Lantana สนทนาประสาใจ


Lantana
สนทนาประสาใจ

พล พะยาบ
Starpics Movie Edition ปักษ์แรก มิถุนายน 2546


*หลังจากจดๆ จ้องๆ อยู่นานสองนานว่าจะเขียนถึงหนังเรื่องนี้อย่างไรดี สุดท้ายจึงสรุปว่าควรจะเริ่มต้นด้วยการออกตัวไว้ก่อนว่า ผู้เขียนรู้สึกประทับใจหนังเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ และนี่เป็นงานเขียนชิ้นแรกที่เปิดเผยความชอบต่อหนังเรื่องหนึ่งกันตรงๆ ถ้าใครจะคิดว่าเชียร์จนออกนอกหน้า กลายเป็นการชี้นำ ก็ยอมน้อมรับโดยดุษณี ถือเป็นการ “สนทนาประสาใจ” กับผู้อ่าน ดังชื่อที่ตั้งไว้ก็แล้วกัน

เล่าสักนิดว่าได้ชม Lantana โดยไม่รู้ข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับหนัง อันที่จริงจะว่าไม่รู้ก็ไม่ถูกนัก ต้องบอกว่าลืมมากกว่า เพราะเคยอ่านเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ในคอลัมน์ The Critics’ Picks & Pans ใน Starpics ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่แล้ว(2545) และมารู้ว่ามีนักแสดงที่รู้จักดีร่วมแสดงอยู่ 2 คน คือ แอนโธนีย์ ลาพาเกลีย และเจฟฟรีย์ รัช ก็เมื่อได้เห็นเครดิตต้นเรื่อง

อย่างไรก็ตาม แม้จะเริ่มต้นโดยปราศจากความรู้สึกนึกคิดใดๆ ไม่ว่าจะเป็นความคิดว่าหนังน่าสนใจ หรือมีความคาดหวังใดๆ ต่อหนัง แต่เมื่อชมไปได้เพียง 10 นาที อะไรบางอย่างได้บอกตนเองว่าหนังเรื่องนี้มีดีไม่ธรรมดา และไม่ใช่ 10 นาที ที่อุดมไปด้วยภาพหวือหวา หรือบทสนทนาแสบๆ ที่หมายให้โดนใจผู้ชมอย่างรวดเร็ว ตรงกันข้าม นี่เป็นหนังที่นิ่งเงียบเรียบง่าย แต่อบอวลด้วยบรรยากาศแห่งชีวิตจริงที่ดูจริงจังและอ่อนโยนในขณะเดียวกัน

Lantana เริ่มต้นด้วยภาพต้นไม้พุ่มเตี้ยๆ ที่สะพรั่งด้วยดอกเล็กๆ สีชมพู กล้องพาเข้าไปในพุ่มไม้นั้นช้าๆ มีเสียงหึ่งๆ คล้ายเสียงหมู่แมลงวันดังอยู่ตลอด เมื่อเข้าไปลึกมากขึ้น ภาพกลายเป็นสีดำสนิท ก่อนจะเปลี่ยนเป็นภาพกิ่งไม้พาดทับกันไปมา มีศพผู้หญิงในชุดกระโปรงสีดำ เห็นแหวนแต่งงานที่นิ้วนางมือซ้าย ก่อนจะตัดภาพเป็นชื่อหนัง Lantana สีขาวบนพื้นดำ


จากนั้นหนังค่อยๆ แนะนำให้รู้จักตัวละครร่วม 10 ชีวิต แบ่งเป็นคู่สามีภรรยา 4 คู่ ซึ่งต่างมีแง่มุม “สถานะ” ที่ต่างกัน นอกจากนี้ ยังมีตัวละครอื่นๆ ที่มาวนเวียนข้องเกี่ยวอีก 3 คน ทั้งหมดไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์หรือรู้จักกันโดยตรง แต่เชื่อมโยงถึงกันผ่านตัวละครและเหตุการณ์ ทั้งด้วยความบังเอิญและโศกนาฏกรรม

ลีออน แซท(แอนโธนีย์ ลาพาเกลีย) ตำรวจวัยกลางคนผู้มีครอบครัวแล้ว แต่แอบมีสัมพันธ์ลับๆ กับ เจน(ราเชล เบลค) สาววัยเดียวกันที่เพิ่งแยกทางกับสามี ทั้งสองรู้จักกันในคอร์สเรียนเต้นรำแบบละตินที่ ซอนญ่า(เคอร์รี่ อาร์มสตรอง) ภรรยาของลีออน พาสามีไปร่วมเรียนด้วยเพื่อให้เขาและเธอได้ร่วมแบ่งปันความรู้สึกรักต่อกันอีกครั้ง

ความคับข้องใจในตัวสามีว่าอาจมีผู้หญิงอื่น ทำให้ซอนญ่าไปปรึกษากับจิตแพทย์หญิง วาเลอรี่(บาร์บารา เฮอร์ชีย์) โดยไม่บอกลีออน ขณะที่วาเลอรี่เองก็กำลังมีปัญหากับสามี จอห์น(เจฟฟรีย์ รัช) คณบดีมหาวิทยาลัย นับตั้งแต่ลูกสาวของพวกเขาถูกฆาตกรรมเมื่อ 2 ปีก่อน ทั้งสองมีท่าทีเย็นชาต่อกัน ราวกับว่าความเสียใจจากการจากไปของลูกสาวได้ปิดกั้นสัมพันธภาพระหว่างกันไว้

สำหรับเจนที่เพิ่งแยกทางกับสามี พีท(เกลนน์ ร็อบบินส์) อยู่ในบ้านหลังย่อมตามลำพัง ชอบแอบมองความเป็นไปของครอบครัวเพื่อนบ้านที่สนิทคุ้นเคยกัน ประกอบด้วยสามี-ภรรยา นิค(วินซ์ โคโลซิโม) และพอลล่า(แดเนียลลา ฟารินาซซี) กับลูกเล็กๆ สองคน แม้ว่าพอลล่าจะทำงานหาเงินคนเดียวเพราะนิคตกงาน แต่ก็ไม่ทำให้ครอบครัวมีปัญหาแต่อย่างใด ซ้ำยังดูอบอุ่นจนน่าอิจฉาในสายตาของเจน ส่วนพีทก็ยังคอยแวะเวียนมาหาเจนเพื่อขอเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง

นี่คือ 4 คู่ 8 ตัวละคร ที่สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ นอกจากนี้ยังมีอีก 3 ตัวละครมาเกี่ยวข้อง ได้แก่ คลอเดีย(ลีห์ เพอร์เซลล์) ตำรวจหญิงคู่หูของลีออนที่กำลังชอบพอชายคนหนึ่งที่เธอเห็นในร้านอาหารเป็นประจำ ทั้งสองไม่เคยพูดคุยกัน เขาและเธอเพียงแค่สบตากันทุกครั้งที่พบเจอ, แพททริค(ปีเตอร์ เฟลป์ส) คนไข้เกย์ของวาเลอรี่ที่ลักลอบเป็นชู้กับสามีคนอื่นโดยไม่รู้สึกผิดบาป และหนุ่มนิรนามที่ลีออนวิ่งชนจนจมูกหัก เขาร้องไห้ฟูมฟายโผเข้ากอดลีออนโดยไม่ทราบสาเหตุ

เรื่องราวของตัวละครทั้งหมดนี้ถูกนำเสนอภายในเวลา 2 ชั่วโมง โดยครึ่งแรกเป็นการแนะนำตัวละคร เล่าถึงปมปัญหาของแต่ละคน ส่วนครึ่งหลังเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของวาเลอรี่ ซึ่งพล็อตหลักกับอีกหลายๆ พล็อตรองล้วนพูดถึงแก่นเรื่องเดียวกัน คือ “การเปิดเผยความในใจ” เพื่อสร้างหรือรักษา “ความไว้วางใจต่อกัน”


แม้หนังจะเปิดเรื่องด้วยภาพศพผู้หญิงคนหนึ่ง เสมือนว่าเป็นหนังระทึกขวัญหรือหนังประเภทสืบสวนสอบสวน แต่ภาพต่อๆ มาหลังจากขึ้นชื่อหนังว่า Lantana จนกระทั่งหนังจบ กลับเต็มไปด้วยบรรยากาศเศร้าซึมอ่อนไหว บางครั้งก็ดูอบอุ่นอ่อนโยน จนห่างไกลจากลักษณะของหนัง 2 ประเภทดังกล่าว ว่าไปแล้วก็เหมือนกับต้น “ลานทาน่า” ในฉากเปิดเรื่องที่อวดช่อดอกไม้สีชมพูบานสะพรั่ง แต่ภายในกลับมีความตายซุกซ่อนอยู่ และคงไม่ต่างจากเรื่องราวในหนังที่นำเสนอเกี่ยวกับวิกฤตชีวิตคู่ของตัวละคร ซึ่งฉาบหน้าปิดบังปัญหาไว้ด้วยบทบาทของแต่ละคน

ตั้งแต่ยี่สิบนาทีแรก เราทราบว่าลีออนกำลังตกอยู่ในสภาพเฉยชากับชีวิตคู่ ระหว่างเขากับซอนญ่าไม่เหลือความหวานชื่นดังเช่นคนรักพึงมีต่อกัน ซอนญ่าเองก็ตระหนักถึงปัญหานี้ จึงพาลีออนไปร่วมเรียนเต้นรำแบบละตินที่เน้นความเร่าร้อนผ่านการแสดงออกทางร่างกายเพื่อหวังจะส่งผ่านความรักใคร่ต่อกัน แต่เขากลับเต้นรำแข็งทื่อราวกับไร้ชีวิต ลีออนปฏิเสธความเร่าร้อนร่วมกับภรรยา แต่เลือกแสดงออกทางร่างกายโดยการใช้พละกำลังและความรุนแรงแทน ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมคนร้ายขณะจับกุม การตะคอกด่าหนุ่มนิรนามที่เขาวิ่งชน รวมทั้งการเริ่มจ๊อกกิ้งทุกเช้า จนลูกชายถามว่าเขาวิ่งทำไม ลีออนตอบว่า “พ่อยังไม่อยากตาย”

ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นการช่วยให้ตนเองฟื้นจากความเฉยชาไร้ชีวิตชีวาเพียงลำพัง กระทั่งเขาเลือกวิธีที่ผิดพลาดที่สุดคือการนอกใจไปมีอะไรกับผู้หญิงที่รู้จักกันในคอร์สเรียนเต้นรำ...คอร์สเรียนเต้นรำที่ซอนญ่าหวังจะใช้เป็นพื้นที่แห่งการแสดงความรักระหว่างเธอกับลีออน แต่กลับเป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาแทรกกลาง และยิ่งทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลง

ความเฉยชา การไม่เอาใจใส่ การนอกใจ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ราวกับว่าลีออนและซอนญ่าไม่ได้รักกันอีกแล้ว ทั้งที่จริงในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ผู้ชมจะได้ยินคำพูดจากคนทั้งสองว่ายังแคร์และรักอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ เริ่มจากลีออนบอกกับเจนว่าเขายังรักภรรยา เมื่อเจนมีท่าทีจะสานต่อความสัมพันธ์กับเขาอย่างจริงจัง ส่วนซอนญ่าได้ระบายให้จิตแพทย์วาเลอรี่ฟังถึงความวิตกกังวลหากต้องเลิกกับสามี ก่อนที่วาเลอรี่จะทิ้งคำถามว่า “ซอนญ่ายังรักลีออนอยู่หรือเปล่า”

เห็นได้ว่าทั้งสองยังมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน แต่ความรู้สึกนั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่ถูกกดเก็บไว้ลึกเกินกว่าจะบอกให้กันและกันฟัง...การเปิดใจพูดคุยกันคือสิ่งที่คนทั้งสองละเลย และต่างหันไปส่งผ่านหรือระบายออกด้วยการกระทำอย่างอื่น(การเต้นรำ, ซ้อมคนร้าย, มีอะไรกับหญิงอื่น) หรือการพูดให้คนอื่น(เจน, วาเลอรี่) ได้รับรู้ ซึ่งถึงอย่างไรก็ไม่มีวันซึมซาบลึกซึ้งสู่คนใกล้ตัวได้ และนั่นอาจเป็นการเปิดทางให้ความไม่ไว้ใจกันได้สร้างรอยร้าวจนยากจะลบเลือน ดังเช่นที่ซอนญ่าบอกกับวาเลอรี่ว่า ปัญหาไม่ใช่เรื่องที่ลีออนอาจจะนอนกับผู้หญิงอื่น แต่อยู่ที่เขาไม่บอกเธอ ซึ่งสอดรับกับคำกล่าวของวาเลอรี่ ในงานเปิดตัวหนังสือที่เธอเขียนถึงลูกสาวที่เสียชีวิตในฉากถัดมาว่า “ความไว้วางใจสำคัญต่อความสัมพันธ์ของคน เหมือนกับการหายใจสำคัญต่อชีวิต...และมันก็สัมผัสได้ยาก”

การที่ลีออนต้องสืบสวนการหายตัวไปของวาเลอรี่ จึงช่วยให้เขามีโอกาสสืบหาความรู้สึกของตนเองและซอนญ่าไปพร้อมกัน เมื่อเขาพบเทปบันทึกเสียงซอนญ่าในแฟ้มคนไข้ของวาเลอรี่


ในฐานะจิตแพทย์ วาเลอรี่น่าจะเข้าใจและจัดการกับปัญหาชีวิตทำนองนี้ได้ดีกว่าคนอื่น แต่จริงๆ แล้ว เธอและจอห์นก็ตกอยู่ในสภาพไม่แตกต่างจากคู่ลีออนและซอนญ่า แม้ว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดรอยเศร้าหมองเย็นชาในจิตใจของวาเลอรี่และจอห์นคือการเสียชีวิตของลูกสาว แต่ทั้งสองซึ่งคนหนึ่งเป็นถึงจิตแพทย์ อีกคนเป็นคณบดีในมหาวิทยาลัย กลับต่างมีปัญหาในการดูแลความรู้สึกของตนเองและคนรัก รวมไปถึงการจัดการกับสถานภาพชีวิตสมรสที่กำลังก่อรอยร้าวขึ้นภายใน

วาเลอรี่ใช้วิธีเขียนหนังสือเกี่ยวกับลูกสาวเพื่อบอกให้ “คนทั้งโลก” ได้รู้ว่าเธอคิดถึงลูกมากแค่ไหน แต่กับจอห์นซึ่งเป็นคนใกล้ตัว เธอกลับไม่สามารถระบายความรู้สึกใดๆ ให้เขาฟังได้ เมื่อวาเลอรี่ตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิตคู่ จะถูกจอห์นย้อนว่าเหมือนเป็นคำถามสำหรับคนไข้ หรือเมื่อเธอมีปัญหาในการให้คำปรึกษาคนไข้รายหนึ่ง จอห์นกลับไม่สอบถามรายละเอียดด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เพราะเอาแต่คำนึงว่าผิดจรรยาแพทย์ ขณะที่จอห์นเลือกระบายความรู้สึกของตนเองด้วยการหลบไปนั่งเงียบๆ คนเดียว บริเวณจุดเกิดเหตุฆาตกรรมลูกสาว

ความเย็นชาห่างเหินระหว่างวาเลอรี่และจอห์นไม่ใช่ทางความรู้สึกเท่านั้น บทสนทนาทำให้เราทราบว่าแม้แต่ทางร่างกายก็ห่างเหินกันมานาน หนังแสดงให้เห็นถึงช่วงเวลาที่ทั้งสองได้อยู่ร่วมกันและพูดคุยกัน 4-5 ครั้ง เกือบทุกครั้งเมื่อถึงจุดแห่งความไม่เข้าใจกัน ไม่วาเลอรี่ก็จอห์นจะต้องเป็นฝ่ายเดินหนี แต่มี 2 ครั้ง ซึ่งเป็นการเดินทางกลับบ้านโดยรถยนต์ เมื่อการสนทนาถึงจุดนั้น ต่างคนต่างทำได้เพียงนั่งเงียบๆ ไม่สามารถเดินหนีกันได้

สถานะของวาเลอรี่และจอห์นจึงเปรียบเหมือนแม่เหล็กขั้วเดียวกันที่ไม่อาจเข้าใกล้กันและกันได้ มีเพียงช่วงเวลาที่ทั้งสองเดินทางร่วมกันเท่านั้นที่ช่วยให้ระยะห่างยังคงที่ แต่แล้วในที่สุด ครั้งแรกที่ทั้งสองปลอบใจกันอย่างใกล้ชิด แม่เหล็กขั้วเดียวกันก็ได้ผลักกันอย่างรุนแรงจนกลายเป็นระยะห่างกันที่ไกลที่สุดระหว่างคนทั้งสอง เพราะเช้าวันรุ่งขึ้น จอห์นให้วาเลอรี่ขับรถไปเองแทนที่จะไป-กลับด้วยกันเช่นทุกวัน และคืนนั้นเอง วาเลอรี่เกิดรถเสียกลางทาง เธอหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงเสียงในเทปเครื่องตอบรับโทรศัพท์ พูดความในใจหลายอย่างกับจอห์น รวมทั้งปัญหาความเย็นชาระหว่างกันที่เธอจะกลับไปเปิดใจคุยกับเขาเมื่อถึงบ้าน แต่เธอ(และจอห์น) กลับไม่มีโอกาส(ต่างจากลีออนที่ได้ฟังเทปเสียงของซอนญ่า แล้วมีโอกาสแก้ไขความผิดพลาด)

แม้หนังจะให้ลีออนเป็นตัวเดินเรื่องและเข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรงกับทุกๆ ตัวละคร แต่ตัวละครที่มีอิทธิพลต่อคนอื่นมากที่สุดคือวาเลอรี่ ทั้งก่อนและหลังที่เธอหายตัวไป นอกจากนี้ บทวาเลอรี่ยังมีความสำคัญในการบอกกล่าวประเด็นที่หนังต้องการสื่อแก่ผู้ชม ผ่านบทสนทนาระหว่างเธอกับคนไข้ นอกจากจะเป็นการสะท้อนปัญหาของวาเลอรี่เองด้วยแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นภาพรวมของทุกๆ ตัวละครในหนัง เช่นบทสนทนาครั้งหนึ่งระหว่างวาเลอรี่กับซอนญ่า

วาเลอรี่ : คุณบอกเขาหรือเปล่าว่าคุณไม่มีความสุข
ซอนญ่า : ฉันคิดว่าคงไม่ต้องบอกเขาหรอก
วาเลอรี่ : ขึ้นอยู่กับว่าคุณแสดงเก่งแค่ไหน
ซอนญ่า : ฉันว่าฉันคงจะเก่งมาก


หรืออีกครั้งกับแพททริค คนไข้เกย์ เมื่อวาเลอรี่ถามเกี่ยวกับภรรยาของผู้ชายที่เขายุ่งเกี่ยวด้วย

วาเลอรี่ : เธอรู้เรื่องคุณไหม
แพททริค : ผมคิดว่ารู้ เธอคงรู้สึกได้ใช่ไหม
วาเลอรี่ : ขึ้นอยู่กับว่าเขาหลอกเธอได้เก่งแค่ไหน
แพททริค : หรือเธอหลอกตัวเองได้เก่งแค่ไหน
วาเลอรี่ : ชีวิตสมรสขึ้นอยู่กับการหลอกลวงไม่ได้
แพททริค : ชีวิตสมรสส่วนมากอยู่บนความหลอกลวง...ผมคิดว่าผู้หญิงบางคนชอบอยู่กับเรื่องโกหก มันง่ายกว่าการสู้ความจริง

เมื่อนำคู่ตัวละคร ลีออน-ซอนญ่า และจอห์น-วาเลอรี่ มองไปในทิศทางเดียวกันกับบทสนทนาข้างต้น จะเห็นแง่มุมสถานะของแต่ละคู่ตัวละครที่ชัดเจนขึ้น รวมไปถึงคู่พีท-เจนที่แยกกันอยู่ แน่นอนว่าทั้งสองต้องเคยพบพานช่วงเวลาแห่งความเย็นชาหมางเมิน แต่ก็เพราะมีเหตุผลสำคัญคือฝ่ายหนึ่งไม่เหลือความรักให้อีกฝ่ายหนึ่งแล้ว ชีวิตสมรสของทั้งสองจึงไม่ได้อยู่บนความหลอกลวง

ขณะที่นิค-พอลล่า ซึ่งแสดงออกถึงความรักและเปิดเผยทุกเรื่องราวให้แก่กันตลอดเวลา เมื่อนิคตกเป็นผู้ต้องสงสัยในการหายตัวไปของวาเลอรี่ การเปิดเผยความจริงไม่ปิดบังกันระหว่างนิคและพอลล่าทำให้เขารอดพ้นความผิดมาได้ เพราะนิคยอมให้ปากคำกับตำรวจทั้งหมดเมื่อลีออนยอมให้พอลล่ามาอยู่ในห้องสอบสวนด้วย หลังผ่านเรื่อยร้ายๆ มาได้แล้ว ทั้งสองก็ยังมีความสุขกับชีวิตคู่ต่อไป

ฉากที่นิคและพอลล่ากลับมาถึงบ้าน และเห็นสภาพภายในบ้านถูกจัดทำความสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยโดยฝีมือเจน พอลล่าโกรธจัด ออกมาตะโกนด่าเจนว่าก้าวก่าย เหมือนหนังจะบอกว่าเรื่องราวปัญหาภายในครอบครัว คงไม่มีใครสามารถเข้าไปจัดการดูแลได้ นอกจากคนในครอบครัวนั้นๆ

บทหนังอันยอดเยี่ยมนี้เขียนโดย แอนดรูว์ โบเวลล์ ซึ่งดัดแปลงจากบทละครเวทีของตนเองชื่อ Speaking in Tongues แม้จะมีตัวละครสำคัญร่วม 10 ชีวิต แต่ทุกตัวละครมีบทบาทในการสนับสนุนแก่นเรื่องได้อย่างมีเหตุมีผล ที่สำคัญคือบทสนทนาและพฤติกรรมของตัวละครดูสมจริงแบบชีวิตจริง ซึ่งคงต้องยกความชอบให้นักแสดงทุกคนที่แสดงได้เป็นธรรมชาติ จนความบังเอิญบางครั้งที่ให้ตัวละครมาเกี่ยวข้องกันเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ด้วยความชื่นชมแทนที่จะเป็นจุดบกพร่อง ในเมื่อหนังสามารถใช้ความบังเอิญเหล่านี้มาสนับสนุนแก่นเรื่องได้ โดยเฉพาะตอนท้ายที่หนังเฉลยเกี่ยวกับหนุ่มนิรนามที่ลีออนวิ่งชนจนจมูกหักว่าเป็นใคร มีบทบาทอย่างไรนอกเหนือจากนี้


หลังจากหยุดกำกับหนังนานถึง 16 ปี นับแต่กำกับหนังรางวัลเรื่อง Bliss เมื่อปี 1986 ผู้กำกับหนังโฆษณา เรย์ ลอว์เรนซ์ ก็จำต้องหวนคืนงานหนังใหญ่อีกครั้ง เพราะมองเห็นศักยภาพบทละครเวทีของโบเวลล์ว่าควรจะพัฒนาเป็นหนังที่ดีได้ เขาร่วมกับโบเวลล์และแจน แชปแมน ผู้อำนวยการสร้าง ใช้เวลา 3 ปีทำบทหนังให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา และถ่ายทอดออกมาเป็นหนังได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ลอว์เรนซ์รักษาบรรยากาศเงียบๆ นิ่งๆ ไว้ ราวกับว่าเป็นความเปราะบางเหมือนชีวิตคู่ของตัวละคร ทั้งในช่วงสิ้นสุดบทสนทนาและการเปลี่ยนฉาก แล้วใส่เสียงเครื่องดนตรีน้อยชิ้นที่ให้ความรู้สึกหวาดหวั่นเติมลงในช่องว่างดังกล่าว ซึ่งดนตรีประกอบที่ได้ฟัง(แบบไม่ตั้งใจ) จนคุ้นหูนี้ กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในตอนท้ายเรื่อง เมื่อเพิ่มจังหวะสีสันมากขึ้น พร้อมด้วยเนื้อร้อง แล้วใส่ลงไปในภาพความเป็นไปของตัวละครแต่ละคนหลังจากเรื่องราวต่างๆ มีทางออกที่เหมาะสม

ฉากที่สร้างความสะเทือนใจได้สูงสุด คือฉากเกือบสุดท้ายที่ลีออนเดินไปบอกข่าววาเลอรี่แก่จอห์นในรถ ก่อนจะเดินมานั่งในรถตนเอง แล้วเปิดฟังเทปเสียงของซอนญ่า เป็นการเฉลยคำตอบที่หนังทิ้งไว้กลางเรื่องกับคำถามของวาเลอรี่ที่ว่าซอนญ่ายังรักลีออนอยู่หรือเปล่า ฉากยอดเยี่ยมนี้เป็นผลลัพธ์ของการแสดงอันน่าทึ่ง การกำกับภาพ และการที่หนังปูเรื่องราวและอารมณ์มาตั้งแต่ต้น กระทั่งถึงบทสุดท้ายอย่างลงตัวสมบูรณ์

สำหรับผู้ที่ชอบหนังดราม่าที่เปี่ยมด้วยพลังการแสดง บทหนัง และวิธีการนำเสนอของผู้กำกับฯ Lantana หนังเล็กๆ จากออสเตรเลียเรื่องนี้คือตัวอย่างอันยอดเยี่ยมที่ไม่ควรพลาดชมโดยเด็ดขาด

นี่คือการการันตีของผู้เขียนที่ได้หนังเรื่องนี้มาช่วยเตือนใจว่า การ “เปิดเผย” ความรู้สึกกันตรงๆ นั้น ดีกว่าอมพะนำเป็นไหนๆ



Create Date : 06 ตุลาคม 2549
Last Update : 6 ตุลาคม 2549 11:53:26 น.
Counter : 2480 Pageviews.

7 comments
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๗ มาช้ายังดีกว่าไม่มา
(2 ม.ค. 2567 07:30:30 น.)
๏ ... รามคำแหง แรงคำหาม ... ๏ นกโก๊ก
(2 ม.ค. 2567 14:22:51 น.)
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๗ มาช้ายังดีกว่าไม่มา
(2 ม.ค. 2567 07:30:30 น.)
อุ้มสีมาทำบุญ ๙ วัด ในวันขึ้นปีใหม่ที่จ.อุบลราชธานี อุ้มสี
(3 ม.ค. 2567 19:10:02 น.)
  
อา........น่าดูจัง
ความซับซ้อนของใจมีส่วนทำให้การแสดงออกไม่เป็นไปตามที่หัวใจต้องการ

อยู่กับการเก็บงำ ก็เจ็บปวด
เปิดใจอยู่กับความจริง อาจเจ็บกว่า ก็ได้

โดย: renton_renton วันที่: 6 ตุลาคม 2549 เวลา:8:08:36 น.
  
เคยได้ยินเรื่องนี้มานานแล้วเหมือนกันค่ะ แต่ก็ยังไม่ได้ดูซะที

เราคิดคล้ายๆคุณ renton_renton ค่ะ

การเปิดเผยความรู้สึกให้คนอื่นได้รับรู้คงามจริง ฟังดูมันก็น่าจะดีค่ะ แต่มันยากมากเลย เพราะมันต้องเริ่มจากการที่เราต้องยอมรับความจริงนั้นให้ได้ซะก่อน

เราอาจจะเป็นผู้หญิงแบบที่แพททริคพูดถึงก็ได้ค่ะ
โดย: goldfish memory (goldfish memory ) วันที่: 6 ตุลาคม 2549 เวลา:13:23:18 น.
  
อีตานี่หน้าคุ้นๆ... อ๋อ เคยเล่นใน Intolerable Cruelty น่ะเอง ฮาแตก
โดย: Moonlight Mile วันที่: 6 ตุลาคม 2549 เวลา:21:29:17 น.
  
หาหนังพวกนี้ดูได้จากไหนอ่ะครับ
โดย: keano (jonykeano ) วันที่: 8 ตุลาคม 2549 เวลา:0:59:37 น.
  
อย่าลืมปั่น Breakfast on Pluto นะค๊า
หุ หุ ........ รออ่านอยู่ค่า


โดย: renton_renton วันที่: 9 ตุลาคม 2549 เวลา:3:18:15 น.
  
โดน โดน โดน...

โดย: unwell วันที่: 9 ตุลาคม 2549 เวลา:11:34:43 น.
  
เขียนได้ยาวดีจัง แต่อ่านแล้วบอกได้คำเดียว
"ถะ..ถ..ถูก..ถูกต้องนะคร้าบ..."
โดย: sTRAWBERRY sOMEDAY วันที่: 10 ตุลาคม 2549 เวลา:1:25:54 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Aloneagain.BlogGang.com

แค่เพียงรู้สึกสุขใจ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]

บทความทั้งหมด