And When Did You Last See Your Father? ภาพของพ่อ
And When Did You Last See Your Father?
ภาพของพ่อ
พล พะยาบ
ความทรงจำเกี่ยวกับ พ่อ เริ่มต้นย้อนทวนหวนคืนพร้อมวันเวลาที่เริ่มนับถอยหลัง...
ลอนดอน ปี 1989 เบลค นักเขียนหนุ่มใหญ่ได้รับรางวัลแห่งความภาคภูมิใจ โดยมีพ่อและแม่เดินทางจากบ้านในชนบทมาร่วมงานด้วย ถึงอย่างนั้น เบลครู้ว่าอาร์เธอร์ผู้เป็นพ่อไม่ยินดียินร้ายกับความสำเร็จของเขา ซ้ำยังเอาแต่ย้ำเรื่องรายได้อันน้อยนิดของนักเขียนซึ่งแตกต่างกับรายได้ของหมอ-อาชีพของพ่อที่อยากให้ลูกชายเป็นเหมือนตนเองมาโดยตลอด
ช่วงเวลาดีๆ ของเบลคในครั้งนี้สิ้นสุดลงเมื่อพ่อล้มป่วยด้วยโรคมะเร็ง หมอบอกว่าพ่อคงเหลือเวลาอีกไม่มากนัก
3 สัปดาห์ต่อมา เบลคเดินทางมายังบ้านในชนบทเพื่อช่วยแม่และน้องสาวดูแลพ่อ การกลับบ้านและได้ใกล้ชิดกับพ่อเหมือนการเปิดกล่องความทรงจำขึ้นมาอีกครั้ง คือความทรงจำจากอดีตระหว่างเขากับพ่อตั้งแต่บทแรกๆ เมื่อตอนอายุไม่กี่ขวบกระทั่งเป็นวัยรุ่น อดีตที่มีทั้งด้านดีๆ สำหรับเด็กซึ่งมักมองพ่อด้วยสายตาชื่นชม และด้านลบจากบุคลิกนิสัยของพ่อที่ทำให้เขาเบื่อหน่าย หงุดหงิด อับอาย จนถึงขั้นชิงชัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อดีตที่เบลคค้างคาสงสัยเสมอมาว่าเขา น้องสาว และแม่ ไม่ใช่ครอบครัวเพียงครอบครัวเดียวของพ่อ
And When Did You Last See Your Father? เป็นหนังสัญชาติอังกฤษ-ไอร์แลนด์ ผลงานกำกับของ เอนานด์ ทัคเกอร์ ซึ่งเคยทำหนังลงลึกจิตใจตัวละครเรื่อง Hilary and Jackie (1998) เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพี่-น้องได้อย่างยอดเยี่ยม คราวนี้ทัคเกอร์ยังคงบอกเล่าเรื่องราวภายในครอบครัว แต่เปลี่ยนเป็นคู่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกชาย
หนังดัดแปลงจากเรื่องจริงจากหนังสืออัตชีวประวัติชื่อเดียวกับหนังของ เบลค มอร์ริสัน กวี-นักเขียนชาวอังกฤษ ตีพิมพ์เมื่อปี 1993 หรือ 4 ปี หลังจากพ่อของเบลคเสียชีวิต ผู้รับบทเป็นเบลคในวัยผู้ใหญ่และขณะเป็นวัยรุ่นในฉากย้อนอดีตคือ โคลิน เฟิร์ธ และแมทธิว เบียร์ด ตามลำดับ ส่วนบทพ่อแสดงได้อย่างไร้ที่ติโดย จิม บรอดเบนต์
ว่าไปแล้ว พล็อตหนังเกี่ยวกับการย้อนทวนทำความรู้จัก-เข้าใจผู้เป็นพ่อในบั้นปลายหรือช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมีให้เห็นบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็น Magnolia (1999) Garden State (2004) A Love Song for Bobby Long (2004) ส่วนหนังที่มีลำดับโครงเรื่องใกล้เคียงกับเรื่องราวข้างต้นที่สุดคือ Big Fish (2003) ของ ทิม เบอร์ตัน ในแนวแฟนตาซี
สำหรับ And When Did You Last See Your Father? เป็นหนังดราม่าเข้มข้นที่มุ่งเน้นความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ-ลูกเพียงประเด็นเดียว หนังจึงใช้เวลากับพัฒนาการหรือรายละเอียดของตัวละครได้อย่างเต็มที่ ทั้งด้านบุคลิกและอารมณ์ความรู้สึกจนผู้ชมเข้าถึงและรู้สึกได้ว่านี่คือเรื่องราวที่ไม่ไกลเกินกว่าการทำความเข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อหลายสิ่งหลายอย่างในหนังต่างเป็นเรื่องจริงที่เกิดกับใครอีกหลายคน
ตัวละครเบลคคือตัวแทนของเด็กผู้ชายส่วนใหญ่ซึ่งเมื่อคราวยังเป็นเด็กเล็กมักจะมองพ่อด้วยสายตาชื่นชมไปเสียทั้งหมด พ่อคือฮีโร่ คือคนพิเศษที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน แต่เมื่อโตเป็นวัยรุ่นที่รู้จักโลกมากขึ้น ขบถแห่งวัยเริ่มออกฤทธิ์เดช พร้อมกับช่องว่างระหว่างวัยเริ่มฉายชัด ภาพของพ่อในสายตาก็อาจเปลี่ยนแปลงไปจากตำแหน่งความเข้าใจเดิมๆ
เราเริ่มตั้งคำถาม สงสัย คัดค้าน หรืออาจถึงขั้นต่อต้านผู้เป็นพ่อ ถึงจุดนี้ปัจจัยมากมายทั้งบุคลิกนิสัยของทั้งสองคนรวมถึงเรื่องราวในครอบครัว จะกำหนดทิศทางความสัมพันธ์ตลอดช่วงเวลาที่เหลือ
กรณีของเบลค...ปัจจัยต่างๆ ล้วนลากจูงไปสู่ทิศทางอันย่ำแย่
เบลคเป็นวัยรุ่นชอบเก็บตัวอยู่ตามลำพังในห้องนอน โปรดปรานการอ่านหนังสือวรรณกรรมโดยมองว่าไม่มีอะไรน่าสนใจไปกว่าการอ่านหนังสือ (เล่มหนึ่งที่เบลคอ่านคือ The Brothers Karamazov หรือพี่น้องคารามาซอฟ ของ ฟิโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี้ ซึ่งเบลคพูดประชดพ่อที่มากวนใจเขาว่า เขากำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับลูกฆ่าพ่อ) ส่วนพ่อชอบทำกิจกรรม ไม่เคยอยู่นิ่งเฉย จึงมักจะชวนลูกชายคนเดียวไปไหนต่อไหนทั้งที่เบลคไม่เต็มใจ ไม่ว่าจะเป็นการออกไปกางเต็นท์พักแรมในชนบทห่างไกล หรือออกงานสังสรรค์ต่างๆ
เบลคเป็นหนุ่มขี้อาย ยังไม่เคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้หญิง ส่วนพ่อมีมนุษยสัมพันธ์ดีกับคนทั่วไปโดยเฉพาะกับสาวๆ บ่อยครั้งคนที่เบลครู้สึกชอบพอเมื่อแรกพบถูกพ่อชิงความสนใจไปด้วยการพูดคุยอย่างเป็นกันเอง หรือแม้แต่การหยอกเย้าลูกชายต่อหน้าคนอื่นซึ่งเบลคมองว่าพ่อตั้งใจทำให้เขาเสียหน้า กระทั่งเบลคคิดว่าพ่อ แย่ง ผู้หญิงของเขา ทั้งแม่บ้านสาวชาวสก๊อต และหญิงสาวหน้าหวานที่พบในงานเลี้ยง
แม้แต่เวลาส่วนตัวที่เบลคเพลิดเพลินอยู่กับ จินตนาการ ของตัวเองก็มักถูกพ่อเข้ามาขัดจังหวะ จนเบลคให้ฉายาพ่อว่า ตำรวจตรวจเซ็กซ์
อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติตัวของพ่อต่อผู้หญิงที่ทำให้เบลคขุ่นเคืองมากที่สุดจนเป็นปมขัดแย้งคาใจมาโดยตลอด คือพ่ออาจมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับป้าบีตตี้โดยมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ซึ่งนั่นหมายถึงพ่อได้ทำร้ายความรู้สึกของแม่-ผู้หญิงที่เบลครักมากที่สุด
ถึงตรงนี้คงพอมองเห็น ปมเอดิปุส ที่ขวางกั้นบดบังดวงตาของเบลคจนไม่อาจ มองเห็น พ่อได้อย่างเคย
ยังมีรายละเอียดอื่นๆ อีกที่ประกอบกันเป็นความแตกต่างไม่ลงตัวจนทำให้เบลครู้สึกว่าเขากับพ่อเข้ากันไม่ได้ แต่ฟางเส้นสุดท้ายคือการที่เขาได้โอกาสหันหลังให้พ่อเพื่อไปเรียนต่อ ก่อนจะตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตเป็นนักเขียนแทนที่จะเป็นสัตวแพทย์อย่างที่พ่อหวัง
นัยหนึ่งคือการทำตามความต้องการส่วนลึกของตนเอง แต่ใช่หรือไม่ว่านี่คือการประกาศตนเป็นเอกราชจากพ่ออย่างสิ้นเชิง โดยหลังจากนั้นเบลคไม่ได้กลับมาอยู่บ้านอีกเลย
การล้มป่วยของพ่อจนเบลคต้องหวนคืนสู่สถานที่อันมากมายด้วยความทรงจำ ใช่เพียงการได้อยู่กับพ่อหรือให้พ่อได้พบหน้าเป็นครั้งสุดท้าย แต่เบลคเองก็ได้ทบทวนทำความเข้าใจเรื่องราวในอดีตซึ่งเขาหันหลังให้มาเนิ่นนาน
ได้กลับไปมอง ไปเผชิญหน้า ขัดเช็ดความขุ่นมัวในดวงตาและดวงใจ...
ชื่อหนังว่า And When Did You Last See Your Father? จึงไม่ได้เป็นคำถามถึงการพบหน้าพ่อครั้งสุดท้ายเท่านั้น แต่มีความหมายว่านานเท่าใดแล้วที่เราไม่ได้มองเห็นพ่ออย่างเต็มตาเต็มใจ อย่างลูกที่รู้จัก-เข้าใจพ่ออย่างแท้จริง
ทั้งที่จริงๆ แล้ว...พ่ออยู่ตรงหน้าเราตลอดเวลา
รายละเอียดต่างๆตรงกับชีวิตผมอย่างน่าตกใจครับ เป็นมะเร็ง เกลียดพ่อแล้วมาเข้าใจในภายหลัง มีบ้านเล็กพร้อมลูกสาว ตายจากไป...
ตอนนี้สองจิตสองใจครับว่าจะไปหามาดูดีหรือเปล่า? T_T