พลเมืองจูหลิง : ชิ้นส่วนของอคติ? [Full Version]
พลเมืองจูหลิง
ชิ้นส่วนของอคติ?
พล พะยาบ
หมายเหตุ : บทวิจารณ์ พลเมืองจูหลิง : ชิ้นส่วนของอคติ? ตีพิมพ์ในคอลัมน์อาทิตย์เธียเตอร์ หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 30 สิงหาคม 2552 ส่วนที่นำมาลงนี้เป็นบทวิจารณ์ฉบับเต็มที่ยังไม่ผ่านการตัดทอนและปรับแต่งให้สั้นลงเพื่อให้พอดีกับพื้นที่
ตั้งใจดูเรื่องนี้ตั้งแต่คราวฉายในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯเมื่อปีที่แล้ว แต่เนื่องจากฟ้าฝนไม่เป็นใจทำให้พลาดไปทั้งที่จองตั๋วไว้แล้วล่วงหน้า เมื่อได้โอกาสเข้าฉายที่โรงหนังเฮาส์ช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาจึงไม่ยอมพลาดซ้ำอีก (ถึงสัปดาห์นี้หนังยังคงฉายอยู่)
พลเมืองจูหลิง (Citizen Juling) คือภาพยนตร์สารคดีความยาว 3 ชั่วโมง 42 นาที ว่าด้วยเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีเหตุโศกนาฏกรรมซึ่งเกิดกับครูจูหลิง ปงกันมูล ที่โรงเรียนบ้านกูจิงลือปะ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เป็นจุดศูนย์กลาง
ผู้สร้าง 3 คน ประกอบด้วย ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ มานิต ศรีวานิชภูมิ และสมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ใช้เวลาราว 4 เดือน นับแต่เหตุการณ์ดังกล่าว ทำความรู้จักกับหญิงสาวชาวเหนือตัวเล็กใจใหญ่ที่มุ่งมั่นตั้งใจไปสอนศิลปะแก่เด็กๆ ชาวใต้แต่กลับต้องแลกด้วยชีวิต ลงพื้นที่ตรวจสอบความเป็นมา-เป็นไปของเหตุการณ์ รวมถึงกรณีสะบ้าย้อยและมัสยิดกรือเซะ โดยมีภาพกว้างของประเทศไทยเชื่อมโยงอยู่อย่างแยกไม่ออก ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องที่ฉายภาพความปลื้มปิติของประชาชนในวันฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปี ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า จนถึงฉากปิดท้ายในวันที่ผู้คนไปร่วมถ่ายรูปกับทหารและรถถังหลังคืนรัฐประหารล้มรัฐบาลทักษิณ
ลักษณะของสารคดีเป็นการบันทึกติดตามการลงพื้นที่และกิจกรรมต่างๆ ของทีมผู้สร้างโดยไกรศักด์เป็นผู้อยู่หน้ากล้อง เสริมด้วยเสียงของผู้อยู่หลังกล้องอีก 2 คน ช่วยสอบถาม-สัมภาษณ์ หนังจึงโดดเด่นในเรื่องความสดและพลังที่ส่งออกมาผ่านภาพหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า รวมถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรง
หนังยังมีจุดที่น่าชื่นชมและน่าจะหยิบยกมากล่าวถึงหลายอย่าง แต่เนื่องจากพื้นที่ไม่มากนักจึงขอว่ากันเฉพาะจุดที่ผู้เขียนติดใจและเห็นว่าสำคัญที่สุด
ประเด็นที่หนังบอกกล่าวอย่างชัดเจนคือ รัฐบาลไทยรักไทยเป็นจุดเริ่มต้นของความไม่สงบในภาคใต้ที่ลุกลามบานปลาย โดยใช้อำนาจรัฐกระทำต่อประชาชนอย่างไร้ความเป็นธรรม และนโยบายปราบยาเสพติดที่อาจเป็นชนวนเหตุสำคัญ ปัญหาอยู่ตรงที่ผู้สร้างไม่ได้นำเสนอประเด็นเหล่านี้ผ่านข้อมูลหลักฐานที่เป็นรูปธรรม ไม่มีการสืบค้น-ขุดคุ้ย-สอบถามจากหลายฝ่ายอย่างรอบด้านและลงรายละเอียด ส่วนใหญ่จะบอกเล่าผ่านบทสนทนาระหว่างไกรศักดิ์กับคณะผู้ติดตามหรือกลุ่มคนที่มาต้อนรับ (หนังไม่ได้ใส่ชื่อเสียงเรียงนามของผู้ที่ปรากฏในหนังเลย)
แน่นอนว่าบางเรื่องราว-บางข้อมูลเคยปรากฏเป็นข่าวหรือในรูปของเอกสารที่ผ่านการพิจารณาแล้ว แต่ในบริบทของหนังสารคดีที่มีลักษณะสำรวจตรวจสอบให้เห็นภาพเชื่อมโยงชัดเจนขึ้น การอ้างลอยๆ ผ่านการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการนั้นไม่เพียงพอให้หนังมีน้ำหนักที่น่าเชื่อถือและพอจะอ้างอิงต่อได้
สิ่งที่ผู้สร้างทำเพื่อหาข้อเท็จจริงในกรณีต่างๆ ที่ยังขาดความกระจ่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นกรณีครูจูหลิง สะบ้าย้อย หรือมัสยิดกรือเซะ มีแค่การสอบถามชาวบ้านซึ่งแม้จะอยู่ในพื้นที่และเกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิต แต่ทุกคนล้วนแต่ไม่ใช่พยานที่เห็นเหตุการณ์ ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่มีการสอบถามกับเจ้าหน้าที่ระดับสูง ไม่ติดตามสอบถามกลุ่มคนที่ถูกจับกุมตัวอย่างน่าเคลือบแคลง ทั้งที่ผู้สร้างที่ลงพื้นที่นำทีมโดยบุคคลระดับวุฒิสมาชิก
หนังพาผู้ชมไปยังสถานที่เกิดเหตุ เห็นสถานที่จริง เห็นกระทั่งกองเลือด สามารถสร้างภาพขึ้นในจินตนาการผ่านคำบอกเล่าของหลายคน สะเทือนใจกับญาติของผู้เสียชีวิต สงสารเห็นใจชายที่เมียของเขาถูกเจ้าหน้าที่จับกุม สัมผัสได้ถึงความคับข้อง-เจ็บแค้น
แต่สุดท้ายผู้ชมก็กลับออกมาโดยไม่ได้เข้าใจอะไรมากขึ้นเลย
ถ้าการสำรวจตรวจสอบพบอุปสรรคเรื่องการไม่ให้ความร่วมมือของเจ้าหน้าที่หรือชาวบ้านไม่กล้าให้ข้อมูล หนังก็ต้องแสดงออกมาให้เห็นเพื่อให้แก่นสารของหนังเรื่องอำนาจรัฐกับชาวบ้านยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้น แทนที่จะปล่อยทิ้งไว้แล้วมาออกตัวในช่วงท้ายของหนังว่าการถ่ายทำหนังสารคดีเรื่องนี้ยังไม่สามารถตอบข้อสงสัยหลายอย่าง ทั้งที่ตลอดเวลากว่า 3 ชั่วโมง ผู้สร้างเองเป็นคนจุดประเด็นข้อสงสัยมากมาย เกือบทั้งหมดเป็นข้อสงสัยที่พกพาลงไปจากกรุงเทพฯ ไม่ใช่จากหลักฐานหรือจากปากคำของชาวบ้านระหว่างการลงพื้นที่ ซึ่งลงท้ายข้อสงสัยเหล่านี้ก็เหมือนถูกโยนทิ้งไว้ให้เกิดความเคลือบแคลงต่อไป
ถามว่าหนังสารคดีจำเป็นต้องค้นหาคำตอบเพื่อคลายข้อสงสัยหรือไม่ คำตอบคือไม่จำเป็น...ถ้าเพียงแต่หนังสารคดีเรื่องนั้นๆ ไม่มีท่าทีชี้นำไปในทางใดทางหนึ่งอย่างเห็นได้ชัดอย่างเรื่องพลเมืองจูหลิง
เพราะเมื่อชี้นำแล้วทำได้แค่โยนข้อสงสัยไว้มากมายนอกจากผู้ชมจะไม่ได้อะไรแล้ว หากประเด็นของหนังเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างฝักฝ่าย หนังสารคดีเรื่องนั้นย่อมไม่พ้นถูกตีค่าในทางลบ กระทั่งส่วนที่ดีของหนังถูกมองข้ามไป
ถามอีกครั้งว่าหนังสารคดีไม่สามารถชี้นำไปทางใดทางหนึ่งหรือ คำตอบคือชี้นำได้...ยิ่งหากผู้สร้างมั่นใจว่ากำลังนำเสนอในเรื่องที่ถูกต้อง แต่เมื่อต้องการชี้นำแล้วสิ่งที่ขาดไม่ได้คือข้อมูลหลักฐานที่หนักแน่นพอจะสนับสนุนความคิดของตนหรือกระทั่งโน้มน้าวให้ผู้ชมคล้อยตาม
ยกตัวอย่างเรื่อง Fahrenheit 9/11 (2004) ของ ไมเคิล มัวร์ แม้จะถูกปักป้ายว่าตั้งใจโจมตี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช แต่สิ่งที่เขาค้นคว้า รวบรวม สืบเสาะมาประมวลเข้าด้วยกันนั้น เกินกว่าจะถูกเหยียดแคลนในฐานะคนทำหนังสารคดีคนหนึ่ง
หรือเรื่อง No End in Sight (2007) ของ ชาร์ลส์ เฟอร์กูสัน ซึ่งแม้ไม่ได้ออกตัวชัดเจนว่าตั้งใจโจมตีนโยบายสงครามอิรักของรัฐบาลบุชจูเนียร์ แต่การไล่เรียงเบื้องหลัง-เบื้องหน้าตั้งแต่ 9/11 ถึงความวุ่นวายในอิรักหลังสงคราม ค่อนข้างครอบคลุมแง่มุมผ่านการสัมภาษณ์และฟุตเตจวิดีโอมากมาย กระทั่งสุดท้ายสามารถ จับโกหก ได้กลางอากาศโดยผู้สร้างไม่จำเป็นต้องป่าวร้อง แต่ผู้ชมรับรู้ได้เอง ถือเป็นความสำเร็จของหนังสารคดีที่ควรยึดเป็นแบบอย่างยิ่งนัก
บอกตามตรงว่าผู้เขียนเองมีความคิด-ความเชื่อบางอย่างตรงกับสิ่งที่หนังพยายามนำเสนอด้วยซ้ำ แต่หลังจากดูหนังจบแล้วกลับไม่พบว่าหนังช่วยยืนยันความคิด-ความเชื่อดังกล่าวให้สามารถจับต้องได้มากกว่าเดิมเลย แล้วผู้ชมที่ไม่มีความคิด-ความเชื่อใดๆ มาก่อนจะได้อะไรกลับไปบ้าง ยังไม่นับผู้ชมจากฟากฝั่งตรงข้ามที่คงมองหนังสารคดีเรื่องนี้เป็นแค่เครื่องมือโจมตีฝ่ายตน
ไม่ใช่แค่การชี้นำโดยปราศจากการหาคำตอบเท่านั้น วิธีการนำเสนอและท่าทีของผู้สร้างได้ลดทอนความน่าเชื่อถือของหนังสารคดีลงด้วย ไม่ว่าจะเป็นเสียงวอยซ์โอเวอร์ของใครไม่รู้ที่บอกว่าทักษิณมีอำนาจมากกว่าฮิตเลอร์ (ตลอดทั้งเรื่องมีแค่เจ้าของร้านสูงวัยที่เป็น ชาวบ้านแท้ๆ เพียงคนเดียวที่พูดออกมาชัดเจนว่าเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นในยุคทักษิณจนต้องปิดร้านเร็วขึ้น)
หรือในระหว่างพูดคุยกับเพื่อนชาวเหนือเกี่ยวกับการฆ่าอย่างโหดเหี้ยมที่เกิดขึ้นทางภาคเหนือ แล้วไกรศักดิ์ก็พูดขึ้นว่า นายกฯก็คนเหนือ จากนั้นทั้งสองและผู้สัมภาษณ์หญิงที่อยู่หลังกล้องก็หัวเราะกับมุขตลกนี้ ยังไม่นับเสียงสัมภาษณ์ของผู้สัมภาษณ์หญิงคนเดียวกันที่มักชี้นำ เสริมใส่อารมณ์และเออออไปกับผู้ให้สัมภาษณ์ซึ่งไม่ใช่ท่าทีที่หนุนเสริมความน่าเชื่อถือของหนังสารคดี
ถามว่าคำพูดลอยๆ และมุขตลกเสียดสีดังกล่าวช่วยสนับสนุนแก่นสารความคิดของหนังได้หรือไม่
คำตอบคือไม่เลย!
ทุกวันนี้มี เว็บไซต์-เว็บบอร์ด ที่เผยแพร่ข้อเขียนประเภท สรุปเอาเอง เพื่อให้ พวกเดียวกันเอง อ่านเกลื่อนแล้ว
มีสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ที่พูดในสิ่งที่อยากพูด แม้จะเต็มไปด้วยอารมณ์-ความสะใจอยู่ทั่วประเทศ
ถ้าจะมีหนังสารคดีสักเรื่องที่พูดถึงเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พูดถึงจิตใจอันบริสุทธิ์งดงามและยิ่งใหญ่ของผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ชื่อ จูหลิง ปงกันมูล หนังสารคดีเรื่องนั้นก็ไม่ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อความสะใจของใคร
เพราะขณะที่ พลเมืองจูหลิง กำลังปะติดปะต่อภาพความขัดแย้ง-แบ่งแยก และอคติที่เกิดขึ้นระหว่างผู้กุมอำนาจรัฐ ระหว่างรัฐกับประชาชน และระหว่างประชาชนด้วยกัน
ตัวหนังเองก็กำลังแสดงตนเป็นชิ้นส่วนของอคติในภาพปะติดปะต่อนั้นเช่นกัน