วมประท้ว... เอ้ย ร่วมประนามครับ
โดย: BloodyMonday วันที่: 22 พฤศจิกายน 2551 เวลา:9:20:59 น.
  
ผมเป็น Friends' blogs คนแรกของบล็อกนั้นเลยครับ
คือก่อนหน้านั้นผมเข้าไปอ่านบันทึกประจำวัน เรื่องราวของความรักของเขาน่ะ
หลังจากไม่ได้ติดตามมานาน เลยไม่ค่อยได้เข้าไปอ่าน และสงสัยอยู่ว่าเรื่อง
ที่เขาวิจารณ์หนัง เขาทำได้ดีนะ เขียนได้เยอะ แต่ขี้เกียจอ่าน เลยไม่ได้อ่านจบ
ซักกะที

ไม่รู้ว่าเขาทำอย่างนี้ด้วยเนาะ แต่ไม่ได้ว่าเขาทำทุกเรื่องหรอกนะ แต่มันเห็นได้
ชัดขนาดนี้ น่าอายจัง นี่มันผิดกฎหมายด้วยนิ น่ากลัวอ่ะ
โดย: haro_haro วันที่: 22 พฤศจิกายน 2551 เวลา:10:24:21 น.
  

แวะมาอ่านค่ะ
โดย: อุ้มสี วันที่: 22 พฤศจิกายน 2551 เวลา:11:40:19 น.
  
เท่าที่อ่าน ผมพอเห็นความตั้งใจของ จขบ. นั้นนะครับ โดยเฉพาะในเรื่องการวางคอนเซปต์ของบทความ ในขณะเดียวกันก่อนเขาจะลงมือเขียน เขาก็คงเสิร์ชข้อมูล และอะไรต่างๆนานา เช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องประเด็นของเรื่องราว ที่เขาอาจเก็บได้ไม่หมด

(บางครั้งผมก็ทำแบบนี้เช่นกัน แต่เพื่อเรียบเรียงเหตุการณ์ให้ชัดเจน มากกว่าจะหยิบประเด็นความคิดความเห็นข้อวิจารณ์มาตัดแปะ)

แต่กรณีนี้ ผมว่าชัดเจนมากจนแก้ตัวไม่ขึ้นแล้วครับ.. โดยเฉพาะการเลือกใช้คำที่ "บังเอิญ" ตรงเป๊ะๆอะไรจะขนาดนั้น..

โดย: nanoguy IP: 202.176.88.152 วันที่: 22 พฤศจิกายน 2551 เวลา:18:32:08 น.
  

ผมยังไม่อ่านโดยละเอียดทั้งสองอันนะครับ พอดีง่วงมาก เลยของดแสดงความเห็นก่อน

แต่ตลกดี คุณไกรวุฒิ ไปสอนที่มหาลัยแห่งหนึ่ง ก็เคย sms มาบอกว่า มี นศ. ก็อปงานจากบล็อกผมไป

หรือสมัยยังเรียน วารสารของมหาลัย (แบบที่นศ.ทำกันเอง) ก็ก็อปของผมไปเฉยเลย ไม่มีเครดิตอะไรทั้งนั้น

เชื่อว่ายังมีอีกมาก ที่ถูกก็อปไป แล้วผมไม่รู้ตัว

แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องคงคอยระวังว่าตัวผมเองไปก็อปใครไว้หรือเปล่า บางทีไปเผลอๆ อ่าน ก็อาจเผลอเอามาใส่ของตัวเอง

ป.ล. ขอบคุณที่อุตส่าห์สละเวลาอ่านเรื่องสั้นนะครับ ^^
โดย: merveillesxx วันที่: 23 พฤศจิกายน 2551 เวลา:0:17:22 น.
  
ก็อปงานไปส่งนี่ผมก็รู้นะ บางทีปัญญานักศึกษากับสิ่งที่ออกมามันขัดแย้งกัน 55
โดย: I will see U in the next life. วันที่: 23 พฤศจิกายน 2551 เวลา:11:22:05 น.
  
เข้าใจความรู้สึกเลยครับ เสียใจด้วย
ผมว่า ถ้าจะลงลิงค์ หรือให้เครดิตว่านำมาจากไหน หรืออย่างน้อย ลงท้ายว่าได้รับแรงบันดาลใจจาก... อะไรแบบนี้มันจะไม่เป็นไรเลย

นี่บทวิจารณ์หนังนะครับ ไม่อยากนึกว่าหากเป็นบทกลอนบทกวี หรือเรื่องสั้นที่ผู้เขียนเค้าเขียนจากใจหรือสวนตัวมากๆ แล้วโดนก็อปไปมันจะเศร้าขนาดไหน
โดย: เอกเช้า IP: 124.120.182.25 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2551 เวลา:16:26:07 น.
  

อันที่จริง เรื่องนี้ผมไม่ได้ซีเรียสหรือโกรธเคืองอะไรมากมายครับ
แค่ต้องการแสดงสิทธิ และบอกกล่าวให้เขารู้ว่านี่คือเรื่องไม่ถูกต้อง
(มองในแง่ดีหน่อย...อย่างน้อยเขาก็แค่อยากได้หน้าหรือต้องการแสดงตัวตนด้วยอะไรบางอย่างในทางลัด ไม่ใช่เอาไปหาผลประโยชน์นอกเหนือจากนี้)

กรณีนี้ไม่ใช่แค่ความมักง่าย เช่นขี้เกียจเล่าเรื่องย่อก็ก๊อปของคนอื่นมาใช้
แต่เจตนาเอางานคนอื่นมาดัดแปลงเป็นงานของตนเอง
และในเมื่อเขาเผยแพร่งานในบล็อกแก๊ง ผมจึงใช้พื้นที่เดียวกันแสดงสิทธิและบอกคนในนี้ให้รู้ด้วย

เกี่ยวกับการละเมิดงานคนอื่น จุดที่ผมห่วงไม่ใช่แค่การขโมยงาน-ลอกงานที่ทำกันได้ง่ายๆ และทำกันเยอะในยุคคลิกขวา-คลิกซ้าย
แต่อยู่ที่...มีคนจำนวนไม่น้อยไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำเป็นเรื่องผิด!
ไม่ใช่ไม่รู้สำนึกผิดชอบชั่วดีนะครับ แต่เขา(หรือเธอ) ไม่รู้จริงๆ ว่ามันผิด
เชื่อหรือไม่?!?

น่าตกใจตรงที่ความไม่รู้เรื่องรู้ราวไม่ได้เกิดเฉพาะกับเด็กๆ แต่คนเรียนจบดีๆ ทำงานดีๆ ก็มี
ผมเจอกับตัวเองมาแล้ว
(เป็นเคสก๊อปปี้บทกวีไปโพสต์ในบล็อกตัวเองแล้วไม่ให้เครดิต)



โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 24 พฤศจิกายน 2551 เวลา:5:29:23 น.
  
คงต้องระมัดระวังเรื่องการเขียน
ส่วนการคัดลอกคงต้องอ้างอิงชื่อผู้เขียนเสมอ
เพื่อเป็นการให้เกียรติเจ้าของเรื่อง
โดย: yawaiam IP: 118.172.168.92 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2551 เวลา:0:13:49 น.
  
ผมก็ไม่เคยเขียนลงไปว่า งานเขียนโดยตัวผมเอง

หากคิดว่าการอ่านบทความคนอื่นแล้ว เราจะนำแนวคิดของเขามาใช้ ถือว่าเป็นความผิด ผมก็กราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยละกัน ตรงที่ผมไม่ได้ให้เครดิตเอาไว้เหมือนงานเขียนตัวอื่น

และขอขอบคุณนะครับที่ช่วยประนามไว้ ผมจะได้รู้ว่าวันหลังอย่าลืมเอาให้เครดิต โดยทิ้งลิงค์เอาไว้ด้วย

อันนี้ไม่ได้ป่วนนะครับ แต่รู้สึกจริงๆ
โดย: Chubbymature (chubbymature ) วันที่: 4 ธันวาคม 2551 เวลา:0:29:29 น.
  

^
^
อ่านที่ผมเขียนไว้ใน comment no.12 ย่อหน้าที่ 3 นะครับ

ผมว่าคุณเข้าข่ายนั้นแล้วล่ะ




โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 4 ธันวาคม 2551 เวลา:0:49:05 น.
  
ผมก็ไม่เคยเขียนลงไปว่า งานเขียนโดยตัวผมเอง

หากคิดว่าการอ่านบทความคนอื่นแล้ว เราจะนำแนวคิดของเขามาใช้ ถือว่าเป็นความผิด ผมก็กราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยละกัน ตรงที่ผมไม่ได้ให้เครดิตเอาไว้เหมือนงานเขียนตัวอื่น

และขอขอบคุณนะครับที่ช่วยประนามไว้ ผมจะได้รู้ว่าวันหลังอย่าลืมเอาให้เครดิต โดยทิ้งลิงค์เอาไว้ด้วย

อันนี้ไม่ได้ป่วนนะครับ แต่รู้สึกจริงๆ

ปล. ตัวเอียงคือส่วนที่ยืมมาจากคุณ พล พะยาบ แต่จริงๆ แล้วในส่วนเรื่องย่อ ผมไม่ค่อยเห็นด้วยที่ว่าผมจะลอกมาจากคุณพล เพราะตรงส่วนนี้ค่ายหนังก็มีส่งให้กับพวกสื่อมวลชนอยู่แล้ว หรือสามารถหาแปลได้จากงานเขียนเมืองนอก แต่ถ้าคุณพลยืนยันว่าคุณพลเขียนเองล้วนๆ อันนี้ผมก็ไม่ขอเถียงละกัน เพราะยังไงซะ ผมก็ทำตัวเอียงเอาไว้ให้แล้ว (ส่วนหลังถือเป็นความเห็นส่วนตัว ปราศจากหลักฐานอ้างอิงนะครับ)

ขอบคุณ

ขออภัยที่โพสซ้ำ พอดีลืมส่วนท้ายไป
โดย: Chubbymature (chubbymature ) วันที่: 4 ธันวาคม 2551 เวลา:0:56:21 น.
  
ขอบคุณที่ตักเตือนครับ จะจำใส่กระโหลกไว้ให้จงดี ว่าวันหลังไม่ว่าจะยังไงควรให้เครดิตทิ้งไว้


^
^
อ่านที่ผมเขียนไว้ใน comment no.12 ย่อหน้าที่ 3 นะครับ

ผมว่าคุณเข้าข่ายนั้นแล้วล่ะ





โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 4 ธันวาคม 2551 เวลา:0:49:05 น.
โดย: Chubbymature (chubbymature ) วันที่: 4 ธันวาคม 2551 เวลา:1:01:35 น.
  

คุณยังคงไม่เข้าใจเรื่องการละเมิดงานคนอื่นอยู่ดี

ถึงคุณจะให้เครดิต แต่การกระทำโดยเอางานคนอื่นมาดัดแปลงยังไงก็ไม่ถูกต้องครับ

การให้เครดิตคือการยกมาอ้างถึง อ้างอิง

ไม่ใช่ว่าให้เครดิตแล้วจะเอามาทำอะไรก็ได้แบบที่คุณทำ

ส่วนเรื่องย่อตกลงว่าคุณลอกมาหรือเปล่าล่ะครับ

คุณพูดเหมือนเรื่องย่อไม่ว่าใครเขียนก็เหมือนกัน เพราะมาจากหนังเรื่องเดียวกัน

แถมยังจะมาให้ผมยืนยันงานเขียนตัวเองอีก!!!



โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 4 ธันวาคม 2551 เวลา:1:18:41 น.
  
ผมก็แค้สงสัยเท่านั้น ถ้าทำให้เข้าใจผิดผมก็ขออภัยละกัน
โดย: Chubbymature IP: 58.8.248.137 วันที่: 4 ธันวาคม 2551 เวลา:1:22:27 น.
  
แก้ไขให้แล้วนะครับ
โดย: chubbymature (chubbymature ) วันที่: 4 ธันวาคม 2551 เวลา:3:59:17 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Aloneagain.BlogGang.com

แค่เพียงรู้สึกสุขใจ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]