ปรากฏการณ์ "ซินเนสทีเซีย" ปรากฏการณ์ "ซินเนสทีเซีย" ปรากฏการณ์นี้ถือเป็นปรากฏการณ์พิเศษสำหรับคนพิเศษในโลกนี้เพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น ซึงพวกขาจะมีประสบการณ์ในการรับรู้ที่ต่างจากคนทั่วไป เป็นอาการที่คนพิเศษเท่านั้นจะรับรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการมองตัวเลข (หรือตัวหนังสือ) เป็นสีสรรค์ต่างๆ หรือบางคนเมื่อได้ยินเสียงดนตรี จะสัมผัสกับมันได้ด้วยประสาทส่วนอื่นที่ไม่ใช่โสตประสาท คำว่า "ซินเนสทีเซีย" (synesthesia หรือ synaesthesia) มาจากภาษากรีก คือ คำว่า Syn (ร่วม) + Aisthesis (การรับรู้) หมายความว่า การที่มีประสาทรับรู้ตั้งแต่สองส่วนขึ้นไป รับรู้ร่วมกัน โดยเราจะเรียกคนที่มีอาการเช่นนี้ว่า ซินเนสทิต (Synesthete) อาจจะมีหลายคนเห็นว่าอาการนี้เป็นอาการของคนป่วย แต่ในทางการแพทย์และทางจิตวิทยากลับไม่ได้มองเช่นนั้น พวกถือว่าซินเนสทิตไม่ใช่อาการป่วย และอาการนี้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ จึงอาจจะเรียกได้ว่าเป็นความผิดปกติของโครโมโซมมากกว่า โดยสามารถพบคนที่เป็นซินเนสทีเซีย ประมาณ 1 ต่อ 25,000 คน สำหรับคนอเมริกัน พบว่าโอกาสที่จะพบในผู้หญิงมากว่า ชายราว 3 : 1 โดยอาการที่พบบ่อยที่สุดคือ การมองเห็นตัวเลขหรือตัวอักษรเป็นสี (Colored letters and numbers) และได้ยินเสียง เป็นสี (colorred hearing) รูปแบบต่าง ๆ ของ ปรากฏการณ์ ซินเนสทีเซีย ลักษณะความรุ้สึก ตัวเลขและตัวหนังสือทำให้เห็นสี จำนวน 121 สัดส่วนร้อยละ 69 หน่วยของเวลาทำให้เห็นสี จำนวน 42 สัดส่วนร้อยละ 24 เสียงพูดทำให้เห็นสี จำนวน24 สัดส่วนร้อยละ 14 เสียงทั่ว ๆ ไปทำให้เห็นสี จำนวน23 สัดส่วนร้อยละ 13 เสียงดนตรีทำให้เห็นสี จำนวน21 สัดส่วนร้อยละ 12 เสียงโน๊ตเพลงทำให้เห็นสี จำนวน16 สัดส่วนร้อยละ 9 ความรู้สึกเจ็บปวดทำให้เห็นสี จำนวน6 สัดส่วนร้อยละ 3.4 กลิ่นทำให้เห็นสี จำนวน5 สัดส่วนร้อยละ 3 บุคลิกลักษณะของคนทำให้เห็นสี จำนวน5 สัดส่วนร้อยละ 3 รสชาด ทำให้เห็นสี จำนวน 5 สัดส่วนร้อยละ 3 เสียงทำให้รุ้รสชาต จำนวน3 สัดส่วนร้อยละ 2 เสียงทำให้รู้สึกสัมผัส จำนวน3 สัดส่วนร้อยละ 2 ภาพทำให้รุ้รสชาด จำนวน3 สัดส่วนร้อยละ 2 สัมผัสทำให้รู้รสชาด จำนวน2 สัดส่วนร้อยละ 1 เสียงทำให้ได้กลิ่น จำนวน 1 สัดส่วนร้อยละ 0.6 อุณหภุมิทำให้เห็นสี จำนวน1 สัดส่วนร้อยละ 0.6 รสชาดทำให้รุ้สึกสำผัส จำนวน1 สัดส่วนร้อยละ 0.6 สัมผัสทำให้ได้กลิ่น จำนวน1 สัดส่วนร้อยละ 0.6 ภาพทำให้รู้สึกสัมผัส จำนวน 1 สัดส่วนร้อยละ 0.6 จากการศึกษาพบว่า ซินเนสทิต มักจะถนัด และมีความจำดีกว่าคนส่วนใหญ่ เช่น ในกรณีของเลขบัตรเครดิตยาว ๆ ก็จำง่ายเพราะเห็นสีสันต่าง ๆ เรียงกันไป แต่พวกเขามักจะหลงทิศทางได้ง่าย ๆ ละการคิดคำนวณอาจไม่ดีเท่าใด ส่วนทฤษฏีสมัยใหม่ ซึ่งเสนอโดย ไซมอน บารอน โคเฮน แลเพื่อนร่วมงาน ทีมวิจัยว่า ซินเนสทีเซีย น่าจะเกิดการพันธุกรรม เชื่อมต่อของเซลล์ประสาทในสมองที่มีมาก เกินพอดี ส่งผลให้การรับรู้ ของประสาทสัมผัสต่าง ๆ ปะปนกั เช่น การได้ยินเสียงกับการมองเห็น ฟังเพลงแล้วบอกว่าเห็นสี เป็นต้น พูดง่าย ๆ ก็คือ ทฤษฏีนี้ เชื่อว่า สมองของคนมีโครงสร้างทางกายภาพ แตกจากจากคนปกติ ทีมวิจัยของไซมอน ได้ศึกษาการทำงานของสมอง โดยใช้ เทคนค ไฟซิตรอนอิมิชชันโทโมกราฟี และสร้าง ภาพโดยฟังก์ชันนัล เอ็นเอ็มอาร์ (functhional-Nuclear Magnetic Resonance imaging) พบว่า เมื่อคนที่ เป็น ซินเนสทีเซีย ได้ยินเสียงสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็นก็ทำงานด้วย และทางด้าน ดร. ดาฟนี เมาเรอร์ นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแมคมาสเตอร์ เสนอต่อว่า คนเราทุกคนเกิดมาพร้อม ๆ กับเชื่อมของเซลล์ประสาทในสมองจำนวนมาก ซึ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์ซินเนสทีเซีย แต่เมื่อเราเติบโตขึ้น การเชือมต่อนี้จะลดลงไปสำหรับคนส่วนใหญ่ ประสาทสัมผัสแต่ละอย่างก็เลยแยกจากกัน แต่สำหรับคนพิเศษบางคน การเชื่อมต่อยังเหลือค้างอยุ่ ก็เลยทำให้ซินเนสทีเซีย บางคู่ของปราสาทสัมผัส ยังเชื่อมอยุ่ติดกัน ส่วน ปีเตอร์ กรอสเซนบาเซอร์ นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยนาโรปะ ที่ไม่เห็นด้วย บอกว่า จริงอยู่ที่ซินเนสทีเซียน่าจะเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม แต่ไม่จำเป็นที่สมองของคนที่รู้สึกเช่นนั้นจะมองแตกต่างไปจากคนปกติ อย่างเช่นคน ติดยาอี เห็นดอกไม้ ก็บอกว่าหวาน แต่พอยากหมดฤทธิ์ ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ปีเตอร์เสนอต่อว่า ในการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส อย่างใดอย่างหนึ่ง นั้น จะมีสัญญาณประสาทส่งไปยังสมองที่รับความรู้สึกหลาย ๆ อย่างร่วมกัน เช่น บริเวณร่องพับของขมับส่วนบน ที่อยู่ใกล้ ๆ ปลายด้านบนของหูข้างขวา จากนั้น สัญยษดังกล่าวจะถูกส่งกลับไปยังบรเวณที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกแต่ละอย่าง กันออกไป สำหรับสมองคนปกติ สัญญาณประสาทจะไม่ให้ ไปยังส่วนที่ไม่เกี่ยวกับความรู้สึกนั้น แต่สำหรับคนเป็นซินเนสทีเซีย การยับยั้งของสัญญาณไปยังสมอง เกิดการขัดข้อง ทำให้สัญญาณที่เกิดจากการฟังเสียงหลุดไปยังสมองส่วนการมองเห็น ก็จะเห็นเสียงกลายเป็นรูปร่างขึ้นมา ในที่สุด ผมว่ามันไม่ใช่อาการป่วย แต่มันเป็นลักษณะของพรสวรรค์อย่างนึงมากกว่า ลองจินตนาการดู หากเรามองเห็นดนตรีเป็นสีสรรค์ขึ้นมาเนี่ย เราคงสามารถสร้างท่วงทำนองที่วิจิตรขึ้นมา ไม่แม้เพียงคนที่มีอาการนี้จะรับรู้ได้เท่านั้น แต่ผู้คนปกติธรรมดา คงได้รับสัมผัสอันสวยงามนั้นผ่านเสียงเพลงได้แน่ๆ เห็นได้จากนักดนตรีหลายๆคนที่สร้างสรรค์เพลงระดับเทพออกมา มีอยู่หลายคนเหมือนกันที่มีอาการเช่นนี้ และอาจจะมีเทพอีกหลายคนเช่นกันที่มีอาการเช่นนี้แต่ไม่รู้จักอาการของตนเอง อาจจะด้วยว่าในสมัยนั้นๆไม่มีการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ซึ่งนั่นอาจจะทำให้เค้าคิดไปเองว่า สิ่งที่ตัวเองมีไม่ใช่เป็นสิ่งที่พิเศษกว่าคนธรรมดา อย่างเช่นบีโธเฟ่น ที่ประพันธ์ซิมโฟนีนัมเบอร์5ขึ้นมา ตัวของเขา หูหนวกชัดๆ แต่สามารถประพันธ์เพลงชั้นเทพขนาดนั้นออกมาได้ ผมว่าเขาคงมีการรับรู้อย่างอื่นเข้ามาแทนที่ประสาทหูที่เสียไป และการรับรู้ที่ว่า ผมว่าคงไม่พ้นอาการซินเนสเทียนี้หรอกครับ เริ่ด....
โดย: ผีกองกอย วันที่: 12 ตุลาคม 2549 เวลา:9:48:19 น.
|
บทความทั้งหมด
|