The Scarlet Letter หนังเรื่องสุดท้ายของลี อุน จู

The Scarlet Letter
หนังเรื่องสุดท้ายของลี อุน จู
พล พะยาบ
คอลัมน์อาทิตย์เธียเตอร์ มติชนรายวัน 17 เมษายน 2548
เมื่อคราวทราบข่าวการจบชีวิตตนเองของ ลี อุน จู ดาราสาวชาวเกาหลี บอกตามตรงว่าผู้เขียนไม่ทราบว่าเธอเป็นใคร เพราะนอกจากยัยตัวร้าย ฉ่อน จี ฮยอน กับซอน เย จิน นางเอกหน้าหวานจาก The Classic แล้ว ไม่มีใครโดดเด่นพอให้ผู้เขียนพยายามจำชื่อเรียกยากแต่คล้ายๆ กันไปหมดของนักแสดงสาวจากแดนโสมได้อีก
มารู้ภายหลังว่า หนึ่งในหนังที่เธอแสดงคือ Lover's Concerto ที่มีซอน เย จิน แสดงด้วย จึงนึกได้ว่าเรื่องนี้เธอเล่นได้น่าประทับใจกว่าซอน เย จิน เสียอีก และนั่นคือโอกาสเดียวที่ผู้เขียนได้พบเห็นทำความรู้จัก ก่อนที่เธอจะจากโลกนี้ไป
...และก่อนที่ถ้อยคำในจดหมายลา ว่า เพราะเงิน...โลกจึงโหดร้ายกับฉัน...ฉันเกลียดเงิน จะพาให้เข้าใจความคิดจิตใจเธอยิ่งขึ้น
แทบจะทันทีที่เธอเสียชีวิต สื่อได้หาเรื่องขายข่าวว่าเธออาจเครียดหนักจนตัดสินใจเช่นนั้นเพราะอับอายที่ต้องแสดงฉากหวือหวาในหนังเรื่องล่าสุดชื่อว่า The Scarlet Letter
อันที่จริง หนังเรื่องดังกล่าวแม้จะมีฉากรักร้อนแรงอยู่พอสมควร อีกทั้งอุน จู ก็ยอมเปลือย(แต่ไม่โป๊) เข้าฉากไม่ต่ำกว่า 4-5 ครั้ง แต่ฉากเหล่านั้นใช่ว่าจะสื่อไปในทางยั่วยุ เพราะนอกจากจะผ่านการวางแผนถ่ายทำอย่างรัดกุมและการตัดต่อด้วยความประณีตงดงามแล้ว ประเด็นสำคัญคือฉากรักแต่ละฉากต่างมีเหตุมีผล มีจุดมุ่งหมายต่อเรื่องราว
กระทั่งมองเห็นความทุ่มเทของนักแสดงสาว มากกว่าจะเห็นเป็นเรื่องเปลืองตัวน่าอับอาย
หนังเล่าเรื่องราวของ 4 ตัวละคร ชายหนึ่ง หญิงสาม ซึ่งเกี่ยวพันกันด้วยความรัก ราคะ และความผิดบาป คีฮุน นายตำรวจหนุ่มผู้มีชีวิตเพียบพร้อม ทั้งหน้าที่การงาน และภรรยาผู้อ่อนหวานชื่อ ซูฮุน ซึ่งกำลังตั้งท้อง แอบมีความสัมพันธ์กับ คาเฮ(ลี อุน จู) นักร้องสาวที่เป็นเพื่อนสนิทกับซูฮุน เรื่องราวดูเหมือนจะตึงเครียดมากขึ้นเมื่อคาเฮตั้งท้องด้วยเช่นกัน ขณะที่ซูฮุนเริ่มระแคะระคายความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง ส่วนคีฮุนก็รู้ว่าภรรยาปิดบังว่าเคยแท้งลูก
คดีที่คีฮุนกำลังทำอยู่คือการฆาตกรรมโหดหนุ่มใหญ่ โดยมีผู้ต้องสงสัยคือ คุงฮี ภรรยาสาวสวยของผู้ตาย กับชายผู้มีครอบครัวแล้วที่มาติดพัน ยิ่งสืบลึกไปเท่าไร คีฮุนก็ยิ่งได้รับรู้ว่าเหตุฆาตกรรมต้องมีตัณหาราคะหรือไม่ก็ความรักเป็นแรงจูงใจ
และเมื่อเป็นเรื่องของตัณหากับความรักด้วยแล้ว อะไรๆ ก็อาจยากและซับซ้อนกว่าที่คิด เช่นเดียวกันกับชีวิตส่วนตัวของเขาเอง

หนังอิงคริสต์ศาสนาอย่างชัดเจน ตั้งแต่การเปิดเรื่องด้วยข้อความที่เหมือนเรื่องราวในพระคัมภีร์เก่า บทปฐมกาล เกี่ยวกับอีฟ มนุษย์เพศหญิงคนแรกนำผลไม้ต้องห้ามให้อาดัมกิน เหตุการณ์ต่อจากนั้นเป็นที่รู้กันว่าทั้งสองถูกพระเจ้าลงโทษด้วยการขับออกจากสวนสวรรค์ มนุษย์เพศหญิงถูกสาปแช่งให้ต้องทรมานตอนคลอดลูก ซึ่งหมายถึงบาปที่ติดตัวมานั่นเอง
ส่วนชื่อภาษาอังกฤษ The Scarlet Letter ก็เป็นชื่อเดียวกันกับนิยายคลาสสิคศตวรรษที่ 19 ของนาธาเนียล ฮอว์ทอร์น เกี่ยวกับเฮสเตอร์ ไพรน์นี หญิงในชุมชมพิวริทันยุคบุกเบิก ผู้สูญเสียสามี แอบมีความสัมพันธ์กับนักบวชจนมีลูกคนหนึ่ง เธอจึงถูกบังคับให้สวมผ้าปักตัวอักษร A ซึ่งหมายถึงคนผิดประเวณี เป็นเครื่องประจานความผิดบาป เรื่องในนิยายนี้เชื่อมโยงได้กับเรื่องราวของเคนกับอาเบล ลูกของอาดัมและอีฟ ที่เคนสังหารน้องชายด้วยความริษยา เขาถูกพระเจ้าลงโทษให้ต้องคอยหลบหน้าผู้คนโดยมีเครื่องหมายติดไว้บนหน้าผาก
แม้ว่าหนังไม่ได้มีเรื่องราวคล้ายคลึงใกล้เคียงกับเรื่องของอาดัม-อีฟ, เฮสเตอร์ รวมทั้งเคน-อาเบล แต่สาระที่เหมือนกันคือเรื่องราวอันเกี่ยวพันกับความรัก ตัณหาราคะ รวมถึงความผิดบาปและการลงทัณฑ์
ที่เห็นชัดเจนคือตัวละครหญิง 3 คน ล้วนแต่(เคย)ตั้งครรภ์ทั้งสิ้น หากการตั้งครรภ์หมายถึงการเกิดใหม่ ขณะเดียวกันก็เกี่ยวพันกับบาปติดตัวของมนุษย์ ตัวละครในหนังล้วนแต่ต้องเผชิญหน้ากับมันทั้งสิ้น
หนังให้รายละเอียดว่า ซูฮุน ภรรยาของตำรวจกำลังตั้งท้องและเคยแท้งมาก่อน ส่วนคุงฮีซึ่งสามีถูกฆาตกรรม เคยแอบทำแท้งโดยที่สามีไม่รู้หลายครั้ง ขณะที่คาเฮ ผู้เป็นชู้รักเพิ่งท้องได้ 1 เดือน เธออยากมีลูก ตั้งใจจะตั้งชื่อว่า เพิร์ล ชื่อเดียวกับเด็กหญิงที่เกิดจากการผิดประเวณีในนิยาย The Scarlet Letter
สำหรับตัวละครชายหนึ่งเดียวอย่างคีฮุน ซึ่งเข้าไปเกี่ยวข้องกับหญิงสาวทั้ง 3 คน แม้จะตั้งครรภ์ไม่ได้ แต่เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับความผิดบาปและการลงทัณฑ์ด้วยเช่นกัน ซ้ำยังหนักหนากว่าพวกเธอทั้งสามด้วย
เห็นได้ในฉากที่เขาหลุดออกมาจากกระโปรงท้ายรถในสภาพเลือดโซมร่าง เดินตรงไปหาทะเลสาบ ไม่ต่างจากทารกแรกเกิดออกมาจากมดลูก ซึ่งต้องผ่านการ ล้างบาป ติดตัว
นอกจากนี้ รายละเอียดอื่นๆ ก็อ้างอิงเกาะเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ เช่น บ้านที่เกิดเหตุฆาตกรรมตกแต่งมีซุ้มโค้ง ประดับด้วยรูปบูชาราวกับโบสถ์วิหาร ส่วนอาวุธฆาตกรรมคือรูปปั้นแม่พระผู้การุญ ยิ่งตอกย้ำถึงความผิดบาปมหันต์ของการกระทำครั้งนี้
การเล่าเรื่องคู่ขนานระหว่างการสืบสวนคดีฆาตกรรมกับเรื่องราวรักสามเส้า ช่วยหนุนเสริมแก่นสารของหนังได้อย่างแนบเนียน ด้านหนึ่งดำเนินไปด้วยคำถามว่าฆาตกรคือใคร มีแรงจูงใจอย่างไร ขณะที่ด้านหนึ่ง หมุนวนอยู่กับชีวิตแต่งงานกับความรักของคนทั้งสามว่าจะมีทางออกอย่างไร นัยหนึ่งคือการแสดงถึงวิกฤตศรัทธาต่อพันธะความสัมพันธ์ที่เรียกว่าการแต่งงาน(ภายใต้คำสาบานต่อหน้าพระ)
อีกนัยหนึ่ง หนังได้บอกกับเราเช่นเดียวกับเรื่องของอาดัม-อีฟ และนิยาย The Scarlet Letter ว่า สิ่งยั่วยวนไม่ว่าจะแปรเป็นราคะหรือความรัก อาจนำมาซึ่งความผิดบาปติดตัวไปตลอดชีวิต แต่หนังไปไกลกว่าด้วยการตั้งถามว่าถ้าเป็นความรัก สมควรจะได้รับการอภัยหรือไม่...ถ้ายังมีโอกาสเหลืออยู่
ผู้กำกับฯ แดเนี่ยล เอช.บยอน คุมโทนหนังได้อยู่มือทั้ง 2 เรื่องราว ไม่เอนเอียงหรือมีฝั่งใดเฉไฉออกนอกทางแม้หนังจะมีความยาวเกือบ 2 ชั่วโมง การเล่าเรื่อง-เชื่อมร้อยเหตุการณ์ทำได้อย่างกลมกลืน ทำให้ได้ผลลัพธ์เป็นหนังดรามา-ซัสเพนซ์ เชิงจิตวิทยาชั้นดีอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งจะว่าไปแล้วหนังแนวนี้จากเกาหลีใต้โดดเด่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญคือแม้จะต่างผู้กำกับฯ แต่ผลงานที่ออกมาจะมีลักษณะเฉพาะตัวร่วมกันบางอย่าง เช่น บรรยากาศตึงเครียดในความโปร่งโล่งเงียบนิ่ง จะเพราะปูมหลังทางชาติพันธุ์ หรือปัจจัยด้านสังคม-การเมืองอย่างไร น่านำมาใช้เป็นกรณีศึกษาในโอกาสต่อไป
แต่สำหรับเรื่องนี้ อย่างหนึ่งที่ผู้เขียนยืนยันได้คือ The Scarlet Letter คืองานแสดงของลี อุน จู ที่น่าจดจำ และเธอสมควรภาคภูมิใจ
เพราะผมเคยดูแบบไม่มีซับ เลยไม่ค่อยรู้เรื่องนัก
เสียดายที่ลีอุนูเสียชีวิตก่อนเวลาอันควรจริงๆครับ