ตัวอย่างหน้า blog

จ้าวจอมปัญหา Tamron 17-50


: เข้าหน้าสารบัญหลักเพื่อดูทุกหัวข้อ..."คลิ๊กที่นี่"

บทความแนะนำ : ประสบการณ์ผ่านเต้า (ตัวเอง)..."คลิ๊กที่นี่"

บทความแนะนำ : สวนหย่อมลอยฟ้าราคาประหยัด..."คลิ๊กที่นี่"

บทความแนะนำ : สวนกล้วยลอยฟ้าบนอาคารสูง 6 ชั้น..."คลิ๊กที่นี่"




**บทความที่เกี่ยวข้อง “AF-S VR 70-300 f/4.5-5.6G IF-ED” ":คลิ๊กดู "คุณชายเทเล อินสเปคถูกใจใช่เลยสำหรับเรา...ได้ที่ลิงค์นี้":"

**บทความที่เกี่ยวข้อง “AFAF-S DX 16-85 f/3.5-5.6G ED VR” ":คลิ๊กดู "คุณชายอรรถประโยชน์ ตอน Test 16-85 ครั้งแรก...ได้ที่ลิงค์นี้":"

**บทความที่เกี่ยวข้อง “AFAF-S DX 16-85 f/3.5-5.6G ED VR” ":คลิ๊กดู "คุณชายอรรถประโยชน์ ตอน Test 16-85 ตะลุยกลางพิธี...ได้ที่ลิงค์นี้":"

“กว่าจะได้มา DSLR” จากที่ไม่รู้เรื่องการถ่ายภาพเลย เมื่อมีกล้องดิจิตอลคอมแพ็ครุ่นเล็ก Canon S30 ใช้เป็นครั้งแรก แต่อยากได้ภาพมากกว่าการกดเล่นทั่วไป จึงมีการหัดใช้โหมดแมนนวล และบางสถานการณ์ที่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง ตลอดจนการใช้อุปกรณ์ขยายในการถ่ายมาโคร ซึ่งจะมีสองชนิดคือ เลนส์มาโครและโคสอัพฟิลเตอร์ (เลนส์มาโครจะมี 2 ชิ้น หากใช้ประกบกันจะได้เป็น Wide แต่ถ้าใช้ชิ้นเดียวเป็นเลนส์ช่วยขยาย ส่วนโคสอัพฟิลเตอร์มี 3 ชิ้น ขนาด +4 +2 +1 ตามลำดับ) ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการถ่ายภาพในระดับอนุบาลของเรา **ชมภาพตัวอย่างจากกล้องรุ่นนี้ พร้อมติดอุปกรณ์ช่วยในการขยายบางส่วน ":สามารถคลิ๊กดูภาพถ่ายจาก Canon S30 ได้ที่ลิงค์นี้:" หลังจากนั้นเรามีโอกาสได้จับดิจิตอลคอมแพ็คในระดับโปรซูมเมอร์ Sony DSC-F707 ทำให้เราพบกับความเปรียบต่างของกล้องที่ต่างระดับกัน ซึ่งมันเป็นสาเหตุทำให้เราเริ่มเข้าใจบางอย่างมากขึ้น บางคำถามที่เคยสงสัยค้างไว้หลายเดือนที่ผ่านมา (ช่วงที่ยังใช้คอมแพ็ครุ่นเล็ก) ทำให้เราพอจะเข้าใจได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีคนอื่นมาคอยตอบ แต่คำถามที่เหลืออีกมากมายยังไม่สามารถหาคำตอบได้ในช่วงนี้ จากกล้องคอมแพ็คที่ใช้มาทั้ง 2 ตัว เป็นที่แน่นอนว่ากล้องในระดับที่สูงกว่า ย่อมมีประสิทธิภาพในหลาย ๆ ด้านดีกว่า เลนส์ใหญ่ขึ้น รูรับแสงที่ F2.0-2.4 ทำให้การถ่ายง่ายขึ้น การบังคับและฟังก์ชั่นต่าง ๆ มีให้เลือกใช้มากกว่า คุณภาพที่ได้ก้อต่างกัน ทำให้เราไม่หันกลับไปใช้คอมแพ็ครุ่นเล็กอีกเลย ดังนั้นในขั้นนี้เราเริ่มเข้าสู่การถ่ายภาพระดับประถมแล้ว ช่วงหลังของการใช้ F707 หลายครั้งที่เราเกิดภาวะทุรนทุรายลึซึ่ม คือเหมือนความต้องการมันมากขึ้น แต่คอมแพ็คมันตอบสนองได้ไม่ครอบคลุม เมื่อเข้าสู่ปลายปี 2550 คอมแพ็คคู่ใจ F707 เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลวฉับพลัน เราตัดสินใจซื้อ Sony F717 เป็นของมือสองสภาพใหม่ไร้ตำหนิทันที หากนานกว่านี้คงจะหาลำบาก เพราะกล้องตระกูลนี้ไม่มีวางขายอีกแล้ว เราซื้อมาในราคา 8,000.- เพราะต้องบันทึกการเลี้ยงกล้วยที่ระเบียงของเรา และอยู่ในช่วงการรอ DSLR รุ่นใหม่ที่อาจจะคลอดออกมาในช่วงอีกไม่นานนี้ เมื่อถึงเวลานั้นเราจะเก็บ F717 ไว้เป็นตัวสำรองประจำที่ออฟฟิต เพราะมักจะมีงานด่วนจากบิ๊กบอสที่มักจะมาแบบไม่บอกกล่าวล่วงหน้าเสมอ จะได้ไม่ต้องหอบมาหอบไปให้ยุ่งยากอีกนะคะ


หลายคนบอกว่าในระดับกล้องคอมแพ็คระดับโปรซูเมอร์ที่ 5 ล้านพิกเซล ยังไม่มีค่ายไหนมาล้มแชมป์กล้องตระกูล F ของโซนี่คือ F707 และ F717 ลงได้ สำหรับเราก้อไม่ทราบ เพราะประสบการณ์ในการใช้กล้องน้อยมาก แต่เป็นกล้องที่ไม่ทำให้เราผิดหวังเลย **สามารถดูภาพประกอบจากกล้องรุ่นนี้ พร้อมติดอุปกรณ์ช่วยในการขยายบางส่วน ซึ่งเป็นต้นฉบับไม่มีการปรับแต่ง ":สามารถคลิ๊กดูภาพต้นฉบับจากกล้อง Sony DSC-F707 ได้ที่ลิงค์นี้:" กับภาพที่ถ่ายจำนวนมากที่ถ่ายไว้ทุกแนว ทำให้หลายคนมักจะถามว่าทำไมจึงใช้ Sony เพราะเห็นว่าเราเข้าขั้นการถ่ายลึซึมไปแล้ว ซึ่งบ้ามากขนาดนี้น่าจะเป็นยี่ห้อพิมพ์นิยมมากกว่า และดูเหมือน Sony เป็นยี่ห้อที่อยู่นอกเป้าหมายตั้งแต่กลุ่มมือสมัครเล่นขึ้นไป เราก้อไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมต้องเป็น Sony เพราะได้มาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ในความรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้นกลับเป็นความโชคดีสำหรับเรา เพราะกล้องรุ่นนี้ถือว่าเป็นกล้องที่ดีตัวหนึ่ง ด้วยรูรับแสงที่ค่อนข้างกว้างที่ F2.0-2.4 สามารถถ่ายภาพบุคคลในระดับครึ่งตัวได้ดี เมื่อติดอุปกรณ์ในการขยายก้อให้ภาพที่พอใจในระดับหนึ่ง และมันเป็นจุดเกิดให้เราได้ภาพทุกแนวที่อยากได้ แต่ถ่ายออกมาได้ดีหรือเปล่าเราก้อไม่รู้ หากเรายังใช้คอมแพ็ครุ่นเล็กอยู่อาจไม่ลึซึ่มมากขนาดนี้ เพราะตัวนี้มันทำได้ดีกว่ามาก ๆ ชนิดเทียบแล้วไม่เห็นฝุ่นเลย ดังนั้นมันจึงทำให้สนุกกับการถ่ายภาพมากขึ้นจนถึงขั้นฉุดไม่อยู่ สำหรับคอมแพ็ครุ่นเล็ก Canon S30 ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของคุณน้องสาว ส่วนคอมแพ็คระดับโปรซูเมอร์ Sony DSC-F707 เรายังคงเก็บซากไว้เป็นกล้องในตำนาน และ Sony DSC-F717 ปัจจุบันถูกเก็บไว้ที่ออฟฟิตสำหรับงานด่วนของบิ๊กบอส **แต่การไต่ระดับไปเล่นอุปกรณ์ที่สูงกว่านี้ สำหรับเราต้องไม่ใช่ Sony แน่นอนนะคะ


เวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงมาถึงแล้ว รอไปรอมา แต่รุ่นใหม่ไม่ยอมคลอดออกมาเสียที ประกอบกับราคาดิ่งลงเหวไปพอสมควร จึงตัดสินใจซื้อซะทีนะคะ ดูเหมือนคนไม่เคยสังกัดค่ายแบบเราน่าจะเลือกข้างง่าย แต่กว่าจะเลือกได้สับสนเหมือนกัน ซึ่งเราจะใส่ใจในเรื่องน้ำหนักเป็นสำคัญ เพราะดูเหมือนน้ำหนักจะเป็นปัญหากับเรามากที่สุด เนื่องจากเป็นคนตัวเล็กที่มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์มาตราฐาน และเราชอบความคล่องตัวสูง ดังนั้นการแบกอะไรมาก ๆ จะทำให้ความคล่องตัวเราลดลง ซึ่งมันจะทำให้เราไม่มีความสุขและอึดอัด ดังนั้นในเรื่องของน้ำหนักเรามองไปที่ 450D มากกว่า D80 ในขณะเดียวกันเราก้อซีเรียสเรื่องคุณภาพของไฟล์ภาพด้วย เพราะเราชอบไฟล์ภาพของนิคอนมากกว่า พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าไฟล์ภาพของนิคอนดีกว่าของแคนนอน ตรงนี้มันขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละคน ซึ่งมันก้อเป็นไปได้ว่าบางคนชอบไฟล์นิคอน แต่อาจตัดสินใจซื้อแคนนอนด้วยเหตุผลอย่างอื่นก้อได้ ทีนี้ประโยคหนึ่งที่ว่า “ความรัก ทำให้คนเรายอมได้ทั้งนั้น” มันก้อขึ้นอยู่กับว่าเราจะยอมหนักหรือยอมคุณภาพไฟล์ ต้องเลือกเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น แต่เมื่อนำกล้องทั้งสองตัวมาปะทะโฉมกัน เราพบว่าขนาดและน้ำหนักมันไม่แตกต่างกันมากนัก และที่สำคัญหากมองด้วยความเป็นกลางพบว่า D80 หล่อกว่ามากมายจนดูว่าคนละเรื่องเลย ดังนั้นเราก้อหวังว่าความรักในการถ่ายภาพของเราคงจะทำให้เราชินกับน้ำหนักที่จะต้องแบกมากกว่ากว่าปกติได้ในที่สุด สุดท้ายเราจึงตัดเรื่องน้ำหนักของกล้องออกไป เลือกที่คุณภาพของไฟล์แทน สำหรับน้ำหนักของเลนส์ที่จะใช้ก้อเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนสเปคอื่นที่มาเทียบกันช็อตต่อช็อตลืมไปได้เลย ไม่มีอะไรต้องเก็บมาคิดมากนะคะ


เราซื้อ D80 มาแต่บอดี้ เพราะเทพประธานทั้งหลายจะร่วมด้วยช่วยกันประทานเลนส์มาให้ยืมทดลองใช้ก่อนสักระยะหนึ่ง เมื่อเรียนรู้จากเลนส์เหล่านี้แล้วค่อยมาตัดสินใจซื้อเลนส์ตัวแรกอีกครั้งหนึ่ง เลนส์ที่เทพประธานท่านประทานมาให้ทดลองใช้นี้มีทั้งหมด 4 ตัว ซึ่งสามตัวแรกเป็นเลนส์ค่าย มีเลนส์นอกค่ายตัวเดียว (50 f/1.8) (18-70 Kit) (85 f/1.8) (100 Macro Tokina F2.8) เราใช้เลนส์ในกลุ่มนี้น้อยที่สุดคือ 2 สัปดาห์เศษ และมากที่สุดคือเกือบ 1 เดือน จากนั้นมีการทะยอยเลนส์คืนกลับไปยังเจ้าของเดิมแต่ละท่าน ตลอดการทดลองใช้กล้องและใช้เลนส์ทั้ง 4 ตัว ไม่พบปัญหาอะไรเลย แต่ด้วยเพราะเราชินกับคอมแพ็คมานาน ทำให้ต้องปรับตัวมาก ปัญหาแรกที่หงุดหงิดคือเหมือนว่าโฟกัสไม่ค่อยชัด ถ้าโฟกัสไม่ชัดก้อไม่ต้องทำอะไรแล้ว แต่มันเป็นเพราะว่าเราอาจคาดหวังใน DSLR มากเกินไปในช่วงที่ยังไม่รู้อะไรก้อเท่านั้นเอง สุดท้ายประสบการณ์มันจะบอกเราได้ในที่สุด เนื่องจากเราไม่รู้อะไรทั้งนั้น จึงไม่สามารถคุยเรื่องการใช้เลนส์แต่ละตัวได้ แต่พอจะพูดแบบโง่ ๆ ก้อคือมันถ่ายภาพได้หมดเลย อย่าง 50 และ 85 ส่วนใหญ่เขาไว้ถ่ายคน แต่เราก้อเอามาถ่ายสวนกล้วยแบบเจาะ ๆ และถ่ายน้องนกได้ ฯลฯ และแน่นอนเลนส์ 85 ให้สีของไฟล์สวยกว่าเลนส์ 50 แต่คนทั่วไปเขาแยกกันไม่ออก ในขณะที่ราคาต่างกันมาก และสถานการณ์ในการใช้ 50 กับ 85 มันก้อต่างกัน ในที่แคบใช้ 85 จะบ้าได้ง่าย ๆ แต่เลนส์ 50 จะช่วยทำได้ดีกว่า สำหรับ 100 มาโครโตคีน่า ภาพคมดี สีสวย สำหรับเราไม่ผิดหวังถ้าอยากจะใช้มาโครนอกค่ายตัวนี้ แต่เลนส์มาโครสำหรับเราต้องเป็นเลนส์ค่ายเท่านั้น ส่วน 18-70 ยังรู้สึกเฉย ๆ แต่ประทับใจเจ้าของเลนส์ (ฮา) ชอบที่ว่าได้สวนกล้วยเราในมุมกว้าง และทำให้รู้ว่าองศารับภาพที่ 18 ยังไม่พอสำหรับเรา ต้องการกว้างอีกแค่นิดหน่อย พอจะมีภาพนำร่องที่เกิดขึ้นในภาวะช่วงการฝึกทดลองใช้กล้องและเลนส์ทั้ง 4 ตัว เป็นการลองโฟกัสให้ชัดอย่างเดียว แต่ไม่ว่าจะยังไงก้อตาม ต้องกราบขอบพระคุณ 2 เทพประธานจากเน็ตที่ประทานเลนส์ท่านละ 1 ตัว (50 และ 18-70) มาให้เราได้เรียนรู้ ส่วนอีก 2 ตัว (85 และ 100 มาโคร) เป็นของระดับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทฯ ในกลุ่มเดียวกัน เมื่อทราบว่าเราซื้อกล้อง แต่ยังไม่ได้ซื้อเลนส์ กำลังหัดใช้เลนส์ของคนอื่นอยู่ ท่านก้อเวทนาสงสารส่งมาให้ยืมทดลองใช้ และ 100 มาโครโตคีน่า ท่านซื้อมายังไม่ได้ใช้เลย มันก้อเป็นเรื่องขำ เพราะเลนส์ที่เราต้องการสองตัวแรกไม่ใช่ 2 ใน 4 ตัว ที่ระดับเทพประธานท่านประทานมาให้ยืมทดลองใช้เลยนะคะ





















“Tamron SP AF 17-50MM F/2.8 XR Di II LD Aspherical (IF)” สามสัปดาห์ของการหัดทดลองใช้เลนส์จากเทพประธานผ่านไป โง่อยู่ยังไงก้อยังโง่อยู่เหมือนเดิม แต่เราควรจะตัดสินใจเลือกเลนส์ตัวแรกได้เสียที ซึ่งหวยเลนส์ไปตกอยู่ที่คุณชายทำหล่น Tamron 15-70 F2.8 ด้วยเหตุผล 3 ประการ คือหวังผลที่ f2.8 ตลอดช่วง และคุณชายทำหล่นเริ่มองศารับภาพที่ 17 (เลนส์ที่ยืมมาทดลองใช้มาก่อนหน้านี้คือ 18-70) คือเราต้องการกว้างมากกว่า 18 แค่นิดหน่อย พอมาได้ที่ 17 ก้ออยากได้กว้างอีกนิดนึง แต่ไม่ได้ซีเรียส เพียงแต่กว้างอีกนิดหนึ่งก้อน่าจะดีเหมือนกัน ส่วนกว้างมาก ๆ ยังไม่ต้องการในตอนนี้ และเลนส์ตัวแรกมันควรจะเป็นช่วงกลาง ๆ ไว้เก็บประสบการณ์ได้หลากหลายหน่อย หลัก ๆ เราจะต้องถ่ายสวนกล้วยลอยฟ้าที่ระเบียงห้องในสภาพแสงน้อยและต้องการเก็บมุมกว้างด้วย ก่อนซื้อเลนส์ตัวแรกนี้ได้ค้นข้อมูลมามากพอสมควร ปรึกษาเทพประธานมากกว่า 2 ท่าน ข้อมูลที่ค้นพบส่วนใหญ่ในอินเตอร์เน็ตจะพูดถึงปัญหาในการโฟกัสช้า หรือโฟกัสยากในที่มีแสงน้อย รวมถึงมีเสียงวี๊ดว้ายอยู่บ้าง เอาเป็นว่าเราดูจากข้อมูลโดยรวมส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเลวร้ายที่เราน่าจะรับไม่ได้ และหลายคนไม่พบปัญหาอะไร เลนส์ตัวนี้ซื้อประกันร้าน ราคาหมื่นต้น ๆ ภายใน 1 เดือน หากพบว่ามีปัญหาที่เกิดจากตัวเลนส์ ทางร้านจะเปลี่ยนตัวใหม่ให้ แต่ยังคงรับประกันต่อเนื่อง 1 ปี เป็นรุ่นที่มีมอเตอร์ ผลิตในญี่ปุ่นนะคะ



ปัญหาที่พบตลอดการใช้งานคือมักจะโฟกัสไม่ได้อย่างไม่มีเหตุผล เราจะรับได้เฉพาะการโฟกัสยากในที่แสงน้อยเท่านั้น แต่การโฟกัสยากที่พบมันเกิดขึ้นในทุกสภาพแสง เช่น Out Door ทั้งในตอนเช้า ตอนเที่ยง และตอนเย็น หรือ In Door ตอนเช้า และบ่าย รวมถึงตอนกลางคืน คืออาการแบบนี้ไม่ได้เกิดตลอดเวลา มันเกิดขึ้นสักพักหนึ่งแล้วก้อหายไปได้ด้วยการปิดเครื่อง หรือหมุนโฟกัสด้วยมือนำร่องไปนิดหนึ่ง (แต่ก้อแก้ได้ไม่ทุกครั้ง) บางทีเปิดปิดเครื่องหลายครั้งจึงจะโฟกัสได้ ในขณะที่บางครั้งเปิดปิดเครื่องเพียงครั้งเดียวก้อใช้ได้แล้ว คือเอาแน่นอนไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าคุณชายทำหล่นท่านจะคลุ้มคลั่งตอนไหน เดาใจไม่ถูกเลย หลายครั้งมีอาการ Error โดยขึ้นตัวอักษรตัวเอฟแล้วตามด้วยอีก 2 ขีด (F- -) ถ่ายได้อยู่ดี ๆ ไปสักช่วงหนึ่งก้อไม่สามารถถ่ายได้เพราะเกิดอาการนี้ หรือบางทีเปิดเครื่องขึ้นมาเจอเลย ต้องปิดเครื่องแล้วเปิดใหม่ ครบสองสัปดาห์ของการใช้งานเราส่งคืนเพื่อเปลี่ยนตัวใหม่ ถึงเวลาไปรับคุณชายทำหล่นตัวที่สอง เรากลับมาด้วยความมั่นใจ จะซวยซับซวยซ้อนก้อให้มันรู้ไป แต่คราวนี้หนักกว่าเดิมประมาณว่าดับเบิ้ลซวยเลย เพราะอาการเก่า ๆ ทั้งนั้น ตัวแรกยังเว้นช่วงนานหน่อย แต่ตัวนี้ถี่ยิบเลย เราไม่อยากให้คนที่หลงเข้ามาวิตกจริตจากปัญหาของเรา เพราะส่วนใหญ่นำมาใช้แล้วไม่มีปัญหา ยกเว้นโฟกัสไม่ได้หรือวืดในสภาพแสงน้อย เพียงแต่เราอยากนำประสบการณ์จริงมาเล่าให้ฟังเฉย ๆ และใคร ๆ ก้อบอกเราว่า "เราโชคดีจ่ายเงินครั้งเดียว แต่ได้ใช้เลนส์มากกว่าคนอื่น" แถมเจอปัญหาที่คนส่วนใหญ่ไม่เจอ เมื่อเจอแล้วก้อเอาไปเปลี่ยนตัวใหม่ได้นี่นะ



พนักงานที่ร้านบอกว่าลองนำไปถ่ายแล้วพบว่าโฟกัสยากกว่าปกติจริง แต่เขาแค่ทดลองถ่ายใน Out Door เท่านั้น ส่วนอาการอื่น ๆ ยังไม่พบเหมือนที่เราเจอ จากนั้นเขาส่งเข้าศูนย์ ซึ่งทางศูนย์แจ้งกลับมาว่าเลนส์ตัวแรกที่ส่งคืนไป ได้นำไปทดลองถ่ายแล้ว ไม่พบอาการใด ๆ และยังได้รับข้อมูลเพิ่มเติมว่ามันอาจเป็นไปได้ เพราะเคยมีคนนำไปใช้กับ D300 ตัวที่หนึ่งพบว่ามีปัญหา แต่เมื่อนำไปใช้กับ D300 อีกตัวหนึ่งกลับไม่มีปัญหา และเลนส์รุ่นนี้ในสิบตัวที่ผลิตออกมาอาจมีปัญหาได้ถึง 2-3 ตัว เราแจ้งกลับไปว่าเลนส์ตัวที่สองที่เปลี่ยนมาก้อมีปัญหาเช่นเดียวกัน แต่คลุ้มคลั่งมากกว่าเดิม ช่วงที่รอเคลมตัวที่สองประมาณ 3-4 วัน เราหยิบ 50 f/1.8 ซึ่งเป็นเลนส์จากเทพประธานที่เหลืออยู่เพียงตัวเดียว อยู่ในระหว่างการรอเจ้าของมารับคืน เราหยิบขึ้นมาถ่ายเล่นไปก่อน พบว่าไม่มีอาการผิดปกติอะไรเลย เลนส์ที่เคยยืมมาใช้ก่อนหน้านี้ทั้งหมดไม่พบปัญหาอะไรอีกเช่นเดียวกัน แสดงว่าเจ้ากรรมนายเวรคงอยู่ที่คุณชายทำหล่นแต่เพียงผู้เดียว มันเป็นเวรกรรมของเราแล้ว ไปหล่นที่ไหนก้อไม่ไป ดันมาหล่นที่เราถึงสองตัวซ้อน แต่ทางร้านยินดีที่จะให้เราเปลี่ยนอีกตัวหนึ่งเป็นตัวที่สามค่ะ



ตั้งใจจะไปเคลมตัวที่สามมาใช้ คงมีสักตัวที่ไม่มีปัญหาเหมือนคนอื่นเขา แต่วันสิ้นสุดความอดทนก้อมาถึง เพราะเช้าวันนั้น วันที่เราจะเอากล้องไปเคลมอีกครั้ง เราเห็นพ่อกระติ๊ดและแม่กระติ๊ดมาเกาะที่สวนกล้วยลอยฟ้าเป็นครั้งที่สอง (ปกติมักจะเห็นตัวเดียว) จึงคว้าคุณชายทำหล่นไปยิงทันที แต่โฟกัสไม่ได้ เราเปิดปิดเครื่องประมาณ 6 ครั้งก้อยังโฟกัสไม่ได้เหมือนเดิม มาโฟกัสได้อีกครั้งหลังแม่กระติ๊ดเข้ารังไปแล้ว วินาทีนั้นเราบอกกับตัวเองว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไประหว่างเรากับคุณชายทำหล่นถือสิ้นสุดต่อกัน ชาติหน้าก้อไม่ต้องมาเจอกันอีก เจอช็อตที่รอคอยมาตลอด แต่ดันโฟกัสไม่ได้แบบไม่มีเหตุผลรับไม่ได้ค่ะ ไปไกล ๆ จากชีวิตเราได้แล้ว ไม่อยากจะคุย...ซื้อกล้องก้อกินข้าวกะน้ำปลา ซื้อเลนส์ตัวนี้ไม่มีจะกินแล้ว ยิ่งรวย ๆ อยู่ ทางบ้านก้อมีฐานะยากจน ยังจะมีปัญหาให้เราช้ำใจอีกขอบอก...โกรธคุณชายทำหล่นมาก...สุดท้ายเราตัดสินใจเด็ดขาด แน่นอน มั่นคง ไม่ยอมให้มาหล่นเป็นตัวที่สามอีก เราตัดสินใจโยนมันทิ้งไปเลย (ไปโยนทิ้งที่ร้าน แล้วเปลี่ยนเอาเลนส์ค่ายมาใช้แทน) ปัจจุบันมันกลายเป็นตำนานที่แย่มากสำหรับเราไปแล้ว ความจริงแล้วเราชอบคุณชายทำหล่น เพราะสามารถเก็บสวนกล้วยลอยฟ้าของเราได้ดีในระดับหนึ่ง ซึ่งแสงน้อยทั้งกลางวันและกลางคืน ถือเป็นงานหลักที่เราจะต้องใช้เป็นประจำ ให้ความไวแสงที่น่าพอใจ แถมราคาก้อไม่แพง โคสอัพพวกดอกไม้ใบไม้ก้อทำได้ ถ่ายคนก้อพอไหว ไม่มีภาพให้ดูมากนัก เพราะอารมณ์ไม่ดีตลอดการใช้งานทั้ง 2 ตัว ไม่ต้องไปถ่ายที่ไหนเลย อยู่ที่ห้องและโรงงานทั้งหมด เบรคหน้าพบกับเลนส์ตัวใหม่ที่จะมาแทนคุณชายทำหล่นนะคะพี่น้อง



















ขอให้มีความสุข ณ จ้ะ




 

Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2554
0:52:03 น.

Your name
 

Location :

 
 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com