Man on the Train เพราะไม่อาจเป็นใครได้แท้จริง
Man on the Train
เพราะไม่อาจเป็นใครได้แท้จริง
- พล พะยาบ -คอลัมน์อาทิตย์เธียเตอร์ มติชนรายวัน 30 ตุลาคม 2548Man on the Train หรือ Lhomme du train หนังปี 2002 ของผู้กำกับฯ ปาทริซ เลอกงต์ เป็นหนังดรามาสุขุมนุ่มลึก เกี่ยวกับชาย 2 คนที่มีชีวิตแตกต่างกันสิ้นเชิง มาพบและรู้จักกันด้วยไมตรีจิต ต่างคนต่างอยากลอง มีชีวิต แบบอีกคนหนึ่ง
หนังเปิดเรื่องด้วยภาพรถไฟแล่นกึงกังเข้าจอดเทียบชานชาลา ชายวัยกลางคนใบหน้าเรียบเฉยเดินลงมาจากรถไฟ เขาคือ มิลาน(จอห์นนี่ ฮัลลิเดย์) โจรปล้นธนาคารซึ่งเดินทางมายังเมืองเล็กๆ ในชนบทอันเงียบสงบ เพื่อสมทบกับเพื่อนร่วมแก๊งเพื่อก่อการในช่วงสุดสัปดาห์
ระหว่างแวะซื้อยาแก้ปวดหัว ชายชราคนหนึ่งเข้ามาทักทายและชวนมิลานไปกินยาที่บ้าน เขาชื่อมาแนสกิเยร์(ฌอง โรชฟอร์) เป็นครูสอนวรรณคดีเกษียณอายุ ท่าทางงกๆ เงิ่นๆ คุยเก่ง ต่างจากมิลานซึ่งเงียบขรึม ไว้ท่าที
ตลอดสุดสัปดาห์นั้น มิลานจำเป็นต้องพักกับมาแนสกิเยร์เนื่องจากไม่มีโรงแรมเปิดให้บริการช่วงฤดูหนาว ระยะเวลาไม่กี่วันเพียงพอให้ทั้งสองรู้จักกันมากขึ้น
...ละสายตาจากชีวิตของตนเอง มองไปยังชีวิตที่แตกต่างของคนอื่น
มิลานเข้าไปสัมผัสชีวิตเรียบง่ายสงบเงียบของมาแนสกิเยร์ ส่วนมาแนสกิเยร์ก็พึงพอใจกับการได้ลองเลียนแบบชีวิตโลดโผนของมิลาน
โดยไม่ได้มองว่าชีวิตของคนหนึ่งซ้ำซาก น่าเบื่อ ขณะที่อีกคนช่างสุ่มเสี่ยงยิ่งนัก
มิตรภาพร่วมแบ่งปันเดินทางมาถึงวันสุดท้ายซึ่งทั้งสองมีภารกิจสำคัญที่ต้องสะสาง มิลานกับเพื่อนร่วมแก๊งทำตามแผนปล้นธนาคาร ส่วนมาแนสกิเยร์เข้ารับการผ่าตัดหัวใจ
โดยไม่รู้ว่าจะได้กลับมาใช้ชีวิตเช่นใดต่อไป....
จุดที่โดดเด่นของ Man on the Train คือบุคลิกของหนังที่ดูสุขุม เยือกเย็น เหมือนผู้ใหญ่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย ผสานกับภาพโทนน้ำตาลที่ดูสอดรับลงตัวกับตัวละครสูงวัยในโลกของมาแนสกิเยร์ ตรงข้ามกับภาพโทนน้ำเงินเย็นตา แต่น่าหวาดหวั่น แทนโลกของมิลาน
เรื่องราวดำเนินไปช้าๆ ไม่มีช่วงตอนกระตุ้นปลุกเร้าจนเกินพอดี แต่ชัดเจนต่อการช่วยให้เราเข้าใจตัวละครทั้งสองมากขึ้นเรื่อยๆ
บุคลิกอีกอย่างของหนังที่สัมผัสได้คือ บุคลิกแบบหนังคาวบอยที่เห็นกันบ่อยครั้ง เกี่ยวกับตัวละครเจนโลกผู้เปลี่ยวเหงาเดินทางมาถึงเมืองไกล ยื่นมือเข้าช่วยเหลือคนในเมือง ก่อนจะจากไปแม้มีคนเหนี่ยวรั้งไว้ก็ตาม โดยมีเสียงกีตาร์สไลด์สำเนียงแบบหนังตะวันตกคอยปูอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
รถไฟคือสัญลักษณ์สำคัญของหนัง แม้จะปรากฏเพียงฉากแรกและฉากสุดท้าย แต่รถไฟคือสัญลักษณ์ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับโลกสมัยใหม่ เป็นมายาคติที่มักจะถูกหยิบมาใช้เพื่อแสดงถึงการเดินทางข้ามไปยังโลกแปลกใหม่อยู่เสมอ อาทิ รถไฟสู่โลกพ่อมดในแฮร์รี่ พอตเตอร์ รถไฟวิเศษพาไปพบซานตาคลอสที่ขั้วโลกเหนือใน The Polar Express ฯลฯ
รถไฟใน Man on the Train ได้นำมิลานมาสู่โลกที่เขาไม่เคยรู้จักมักคุ้น เหมือนกับมาแนสกิเยร์ที่ต้องการโดยสารรถไฟไปจากเมืองที่เขาอยู่มาตลอดชีวิตในตอนจบของหนัง
ในส่วนของเนื้อหา บทหนังจับความแตกต่างระหว่างตัวละครทั้งสองมาเน้นผ่านวัตถุสิ่งของ ไม่ว่าจะเป็นปืน แจ๊คเก็ตหนัง ของมิลาน สัญลักษณ์นอกคอกที่มาแนสกิเยร์ลองฝึกยิง-สวมใส่ ขณะที่มิลานขอรองเท้าแตะจากมาแนสกิเยร์ โดยบอกว่าไม่เคยใส่มาก่อน ความนุ่มสบายของรองเท้าที่มิลานสัมผัสก็เปรียบเสมือนชีวิตเงียบสงบเรียบง่ายที่ไม่เคยอยู่ในสารบบชีวิตของมิลาน
นอกจากนี้ การที่หนังให้มาแนสกิเยร์เคยมีอาชีพเป็นครูสอนวรรณกรรม โปรดปรานบทกวี ภาพของของครูและลักษณะของศิลปะวรรณกรรมยิ่งเน้นความแตกต่างกับโจรปล้นแบงค์อย่างมิลานขึ้นไปอีก
การพยายามสวมบทบาทแทนอีกคน ทั้งฉากที่มาแนสกิเยร์รวบรวมความกล้าเข้าจัดการกับแขกที่ส่งเสียงดังในร้านอาหาร กับฉากที่มิลานวิเคราะห์วรรณคดีเรื่อง เออเฌนี กร็องเด้ต์ ของ ออนอเร่ เดอ บัลซัค ทั้งที่ไม่เคยอ่านให้แก่เด็กที่มาเรียนที่บ้าน จึงดูอิหลั่กอิเหลื่อ ไม่ลงตัว แต่ก็เห็นชัดว่าพวกเขา ปรารถนา ในบทบาทนั้นๆ
ร้านขายยาสำหรับมิลานในตอนต้นเรื่อง กับโรงพยาบาลสำหรับมาแนสกิเยร์ในตอนท้าย จึงล้วนมีนัยยะเพื่อ เยียวยา ทั้งสองคน
เยียวยาด้วยการเติมสีสันใหม่-บทบาทไม่คุ้นเคยให้แก่ชีวิต..ให้แก่ซากร่างที่ตนเองอาศัยอยู่แม้เพียงชั่วครู่คราว
เพราะรู้ทั้งรู้ว่าไม่อาจเป็น ใคร ได้แท้จริง
แล้วก็ทำให้นึกไปถึงหนังของ czech เรื่อง Autumn Spring ที่มีตัวละครเป้น 2 ผู้สูงอายุเหมือนกัน (แต่เนื้อหาไม่เหมือนอ่ะ แหะ แหะ )