ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
14 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 
วชิระ เวทภพ สยบมาร (7) สายฟ้า เมฆา และ วายุ

อาวุธที่สำคัญของ วายุ ไม่ใช่ หอก แต่เป็นกระบอกอันนี้ กระบอกลมหวน นี้ถูกจัดสร้างขึ้นเพื่อใช้สำหรับรับมือกับนักเวทโดยเฉพาะ โดยมันจะดึงดูดพลังเวทไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใดให้เข้าไปหาแล้วสะท้อนกลับออกมาโดยผู้ใช้จะไม่ได้รับอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น

และผู้ที่ใช้มันก็ไม่จำเป็นจะต้องมีพลังเวทเพราะมันทำงานได้โดยการดูดพลังกายของผู้ใช้

วชิระ ยังคงรวมสมาธิเพื่อร่ายเวทใหม่อีกครั้ง มันแม้จะได้เห็นการทำงานของ กระบอกลมหวน ไปแล้ว แต่ก็ยังคงคิดจะโจมตีด้วยเวทอยู่อีก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมันมั่นใจในการโจมตีครั้งนี้หรือเป็นเพราะมันไม่มีวิธีอื่นให้ใช้ได้อีกแล้วกันแน่

วายุ และ เมฆา ใกล้จะทำลายค่ายกลดาวหกแฉกได้แล้ว พวกมันมั่นใจว่า วชิระ จะมีโอกาสร่ายเวทได้อีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งเดียวและเป็นครั้งสุดท้าย เพราะหากพวกมันหลุดออกจากค่ายกลไปได้ พวกมันก็มั่นใจว่าต้องสามารถสยบ วชิระ ได้อย่างแน่นอน

ประกายในหัวไม้เท้าค่อยๆ สว่างขึ้น คราวนี้มันไม่เพียงเป็นประกายสีเหลืองเรืองรองเท่านั้น แต่กลับสว่างขึ้นจนกลายเป็นแสงสีขาวเจิดจ้า แสดงว่าครั้งนี้ วชิระ ใช้พลังเวทที่รุนแรงมากกว่าทุกๆ ครั้ง หรือมันคิดจะใช้พลังเวทที่รุนแรงเข้าปะทะทำลาย กระบอกลมหวน ให้ย่อยยับไป

วายุ เมื่อเห็นเช่นนี้เข้าก็เริ่มวิตกกังวลขึ้นเช่นกัน ตัวมันเองก็ยังไม่รู้จักประสิทธิภาพของ กระบอกลมหวน นี้ดีนัก เพราะตั้งแต่ได้รับมอบมาครั้งนี้ก็พึ่งเป็นครั้งแรกที่มันได้ทดลองใช้จริง

มันก็ไม่รู้ว่าเจ้ากระบอกนี้จะสามารถต้านทานพลังเวทได้มากสักเพียงไหน แต่ตอนนี้มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นให้เลือกอีกแล้ว มันจำเป็นต้องเชื่อมั่นในอาวุธที่อยู่ในมือของมันนี้

สายตาทั้งสามคู่มาประสานกัน ทั้งสองฝ่ายต่างพร้อมแล้ว คำถามที่มีอยู่ในใจของทั้งสองฝ่ายกำลังจะได้รับคำตอบ วชิระ โบกไม้เท้าในมือชี้ตรงไปที่คนทั้งสอง

สายฟ้าขนาดใหญ่หลายสายพากันพวยพุ่งออกมา แต่คราวนี้พวกมันม้วนพันกันเป็นเกลียวจนกลายเป็นสายฟ้าขนาดมหึมาเพียงเส้นเดียว เมฆา และ วายุ ก็ขยับตัวด้วยท่วงท่าเดิม วายุ ชู กระบอกลมหวนขึ้นเหนือหัวมันอีกครั้ง

สายฟ้ามหึมาสายนั้นยังคงพุ่งตรงเข้าหาร่างของคนทั้งสอง แต่ในที่สุดเมื่อพุ่งเข้ามาใกล้มันก็ค่อยๆ เบี่ยงเบนทิศทางขึ้นทีละน้อยๆ วายุ นั้นตอนนี้ถึงกับลืมตัวกัดฟันไว้จนแน่น

ในครั้งแรกที่มันรับพลังเวทของ วชิระ ไว้ มันแทบจะไม่รู้สึกอันใดทั้งสิ้น แต่คราวนี้พอพลังเวทปะทะกับ กระบอกลมหวน มันถึงกับรู้สึกเข่าอ่อนหมดเรี่ยวแรงขึ้นมาอย่างฉับพลัน

แขนซ้ายของมันนั้นตอนนี้ก็รู้สึกร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวกระบอกเองก็ส่องแสงสว่างจนไม่อาจมองเห็นตัวอักษรที่สลักอยู่ได้เลย แต่ในที่สุดสายฟ้ามหึมาเส้นนั้นก็หายเข้าไปใน กระบอกลมหวน จนหมดสิ้น

วายุ แม้จะสูญเสียเรี่ยวแรงไปมากแต่ก็ยังกัดฟันทนเอาไว้ได้ สายฟ้าเริ่มค่อยๆ ทยอยพุ่งกลับออกมาจากตัวกระบอกลงสู่พื้นดินรอบตัวพวกมัน สายฟ้าที่พุ่งกลับออกมานี้กระจายตัวออกเป็นเส้นเล็กๆ จำนวนมากมาย

วายุ และ เมฆา ต่างระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก พวกมันทั้งสองต่างตื่นเต้นลืมตัวจนถึงกับเผลอกลั้นลมหายใจเอาไว้

วชิระ พอเห็นเหตุการณ์เป็นไปดังนั้นแล้ว มันก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ไม้เท้าเวทที่อยู่ในมือถูกยกชูขึ้น ตราสัญลักษณ์ผนึกภูติทั้งหกต่างก็เรืองแสงขึ้นจากเดิมอีกเล็กน้อย

เหล่า หิ่งห้อยสายฟ้า พากันเปลี่ยนรูปแบบการเคลื่อนที่ไปจากเดิม พวกมันเลิกบินเป็นค่ายกลแล้วพากันบินเข้าสู่สายฟ้าที่สะท้อนออกมาจาก กระบอกลมหวน แทน หากเปรียบสายฟ้าเหล่านี้เสมือนว่าเป็นกองไฟแล้วล่ะก็ พวกมันก็กลับกลายเป็นแมงเม่าที่พากันบินเข้าไปเล่นไฟนั่นเอง

แต่พวกมันเป็นภูติสายฟ้าย่อมไม่เกรงกลัวต่อสายฟ้า ในทางกลับกันสายฟ้ากลับจะช่วยเพิ่มพลังให้กับพวกมันอีกด้วย แสงในตัวของพวกมันสว่างขึ้นยิ่งกว่าเดิม

สายฟ้าที่สะท้อนกลับออกมาจากกระบอกบางส่วนยังคงพุ่งลงสู่พื้นดิน แต่ในส่วนที่พุ่งมาโดนตัวของพวกมันต่างพากันสะท้อนกลับคืนสู่กระบอกอีกครั้ง

พวกมันบินวนเวียนไปมาโดยรอบอย่างรวดเร็ว สายฟ้าที่พุ่งลงสู่พื้นดินหมดสิ้นลงแล้ว แต่สายฟ้าที่ยังเหลืออยู่จำนวนมากในตอนนี้สะท้อนกลับไปกลับมาระหว่าง กระบอกลมหวน กับ หิ่งห้อยสายฟ้า ทั้งหกที่บินวนเวียนอยู่โดยรอบ

วายุ พึ่งเข้าใจเป้าหมายที่แท้จริงของการจู่โจมครั้งนี้ พละกำลังของมันค่อยๆ ถูกเจ้า กระบอกลมหวน ดูดไปอย่างไม่หยุด แม้จะไม่รุนแรงเหมือนกับตอนที่มันรับมือกับสายฟ้าขนาดมหึมาเส้นนั้นแต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ มันย่อมต้องหมดเรี่ยวแรงในที่สุด

และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือกระบอกที่อยู่ในมือของมันนั้นกำลังร้อนมากขึ้นๆ ตอนนี้มันรู้สึกเหมือนกับใช้มือเปล่าถือแท่งโลหะเข้าไปจ่ออยู่กับเปลวไฟ

วชิระ คอยจับตาดูอยู่ว่าพวกมันทั้งสองคนจะทำประการใด มันความจริงก็ไม่รู้ว่า กระบอกลมหวน ทำงานได้ด้วยการดูดพลังของผู้ใช้ หรือ เรื่องที่ตัวกระบอกจะร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ หากทำงานติดต่อกัน

แต่มันเพียงคาดเดาว่าอาวุธสะท้อนเวทแบบนี้จะต้องมีขีดจำกัดอยู่ หากถูกโจมตีต่อเนื่องติดต่อกันเช่นนี้จะต้องเกิดความเสียหายไม่ประการใดก็ประการหนึ่งขึ้นอย่างแน่นอน

วายุ ยังคงไม่อาจคิดหาหนทางออกได้ หากมันปล่อย กระบอกลมหวน ไปในตอนนี้ สายฟ้าก็จะฟาดเข้าใส่พวกมันทั้งคู่ทันที แต่มันก็ไม่อาจทนอยู่แบบนี้ได้อีกต่อไปแล้ว

เรื่องพลังกายนั้นมันยังมีเหลืออยู่ แต่มันรู้สึกว่ามือของมันกำลังเริ่มไหม้พองแล้ว และหากไม่ใช่มันคิดไปเองแล้วล่ะก็ มันก็ว่ามันได้กลิ่นเนื้อไหม้โชยมาในสายลมด้วย

ทันใดนั้น วายุ พลันยิ้มออกมา ผู้ที่มันยิ้มให้ก็คือ เมฆา ที่อยู่ในมือของมันนั่นเอง เมฆา เองก็จ้องหน้ามันแล้วรีบส่ายหน้าทันที ทั้งสองคนคล้ายเข้าใจในความคิดของกันและกัน เมฆา รีบพูดขึ้นว่า

“เจ้าไม่อาจ…”

แต่มันพูดได้เพียงแค่นั้น วายุ ก็ลงมือแล้ว มันสะบัดมือซ้ายขวาออกพร้อมๆ กัน มือซ้ายซัด กระบอกลมหวน เข้าใส่ วชิระ ส่วนมือขวาก็ซัด เมฆา กลับไปทางด้านหลัง ตัวมันเองกลับกางแขนทั้งสองข้างออกเป็นกำแพงยักษ์ขวางกลางระหว่าง วชิระ กับ เมฆา เอาไว้

มันรู้ตัวว่าคราวนี้มันไม่มีทางรอดแล้ว แต่ เมฆา นั้นยังพอมีหนทางอยู่ แต่หากเหลือ เมฆา อยู่เพียงผู้เดียวย่อมไม่อาจรับมือ วชิระ ได้ ดังนั้นมันจึงจงใจซัด เมฆา ไปทางด้านหลังเพื่อหวังให้มันสามารถหลบหนีไปได้

วายุ ถึงกับยินยอมตายในที่นี้แต่ผู้เดียว แสดงว่าน้ำมิตรที่คบหากันมาหลายสิบปีระหว่างมันกับ เมฆา นั้นผูกพันกันลึกซึ้งยิ่งนัก

วชิระ ใช้ไม้เท้าเวทในมือกระแทกใส่ กระบอกลมหวน ที่พุ่งเข้ามา พอไม้เท้าขยับเหล่า หิ่งห้อยสายฟ้า ก็แปรขบวนตามไปด้วย พวกมันสี่ตัวต่างพากันสะท้อนสายฟ้าเข้าใส่ วายุ ที่ยืนเป็นกำแพงอยู่

ส่วนอีกสองตัว สะท้อนสายฟ้ากันไปมาแล้วบินตาม เมฆา ไป วายุ ถูกสายฟ้าฟาดใส่ล้มลงไปก่อน ส่วน เมฆา ก็ล้มลงติดตามกันไปในเวลาไม่นาน

เสียง เมฆา ที่ร้องครวญครางดังมาจากริมลานกว้าง มันแม้ยังไม่ตายแต่ก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีกแล้ว ตลอดทั้งร่างของมันปรากฏแผลไฟไหม้สาหัสอยู่หลายแห่ง

วายุ ล้มตัวนอนหงายอยู่ มันยังคงมีชีวิตรอดอยู่เช่นเดียวกัน แต่อาการบาดเจ็บของมันยังนับว่าสาหัสยิ่งกว่า เมฆา เสียอีก

วชิระ หยุดมองดูพวกมันทั้งสองอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ออกก้าวเดินอีกครั้ง มันเดินผ่าน วายุ ไปโดยไม่หันกลับมาดูพวกมันอีก จุดหมายของการเดินทางครั้งนี้ย่อมเป็นจวนของเจ้าเมือง

เหล่า หิ่งห้อยสายฟ้า ทั้งหกต่างบินล้อมรอบตัวมันเอาไว้ ในตอนที่ วชิระ เดินผ่านไป วายุ ก็แข็งใจรวบรวมกำลังที่เหลืออยู่เปล่งเป็นคำพูดออกมา ตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มสู้กันจนถึงบัดนี้มันไม่เคยเอ่ยคำพูดใดมาก่อนเลย มันบอกกับ วชิระ ว่า

“ขอบคุณ…”


Create Date : 14 กรกฎาคม 2552
Last Update : 14 กรกฎาคม 2552 12:22:39 น. 0 comments
Counter : 507 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.