|
วชิระ เวทภพ สยบมาร (6) สายฟ้าเริงระบำ
สิ่งที่สูญหายไปย่อมเป็น เมฆา เมื่อดาบตกมาอยู่ในมือของ วายุ แล้ว มันก็หายไปจากการต่อสู้ วชิระ ยามกวาดตามองไปโดยรอบก็ไม่พบเห็นมันในที่ใด แต่เมื่อหันกลับมามองที่ วายุ อีกครั้ง มันก็พบเห็น เมฆา เข้าแล้ว
สิ่งที่ต้องการอยู่ต่อหน้าท่านชัดๆ ท่านกลับมองไม่เห็น มัวแต่ค้นหาไปในที่ต่างๆ จนหมดเรี่ยวแรง แต่พอท่านเลิกค้นหาจึงค่อยพบว่าตลอดเวลามันอยู่ต่อหน้าท่านนี้เอง
เมฆา ยังคงถือดาบเล่มนั้นของมันอยู่เช่นเดิม มันไม่ได้โยนดาบมาให้ วายุ แต่มันกระโดดถือดาบพุ่งเข้ามา ที่ วายุ ถืออยู่ในตอนนี้ไม่ใช่ดาบแต่เป็นขาของ เมฆา
มันถือ เมฆา ที่ถือดาบไว้ในมือของมัน ดังนั้นเมื่อ วชิระ เคลื่อนตัวหลบดาบของมัน เมฆา ก็ขยับตัวเปลี่ยนทิศทางของดาบ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้แม้จะเล็กน้อยแต่ก็เพียงพอที่จะสร้างบาดแผลให้กับ วชิระ ได้
วายุ รีบพุ่งตัวติดตาม วชิระ ไป มันคิดจะอาศัยโอกาสนี้โค่น วชิระ ลงให้ได้ มันรู้ว่า วชิระ อาศัย พลังสมาธิ การคาดคำนวณที่แม่นยำ และการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ในการต่อสู้กับศัตรู
แต่หากศัตรูของมันกลับสามารถเคลื่อนไหวได้นอกเหนือการคาดคำนวณ นั่นย่อมจะต้องกระทบกระเทือนและทำให้มันหวั่นไหวได้ไม่ใช่น้อย
วชิระ ก็รู้ตัวว่ามันกำลังตกอยู่ในห้วงเวลาคับขันแล้ว มันรีบตัดสินใจชูไม้เท้าเวทในมือขึ้นทันที ตัวไม้เท้าที่มีสีเข้มจนดำนั้น ยามนี้กลับปรากฏลวดลายลักษณะแปลกๆ ขึ้นมา
ซึ่งความจริงลวดลายเหล่านี้ก็มีอยู่ก่อนแล้วแต่เพราะมันกลมกลืนไปกับสีของไม้เท้าจึงไม่อาจแลเห็นได้ แต่ตอนนี้มันกำลังค่อยๆ เปล่งแสงสว่างขึ้นทีละน้อยๆ ลวดลายเหล่านี้ก็คือสัญลักษณ์ผนึกภูตินั่นเอง
ผู้ใช้ภูติต้องมีสัญลักษณ์ผนึกภูติปรากฏอยู่บนแขน แต่ วชิระ กลับสามารถผนึกภูติเอาไว้บนตัวไม้เท้าเวท ที่มันทำเช่นนี้ได้ก็เพราะตั้งแต่มันผนึกภูติเอาไว้ ไม้เท้าด้ามนี้ก็ไม่เคยหลุดจากมือของมันเลยไม่ว่าในยามใดก็ตาม ไม้เท้าด้ามนี้จึงเปรียบเสมือนกับเป็นแขนของมันที่ยื่นยาวเพิ่มออกไปนั่นเอง
คราวนี้ วายุ ที่ถือ เมฆา อยู่ ต้องเป็นฝ่ายยั้งท่าร่างเอาไว้บ้าง พวกมันทั้งสองต่างจ้องดูสัญลักษณ์ผนึกภูติที่ปรากฏขึ้น ตัวสัญลักษณ์มีขนาดเล็กทำให้มองเห็นได้ลำบาก แต่เมื่อพวกมันเห็นสัญลักษณ์ได้อย่างชัดเจน พวกมันก็หันมายิ้มให้แก่กันทันที
พวกมันทั้งสองคนอาจจะรู้จักสัญลักษณ์ของภูติต่างๆ ไม่มากนัก แต่สัญลักษณ์นี้แม้คนทั่วๆ ไปก็อาจจะรู้จักได้ พวกมันแทบไม่เชื่อว่า วชิระ ที่เก่งกาจถึงปานนี้กลับผนึกภูติเช่นนี้เอาไว้
ตัวสัญลักษณ์เป็นรูปร่างของแมลงที่เหมือนกับ หิ่งห้อย แต่ที่ปลายหางเป็นเครื่องหมายสายฟ้า ภูติที่ถูกผนึกไว้เรียกว่า หิ่งห้อยสายฟ้า
มันมีรูปร่างเหมือนกับ หิ่งห้อย แต่มีขนาดโตประมาณเท่ากำปั้นของผู้ใหญ่ บินได้อย่างรวดเร็ว คล่องแคล่ว มันสามารถปล่อยไฟฟ้าออกมาล้อมรอบตัวเพื่อป้องกันและโจมตีศัตรูได้
แต่พลังไฟฟ้าที่ปล่อยออกมานี้ไม่รุนแรงนัก เพียงแค่ทำให้รู้สึกเจ็บหรือชาเท่านั้น ไม่สามารถทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ภูติชนิดนี้นับเป็นชนิดที่ต่ำที่สุดในตระกูลของภูติสายฟ้าด้วยกัน
หิ่งห้อยสายฟ้า ปรากฏตัวออกมาจากกลางอากาศ ยามที่ภูติถูกเรียกใช้พลังของผนึกจะนำมันข้ามมิติมาสู่ผู้ใช้โดยทันที มันบินฉวัดเฉวียนไปมาอย่างรวดเร็วแล้วพุ่งจู่โจมเข้าใส่
แต่ วายุ เพียงขยับตัวหลบหลีกเล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจ มันเป็นยักษ์ที่มีรูปร่างใหญ่โตหากถูกแมลงเช่นนี้ต่อยเข้าย่อมไม่รู้สึกอันใดมากนัก พวกมันเริ่มขยับตัวหมายจะพุ่งเข้าจู่โจม วชิระ อีกครั้ง และในตอนนั้นเองที่พวกมันพบว่า วชิระ ยังคงยืนอยู่ในท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
บนไม้เท้าเวทในตอนนี้ค่อยๆ ปรากฏสัญลักษณ์แบบเดียวกันขึ้นทีละอันๆ จนกระทั่งครบหกอัน วชิระ ถึงกับสามารถผนึก หิ่งห้อยสายฟ้า ไว้ได้ถึงหกตัว พร้อมๆ กัน
หิ่งห้อยสายฟ้า แต่ละตัวแม้จะมีพลังโจมตีไม่มากนัก แต่หากถูกพวกมันโจมตีพร้อมกันทั้งหกตัว นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว คนเราแต่ละคนแม้มีกำลังเพียงคนละเล็กละน้อย แต่หากสามารถนำมารวมกันเข้าย่อมเกิดเป็นกำลังที่กล้าแข็งขึ้นมาได้
วายุ และ เมฆา เริ่มมือไม้ปั่นป่วนขึ้นมาแล้ว เมื่อต้องรับมือกับการโจมตีของ หิ่งห้อยสายฟ้า ทั้งหกพร้อมกัน และในขณะเดียวกันนี้ วชิระ ได้เริ่มร่ายเวทแล้ว
พวกมันความจริงต้องการที่จะเข้าจู่โจมขัดขวางก่อนที่ วชิระ จะร่ายเวทเสร็จสิ้น แต่ หิ่งห้อยสายฟ้า ทั้งหกตัวนี้ ไม่ได้บินไปมาอย่างไร้แบบแผน พวกมันทั้งหกคล้ายประสานกันเป็นค่ายกลรูปแบบหนึ่งกักตัวพวกมันเอาไว้
ตอนนี้พวกมันถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมา พวกมันถูกกักตัวเอาไว้เพียงรอว่าเมื่อไร วชิระ จะร่ายเวทเสร็จสิ้นลงเท่านั้น
วชิระ เริ่มรวบรวมสมาธิร่ายเวทแล้ว ประกายสีเหลืองในหัวไม้เท้าของมันค่อยๆ สว่างขึ้นทีละนิดๆ การร่ายเวทนั้นต้องใช้เวลา ยิ่งเวทที่มีความรุนแรงมากยิ่งต้องใช้เวลามาก ดังนั้น หิ่งห้อยสายฟ้า ทั้งหกที่มันผนึกไว้ก็เพื่อใช้ตรึงคู่ต่อสู้ เปิดโอกาสให้มันสามารถร่ายเวทได้นั่นเอง
มันจึงตั้งใจฝึกทั้งหกให้บินประสานกันเป็นค่ายกลดาวหกแฉกที่สามารถใช้กักศัตรู ซึ่งจะกักอยู่ได้นานเพียงใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของศัตรูเองว่าจะอ่านค่ายกลได้ออกเร็วเพียงใด ซึ่งมันเองก็หวังว่าจะสามารถใช้ได้ผลกับเจ้าจอมเวทลึกลับผู้นั้นด้วยเช่นกัน
วายุ และ เมฆา ยังคงถูกกักอยู่กลางค่ายกล พวกมันแม้พอจะอ่านการเคลื่อนไหวของค่ายกลออกบ้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถตีฝ่าออกไปได้
วชิระ พลันร่ายเวทเสร็จสิ้นลง ตอนนี้หัวไม้เท้าเวทของมันส่องประกายสีเหลืองเรืองรอง มันมองจ้องตากับคนทั้งสองแล้วก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะหากดูจากภายนอกจะเห็นว่าพวกมันทั้งสองหวาดหวั่นจนลนลาน แต่ในประกายตาของพวกมันกลับไม่บอกเช่นนั้น
วชิระ ตัดสินใจโบกไม้เท้าออกไป สายฟ้าขนาดใหญ่จำนวนหลายสายต่างพุ่งออกไปพร้อมกันในทันที สายฟ้าสาดประกายพุ่งตรงเข้าใส่ทั้งสองคนที่ติดอยู่ในค่ายกล และในช่วงจังหวะนี้เองที่พวกมันทั้งสองมีการเคลื่อนไหวที่แปลกไป
เมฆา ลดดาบในมือของมันชี้ลงสู่พื้น ในขณะที่ วายุ เอื้อมมือซ้ายข้ามไหล่กลับไปที่ด้านหลังแล้วล้วงมือของมันเข้าไปในกระบอกศร ภายในกระบอกถึงกับมีด้ามจับติดอยู่ด้วย
มันจับแล้วยกกระบอกศรชูขึ้นเหนือหัว บนตัวกระบอกมีอักษรลักษณะประหลาดสลักอยู่ ตัวอักษรเหล่านี้คล้ายกับเรืองแสงได้จางๆ ภายใต้แสงจันทร์
สายฟ้าที่พุ่งออกไปพลันเปลี่ยนแปลงทิศทางไปเล็กน้อย สายฟ้าเหล่านี้ความจริงต้องพุ่งเข้าใส่ร่างของพวกมันทั้งสอง แต่ตอนนี้กลับพุ่งแฉลบขึ้นแล้วตรงเข้าใส่กระบอกศรที่อยู่ในมือของ วายุ สายฟ้าทั้งหมดพลันหายเข้าไปในกระบอกนั้น
เหล่าตัวอักษรที่สลักอยู่บนกระบอกตอนนี้พากันส่องแสงสีเหลืองสว่างเรืองรอง แล้วในชั่วพริบตานั้นเองสายฟ้าก็พากันพุ่งออกจากกระบอกลงสู่พื้นดินที่อยู่รอบๆ ตัวของพวกมัน ปรากฏเป็นเสียงระเบิดดังขึ้นอย่างกึกก้อง ฝุ่นดินปลิวกระเด็นขึ้นคละคลุ้ง
พอฝุ่นจางลง พวกมันทั้งสองคนยังคงอยู่ในท่วงท่าเดิมโดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น พวกมันจ้องมองมาทาง วชิระ โดยคาดว่า วชิระ คงจะประหลาดใจไม่น้อยเมื่อต้องมาพบกับอาวุธลับของพวกมันชิ้นนี้
แต่ วชิระ กลับยืนสงบนิ่ง มันเริ่มร่ายเวทใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้ว และ ค่ายกลดาวหกแฉกของพวก หิ่งห้อยสายฟ้า ก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
Create Date : 12 กรกฎาคม 2552 |
Last Update : 12 กรกฎาคม 2552 21:36:50 น. |
|
0 comments
|
Counter : 867 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|