The Piano Teacher เสียงเพลงผิดคีย์ของครูเปียโน
The Piano Teacher
เสียงเพลงผิดคีย์ของครูเปียโน
ดูหนังในหนังสือ, Starpics Movie Edition ฉบับที่ 595 พฤศจิกายน 2545
ภาพใบปิดที่มีชาย-หญิงแต่งชุดดำนั่งคุกเข่ากอดจูบแนบชิด ในสถานที่ที่ดูแล้วน่าจะใช่ห้องน้ำ มีตัวหนังสือซึ่งเป็นชื่อหนังแปลง่ายๆ ได้ว่า ครูเปียโน ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นหนังเกี่ยวกับการสอน นอกหลักสูตร ระหว่างครูกับลูกศิษย์ ซึ่งนอกจากต้องหลบๆ ซ่อนๆ จากสายตาผู้อื่นแล้ว ยังเป็นการปะทะขัดแย้งกันระหว่างจริยธรรมและแรงปรารถนา...อันเป็นพื้นฐานของหนังที่ว่าด้วยเรื่องทำนองนี้
ส่วนสิ่งที่อยู่ระหว่างจริยธรรมและแรงปรารถนานั้น จะเป็นความรัก ความใคร่ ความเหงา หรือความแค้น ก็แล้วแต่หนังแต่ละเรื่องจะกำหนดทิศทางไว้อย่างไร แต่สำหรับ The Piano Teacher (La Pianiste) หนังพูดฝรั่งเศสปี 2001 ของผู้กำกับ ไมเคิล ฮาเนเก้ คงไม่อาจระบุแรงขับเคลื่อนได้แน่ชัด นอกจากอ้างถึง สภาพจิต บิดเบี้ยวผิดปกติของตัวละคร และคงต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิเคราะห์มากกว่าคนดูหนังทั่วไปในการแจกแจงเจาะจงลงไปได้
พ้นจากเรื่องสภาพทางอารมณ์และจิตใจแล้ว The Piano Teacher ยังมีประเด็นเรื่องวัฒนธรรมชนชั้นและการแสดงอำนาจมาเกี่ยวข้อง ทำให้หนังเรื่องนี้ดูซับซ้อนเข้าใจยากมากยิ่งขึ้น
The Piano Teacher เล่าเรื่อง เอริก้า (อิซาเบลล์ อูแปรต์) สาวใหญ่ผู้มีอาชีพเป็นครูสอนเปียโนในสถาบันดนตรีชั้นนำของเวียนนา เธออาศัยอยู่กับแม่จอมเจ้ากี้เจ้าการ (แอนนี่ จิราร์โดต์) ที่ชอบบ่นว่าเรื่องความประพฤติของลูกสาว เช่นการกลับบ้านผิดเวลา การใช้เงินสิ้นเปลือง เอริก้าจึงมักทะเลาะกับแม่อย่างรุนแรง แต่ลงท้ายทั้งสองก็ปลอบใจกัน และนอนร่วมเตียงกันทุกคืน
เอริก้าเป็นครูผู้เข้มงวด ไม่เคยมีรอยยิ้มปรากฏระหว่างที่เธอสอนเปียโนลูกศิษย์ เธอมักจะดุว่า พร่ำพูดถึงทฤษฎี และการตีความของบทเพลงราวกับเป็นบทพูดที่ตายตัว หลังเลิกงานเอริก้าชอบแวะตามร้านขายหนัง-หนังสือโป๊ สูดดมร่องรอยน้ำกามในห้องลับเฉพาะ แวะโรงหนังไดร์ฟ-อิน แอบดูหญิง-ชายบรรเลงเพลงรักใคร่กันในรถ หรือใช้มีดโกนเฉือนอวัยวะเพศตนเองในห้องน้ำ
กระทั่งเอริก้าได้พบทางออกแห่งพฤติกรรมแสนโลดโผนของตนเอง เมื่อได้รู้จัก วอลเตอร์ (เบนัวต์ มาชีเมล) หนุ่มหล่อฐานะดีมีพรสวรรค์ในการเล่นเปียโนซึ่งหลงใหลได้ปลื้มเอริก้าอย่างมาก วอลเตอร์ตามตื๊อเธอ ทดสอบความสามารถด้านเปียโนจนได้เข้าเรียนกับเธอ แม้ว่าตอนแรกเอริก้าจะมีท่าทีไม่สนใจ พยายามกันเด็กหนุ่มออกไปจากชีวิต แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เธอต้องการแสดงความเป็นเจ้าของ เอริก้าก็กลั่นแกล้งทำร้ายได้อย่างเลือดเย็นแม้ลูกศิษย์ของเธอเอง ตามด้วยการเปิดรับวอลเตอร์พร้อมเงื่อนไขสารพัดซึ่งล้วนแล้วแต่แสดงถึงความวิปริตรุนแรงทางกามารมณ์
วอลเตอร์รับไม่ได้กับเงื่อนไขเหล่านั้น เมื่อเขาทำท่าจะไปจากเธอ เอริก้ากลับตามไปขอร้องอ้อนวอน โดยยอมทำทุกอย่างที่วอลเตอร์ต้องการ และกลายเป็นว่าเธอต้องเจอกับความรุนแรงไม่คาดคิด โดยที่เธอไม่ได้เป็นฝ่ายควบคุม
ไม่น่าแปลกใจหากผู้ชมทั่วไปจะไม่อาจเข้าใจชัดเจนนักกับการกระทำของตัวละครในหนังเรื่องนี้ที่เต็มไปด้วยความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด หนังเปิดเรื่องด้วยการทะเลาะเบาะแว้งถึงขั้นทำร้ายร่างกายกันระหว่างแม่-ลูก ไม่กี่วินาทีต่อมาทั้งสองร้องไห้เสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น หรือในครึ่งชั่วโมงสุดท้ายที่เอริก้าและวอลเตอร์ผลัดกันแสดงพฤติกรรมราวกับคนเสียสติ กระทั่งทิ้งท้ายความสงสัยที่ไร้คำอธิบายไว้ให้แก่ผู้ชม
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าแรงขับเคลื่อนตัวละครใน The Piano Teacher นั้น เกี่ยวกับสภาพจิตใจที่ผิดปกติ ดังนั้น การจะทำความเข้าใจหนังเรื่องนี้โดยยกเอาเรื่องจิตวิเคราะห์เป็นตัวตั้ง สำหรับผู้เขียนและเชื่อว่าผู้ชมทั่วไปคงไม่ใช่แนวทางที่ดีนัก ขณะที่ตัวหนังเองที่ดัดแปลงจากนิยายของ เอลฟรีเด เยลิเนค นักเขียนชาวออสเตรีย ยังมีบางเรื่องบางประเด็นที่ชวนให้คิดทำความเข้าใจอยู่พอสมควร
หนังแสดงให้ทราบจากบทสนทนาระหว่างแม่-ลูกตั้งแต่ต้นเรื่องว่าเอริก้ามาจากครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวย ถึงขนาดที่ผู้เป็นแม่ต้องคอยควบคุมการใช้จ่ายของลูก สิ่งเดียวที่ทำให้แม่ภาคภูมิใจและทำให้เธอมีโอกาสได้เข้าสังคมชั้นสูง คือความสามารถด้านเปียโนอันยอดเยี่ยมของเอริก้า เป็นความสามารถด้านเพลงคลาสสิกซึ่งจัดว่าเป็นรสนิยมของชนชั้นผู้มีอันจะกิน
ส่วนตัวเอริก้าเองก็มีบุคลิกหยิ่งยโสไร้รอยยิ้มประดับบนใบหน้าที่เชิดสูงอยู่ตลอด แม้ในขณะที่เธออยู่ในหมู่ผู้ชายในร้านขายหนังโป๊ เธอยังสามารถเชิดหน้าด้วยความมั่นใจโดยไม่แคร์สายตาใคร ในฉากนี้หนังได้ใส่เสียงเพลงต่อเนื่องจากฉากก่อนหน้าที่เอริก้าบรรเลงเปียโนร่วมกับนักดนตรีอีก 2 คน ต่อเนื่องมาระหว่างที่เธอเดินทางจนถึงร้านดังกล่าว ราวกับว่าเธอได้พกพาเอาความสูงส่งของดนตรีคลาสสิกไว้กับตัวตลอดเวลา
เอริก้าไม่ใช่คุณครูผู้ใจดี ตรงกันข้าม เธอมักจะพูดจาประชดแดกดันเมื่อลูกศิษย์เล่นไม่ได้ดังใจ เช่นครั้งหนึ่งเธอประชดลูกศิษย์ที่เล่นเปียโนไม่ลึกซึ้งถึงตัวเพลงว่า เล่นโน้ตผิดพลาดในเพลงของเบโธเฟน ยังฟังเพราะกว่าการตีความไม่ได้เรื่อง ไม่ใช่ด้วยฐานะครูที่ สูงกว่า เท่านั้น แต่เอริก้าได้ปฏิบัติตัวให้ เหนือกว่า อย่างจงใจ เหมือนกับการวางอำนาจ และแน่นอนว่าไม่มีลูกศิษย์คนไหนกล้าโต้แย้งหรือแสดงความไม่พอใจ นอกจากก้มหน้าก้มตาเล่นเปียโนต่อไป
ดังนั้น ฉากเปิดตัวของวอลเตอร์ที่ถูกเอริก้าปิดประตูลิฟต์ใส่ แต่เขากลับไม่สะทกสะท้าน วิ่งขึ้นบันไดได้ทันถึงที่หมายพร้อมกับเธอที่ใช้ลิฟต์ จึงเปรียบเหมือนการเทียบชั้นท้าทายอำนาจของเอริก้า จนสร้างความไม่พอใจให้เธอ และตั้งป้อมตอบโต้วอลเตอร์ด้วยการแสดงความเหนือกว่าข่มเขาหลายต่อหลายครั้ง
หลังจากไม่แยแสและต่อต้านวอลเตอร์ในช่วงแรก ทันทีที่เอริก้าเห็นว่าวอลเตอร์ไปใกล้ชิดกับลูกศิษย์สาวคนหนึ่งของเธอ เอริก้าจึงเปลี่ยนวิธีการเพื่อให้ตนเองยังเป็นฝ่ายที่อยู่เหนือกว่าวอลเตอร์ต่อไปด้วยการเปิด เกมรัก ซึ่งเธอเป็นผู้กระทำฝ่ายเดียว โดยยื่นคำขาดห้ามวอลเตอร์ร่วมเล่นได้ตามใจ มิฉะนั้นเธอจะยุติเรื่องทั้งหมด
เอริก้าร่างกฎอันวิปริตรุนแรงให้วอลเตอร์กระทำตาม แม้กฎดังกล่าวจะเป็นไปในรูปแบบมาโซคิสม์ คือให้เธอเป็นผู้ถูกกระทำ แต่นั่นก็เพียงเปลือกนอกเท่านั้น เพราะเอริก้ายังถือเป็นผู้กำหนดความเป็นไปด้วยกฎของเธออยู่นั่นเอง
มาถึงจุดนี้ เอริก้ากำลังจะกลายเป็นผู้อยู่เหนือกว่าโดยเบ็ดเสร็จ ถ้าวอลเตอร์ไม่เกิดขยะแขยงในความวิปริตของเอริก้าและผละหนีไป พร้อมกับตุ้มแห่งอำนาจที่ถูกเหวี่ยงไปอยู่กับวอลเตอร์ทันที การตามไปอ้อนวอนขอร้องวอลเตอร์ทั้งที่เขาไม่ไยดี ลงท้ายด้วยภาพเอริก้าเปิดประตูเดินโซซัดโซเซออกไปบนลานน้ำแข็งกว้าง ทำให้มาดสตรีผู้เย่อหยิ่งของเธอต้องสูญสลายลงโดยสิ้นเชิง
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อวอลเตอร์มาหาเอริก้าที่บ้านและลงมือกระทำการรุนแรงบางอย่างทั้งที่เอริก้าไม่ได้รับความสุขจากการกระทำนี้เหมือนที่เธอเคยต้องการ เท่ากับว่าวอลเตอร์ได้แสดงบทบาทเป็นผู้กุมอำนาจเหนือกว่า และกำหนดความรุนแรงใน เกมรัก เสียเอง
ผู้หญิงที่ต้องใช้ปัจจัยภายนอกฉาบหน้าเพื่อแสดงอำนาจอย่างเอริก้า อำนาจนั้นจึงไม่ใช่อำนาจที่คงทนถาวรและมีกำลังมากพอ และเมื่อใช้อำนาจในทางที่รุนแรงเพื่อความพอใจส่วนตัวก็จะถูกมองเป็นความผิดเพี้ยนไม่ปกติ ขณะที่วอลเตอร์คือผู้ชายที่พร้อมจะแสดงอำนาจได้ทุกเมื่อแม้ในด้านที่รุนแรง โดยไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิดแปลกแต่อย่างใด
ฉากเล็กๆ ฉากหนึ่งที่วอลเตอร์และเพื่อนๆ กรูกันลงไปบนลานน้ำแข็งเพื่อเล่นกีฬาแห่งความรุนแรงอย่างฮ็อคกี้ ทั้งที่มีกลุ่มผู้หญิงกำลังฝึกซ้อมสเก็ต วอลเตอร์เพียงแค่ใช้รอยยิ้มก็ทำให้สาวๆ ยอมเลิกเล่น แสดงถึงประเด็น อำนาจและความรุนแรงเป็นสิทธิของผู้ชาย ได้อย่างดี
ฉากสุดท้ายที่เอริก้ามองวอลเตอร์เดินลับหายไปในห้องแสดงดนตรีด้วยแววตาเจ็บแค้นพร้อมกับทำร้ายตนเองไปด้วย จึงเป็นผลลัพธ์ที่น่าเจ็บปวดยิ่งนักสำหรับผู้หญิงเช่นเธอ หนังทิ้งท้ายเป็นภาพเอริก้าเปิดประตูเดินออกไปจากสถานที่นั้นทั้งที่เธอมีกำหนดการแสดงดนตรี ราวกับว่าเอริก้าหันหลังให้กับสิ่งที่เธอใช้เสริมตัวตนทั้งฐานะและอำนาจให้สูงส่งเกินกว่าความเป็นจริงมาตลอดชีวิต
สังเกตว่ามีสองเหตุการณ์การกระทำที่คล้ายกันของเอริก้าที่กล่าวถึงไว้แล้วและควรหยิบมาพูดถึงอีกครั้ง นั่นคือการที่เธอเปิดประตูเดินออกจากสถานที่หนึ่ง ครั้งแรกคือเมื่อไปอ้อนวอนวอลเตอร์ และเปิดประตูเดินโซซัดโซเซออกไปบนลานน้ำแข็ง กับฉากจบเป็นการเปิดประตูเดินออกจากโรงละคร
และเมื่อนึกทบทวนดูจะเห็นว่าตัวละครสำคัญทั้งสองคือเอริก้าและวอลเตอร์ต่างมีการเปิดประตู เข้า-ออก ให้เห็นตลอดทั้งเรื่อง เริ่มตั้งแต่ฉากแรกเอริก้าเปิดประตู เข้า บ้าน (ขณะที่ฉากสุดท้ายเธอเปิดประตู ออก) เปิดประตูเข้าห้องลับฉายหนังโป๊ เปิดประตูสถาบันดนตรีที่เธอสอนเพื่อแอบมองวอลเตอร์ ก่อนจะกลับเข้าไปข้างใน
เห็นได้ว่า ประตู เป็นสิ่งกั้นระหว่างพื้นที่แห่งตัวตน (บ้าน, สถาบันดนตรี, ห้องลับ, โรงละคร) กับสังคมภายนอก เป็นพื้นที่แห่งตัวตนที่เอริก้าสามารถเปิดเผยและปลดเปลื้องความต้องการเบื้องลึก (การยกฐานะ, ความต้องการทางเพศ, อำนาจ) ได้เต็มที่ ซึ่งเธอพร้อมจะป้องกันไม่ให้คนนอกได้เข้ามารบกวนหากเธอไม่ต้องการ
ส่วนการเปิดประตูของวอลเตอร์นั้นต่างออกไป แม้ว่าครั้งแรกการพยายามเปิดประตูลิฟต์ที่มีเอริก้าอยู่ข้างในจะไม่สำเร็จ แต่หลังจากนั้น วอลเตอร์ได้ บุกรุก พื้นที่ส่วนตัวของเอริก้าตลอดเวลา ทั้งการเปิดประตูห้องสอนเปียโนของเอริก้าโดยไม่ได้รับอนุญาต เปิดประตูห้องน้ำที่เอริก้าเก็บตัวอยู่ เปิดประตูเข้าอพาร์ตเมนต์และห้องพักเอริก้า รวมไปถึงครั้งสุดท้ายที่เขาบุกไปตอนกลางคืน บังคับให้เอริก้าเปิดประตูห้องก่อนจะทำร้ายเธอ ซึ่งวอลเตอร์ไม่เคยรู้สึกผิดต่อการกระทำเหล่านี้เลย ยิ่งกว่านั้น เอริก้ายังต้องเป็นฝ่ายผละไปเสียด้วยซ้ำ ดังเช่นเมื่อเธอบุกไปหาวอลเตอร์ที่สนามฮ็อคกี้ และอีกครั้งในฉากสุดท้าย
การแสดงพื้นที่ส่วนตัวและการเข้า-ออกพื้นที่ดังกล่าวของแต่ละตัวละคร จึงเป็นส่วนหนึ่งของหนังในการกล่าวถึงประเด็นเรื่องสิทธิการแสดงออกและอำนาจของชาย-หญิงซึ่งแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ทั้งหมดนี้ทำให้ The Piano Teacher จัดเป็นหนังในแนว เฟมินิสม์ หรือการสะท้อนความเหลื่อมล้ำด้านสิทธิความเป็นผู้หญิงที่เข้มข้นเรื่องหนึ่ง ด้วยการหยิบยกเรื่องราวมาเปรียบเทียบกล่าวถึงในแง่มุมที่ต่างไปจากหนังแนวนี้เรื่องอื่นๆ อีกทั้งได้การแสดงอันยอดเยี่ยมของนักแสดงนำทุกคน โดยเฉพาะอูแปรต์ในบทเอริก้าที่ทำให้เธอคว้ารางวัลที่เมืองคานส์
กระนั้น ด้วยพฤติกรรมของตัวละครอันชวนให้สับสนสงสัย ไปจนถึงกระอักกระอ่วนชวนหดหู่ ทำให้ The Piano Teacher ห่างไกลจากความเป็นหนังสำหรับชมเพื่อความบันเทิงเริงใจ แต่เป็นเหมือนอาหารรสเฝื่อนเคี้ยวยากที่กินอิ่มท้องแบบทรมาน