ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
8 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 
วชิระ เวทภพ สยบมาร (3) ความสงบก่อนพายุใหญ่

ไฟที่ลุกไหม้ดับลงแล้ว ดับลงด้วยมือของเจ้าของร้านเอง ดาบยังคงปักอยู่บนโต๊ะ ตอนนี้ดาบเย็นลงแล้วแต่ยังคงมีควันบางๆ ลอยกรุ่นอยู่ บนตัวดาบไม่ปรากฏความเสียหายอันใด ดวงตาบนด้ามดาบยังคงปิดสนิท

ท่ามกลางเสียงจากการต่อสู้และไฟที่ลุกไหม้กลับไม่มีผู้ใดรุดมายังที่นี้แม้แต่ผู้เดียว ดูเหมือนไม่ว่าผู้ใดล้วนไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ในคืนนี้

วาณิช ตั้งร้านนี้มา 20 กว่าปี ตัวมันเองปีนี้ก็มีอายุ 50 กว่าปีแล้ว แต่มันยังคงแข็งแรงอยู่ มันใช้มือทั้ง 2 ยกถังน้ำใบใหญ่ข้างละใบ เดินตักน้ำไม่กี่เที่ยวก็สามารถดับไฟลงได้

ในระหว่างที่มันกำลังดับไฟอยู่ มันก็เห็น วชิระ ค่อยๆ อุ้มร่างของชายหนุ่มขึ้นมาอย่างระวังแล้วเดินไปที่ประตูด้านในร้าน ในตอนที่ วชิระ ย่อตัวลงเพื่ออุ้มชายหนุ่มไม้เท้าด้ามนั้นยังคงอยู่ในมือของมัน ไม่ว่ามันจะทำอะไรไม้เท้าด้ามนี้ยังไม่เคยหลุดจากมือของมันมาก่อน

มันเดินมาหยุดยืนที่หน้าประตูแล้วใช้เท้าแง้มประตูออก จึงพบว่าที่เบื้องหลังบานประตูยืนไว้ด้วยคนผู้หนึ่ง

รุ่ง ยืนนิ่งเหม่อมองดูใบหน้าที่ซีดขาวของชายหนุ่ม ใบหน้าของนางเองก็ซีดขาว แววตาดูเลื่อนลอย ปากนางขยับคล้ายพึมพำคำพูดใดแต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา นางในยามนี้ไม่คล้ายเป็น รุ่งอรุณ อีกแล้ว ไม่ใช่ รุ่งอรุณ ที่เปี่ยมไปด้วยความหวังอีกต่อไปแล้ว

วชิระ มองดูนางในใจอดสะทกสะท้อนมิได้จึงเอ่ยปากกล่าวขึ้น

“มันยังไม่ตาย”

“…”

“ท่านหากเป็นห่วงมันก็ช่วยเราจัดหาที่นอนและปฐมพยาบาลให้กับมันก่อนแล้วค่อยมาว่ากล่าวกัน”

น้ำตาของนางค่อยๆ ไหลออกมา แววตาเริ่มกลับมามีประกายอีกครั้ง คล้ายดั่งน้ำตาที่รินไหลได้ชะล้างคราบแห่งความเศร้าที่เคลือบอยู่ออกไปจากดวงตาของนาง

จวบจนถึงเมื่อครู่ตอนที่นางเห็นชายหนุ่มล้มลงไปเป็นครั้งที่สอง นางถึงได้รู้คำตอบว่าที่แท้นางรักหรือแค้นมันกันแน่

คนเราบางครั้งต้องรอจนถึงเวลาที่สูญเสียจึงจะสามารถเข้าใจตนเองได้กระจ่าง ซึ่งบ่อยครั้งที่มักจะสายเกินไป

ชายหนุ่มนอนหลับอยู่บนเตียง มือขวามีผ้าพันอยู่ ใบหน้าของมันตอนนี้มีสีเลือดขึ้นบ้างแล้ว มันหายใจอย่างช้าๆ แต่ว่าสม่ำเสมอ รุ่ง นั่งอยู่ที่ข้างเตียง นางใช้มือทั้งสองกุมมือซ้ายของชายหนุ่มเอาไว้ วชิระ กับ วาณิช กำลังนั่งคุยกันเบาๆ อยู่ที่โต๊ะหน้าเตียง

“เมื่อก่อนเจ้าหนุ่มคนนี้ เจ้า อาทิตย์ ผู้นี้ก็เป็นคนดี แต่หลังจากที่มันไปเป็นองครักษ์ให้เจ้าเมืองมันก็เริ่มเปลี่ยนไป”

วาณิช พูดพร้อมกับหันไปมองดูชายหนุ่มกับลูกสาวของมัน มันรู้ว่าทั้งสองต่างมีใจให้กันมานานแล้ว ตัวมันเองก็ไม่ขัดข้อง และตัว อาทิตย์ เองเพราะต้องการความก้าวหน้าจึงขวนขวายไปชิงตำแหน่งองครักษ์มา

ตอนแรกหลังจากที่มันได้ตำแหน่งมาแล้วมันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม แต่หลังจากที่มันใช้ดาบเล่มนั้นฆ่าคนเป็นครั้งแรกเมื่อ 2 ปีก่อน มันก็เริ่มเปลี่ยนไป ทุกคนต่างรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของมัน มีก็แต่ตัวมันเองเท่านั้นที่ไม่รู้ตัว

วชิระ ถามขึ้นอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุว่า

“มันใช้ดาบเล่มนั้นฆ่ามาแล้วกี่คน”

วาณิช ขบคิดเพียงชั่วครู่ก็ตอบว่า

“เพียง 4 คน ในหลายปีมานี้แทบจะไม่มีผู้เดินทางเข้าเมืองมาเลย คนที่ยังรู้จักเมืองนี้แทบจะไม่มีแล้ว เมืองแห่งนี้ความจริงถูกลบออกไปจากแผนที่มานานแล้ว ในระยะ 3 ปีมานี้ มีคนเดินทางเข้าเมืองมาเพียง 4 คนเท่านั้น อ้อ ท่านนับเป็นคนที่ 5 แล้ว”

“หากเพียง 4 คน ก็ยังไม่สาย มันยังสามารถกลับคืนเหมือนเดิมได้”

วชิระ พึมพำเบาๆ กับตัวเอง มันถึงกับไม่แสดงท่าทีสงสัยในคำตอบของ วาณิช เลยว่า เหตุใดเมืองแห่งนี้จึงถูกลืม และเหตุใดผู้ที่เข้าเมืองมาจะต้องตายด้วย มันคล้ายกับรู้สาเหตุความนัยของเรื่องนี้อยู่แล้ว

ตอนนี้ วาณิช เองกลับเริ่มสงสัยในตัว วชิระ มันพึ่งเดินทางเข้าเมืองมาในวันนี้ แต่คล้ายกับรู้เรื่องราวลึกลับภายในเมืองนี้มากกว่าชาวเมืองเสียอีก หรือว่ามันอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าเมือง เกี่ยวข้องกับเรื่องเมื่อ 30 ปี ก่อน

แต่เมื่อประมาณจากอายุของมัน เมื่อ 30 ปีก่อนมันย่อมเป็นเพียงทารกคนหนึ่ง ย่อมไม่อาจเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นได้ ขณะที่มันกำลังขบคิดอยู่ วชิระ พลันถามขึ้นอีกว่า

“ท่านช่วยเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสามปี ก่อนให้เราฟังได้หรือไม่ เกี่ยวกับนักรบสี่คน ที่เดินทางมายังที่นี้”

เมื่อได้ยินดังนั้น วาณิช จึงคิดขึ้นว่า วชิระ ผู้นี้ คงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มนักรบที่เดินทางมาเมื่อสามปี ก่อนนั่นเอง

มันเริ่มนึกย้อนไปถึงคืนนั้น คืนที่มันรู้สึกหวาดกลัวที่สุดในชีวิต เหงื่อเย็นเยียบเริ่มไหลออกมาจนเต็มแผ่นหลัง มันรู้สึกประหลาดใจว่าเพราะเหตุใดมันจึงไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย จนกระทั่ง วชิระ ได้ถามขึ้น มันจึงนึกขึ้นมาได้ ทั้งๆ ที่ในชั่วชีวิตของมันไม่น่าจะลืมเรื่องราวในคืนนั้นไปได้เลย มันตอบ วชิระ ไปว่า

“เราไม่รู้เห็นอันใดมากนัก”

“เอาเท่าที่ท่านรู้ก็พอ”

วาณิช จึงเริ่มเล่าว่า เมื่อสามปี ก่อน ในตอนเย็นวันหนึ่งมีนักรบชายสี่คน เดินทางเข้ามาในเมือง คนหนึ่งดูท่าทางเป็นนักดาบฝีมือดี คนหนึ่งเป็นนักสู้รูปร่างกำยำล่ำสัน อีกคนหนึ่งเป็นนักเวท ไม้เท้าเวทที่ใช้มีหัวเป็นหินสีรุ้งสวยงาม ส่วนคนสุดท้ายเป็นผู้ใช้ภูติ

พอถึงตรงนี้ วชิระ ก็ขัดขึ้นว่า

“ท่านทราบได้อย่างไรว่ามันเป็นผู้ใช้ภูติ”

“เราเพียงแต่คาดเดาเอา เนื่องเพราะมันมิได้พกอาวุธอันใด และมันยังสวมใส่เสื้อแขนยาวในวันที่มีอากาศร้อนเช่นนั้น”

วชิระ พยักหน้าเบาๆ การคาดเดาของมันนับว่ามีเหตุผล ทุกคนย่อมรู้ดีว่าผู้ใช้ภูติจะมีสัญลักษณ์ของภูติที่ตนผนึกไว้ปรากฏอยู่บนแขน ภูติที่แตกต่างกัน สัญลักษณ์ย่อมแตกต่างกัน

หากปล่อยให้คู่ต่อสู้ดูออกก่อนว่ามันใช้ภูติชนิดใด มันย่อมจะเสียเปรียบ ดังนั้นผู้ใช้ภูติจะสวมเสื้อแขนยาวอยู่เสมอ นอกจากมันจะเป็นพวกชอบโอ้อวด หรือไม่ก็มั่นใจในภูติที่ตนใช้มาก ซึ่งพวกเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็ตายไปจนแทบหมดสิ้นแล้ว

พวกที่ชอบประโคมโอ่และมั่นใจในตัวเองจนเกินไปส่วนใหญ่มักอายุไม่ค่อยยืนนัก

วาณิช เล่าต่อไปว่า พวกมันพึ่งมาถึงได้ไม่นานเหล่าองครักษ์ทั้งสามก็มาเสาะหาพวกมัน มันอธิบายเพิ่มเติมว่าสามองครักษ์ ก็คือ ยักษ์ วายุ กับ คนแคระ เมฆา ที่อยู่ในร้านเมื่อสักครู่นี้ และจอมดาบที่เป็นเจ้าของดาบที่ อาทิตย์ ใช้อยู่

มันไม่มีชื่อและไม่เคยพูดคุยกับใคร แต่สองตาของมันแดงก่ำ ดังนั้นชาวเมืองจึงเรียกมันว่า เจ้าตาแดง

วชิระ หันไปมอง อาทิตย์ ที่นอนอยู่ พลางคิดขึ้นในใจว่า หากเจ้าหนุ่มผู้นี้ยังคงใช้ดาบเล่มนั้นฆ่าคนต่อไปอีกไม่กี่คนก็จะกลายเป็นแบบเดียวกับ เจ้าตาแดง เพราะดาบเล่มนั้นความจริงเป็นดาบปีศาจ นาม ปีศาจแดง

มันจะมอบพลังให้กับผู้ใช้ทำให้มีฝีมือสูงขึ้น และคนที่ถูกดาบนี้ฟันให้เกิดแผลขึ้นแม้เพียงเล็กน้อยก็จะถูกดาบดูดพลังไป

ดังนั้นยิ่งต่อสู้ผู้ใช้ยิ่งเข้มแข็ง ยิ่งต่อสู้คู่ต่อสู้ยิ่งสูญเสียเรี่ยวแรงไป แต่ดาบนี้จะค่อยๆ ครอบงำผู้ใช้ จนสุดท้ายก็จะกลายเป็นแบบ เจ้าตาแดง กลายเป็นเพียงหุ่นเชิดของดาบปีศาจ

แต่หากในวันนี้ อาทิตย์ ได้กลายเป็นหุ่นเชิดของดาบไปแล้วละก็ วชิระ คงไม่สามารถเอาชนะอย่างรวบรัดเช่นนี้ได้ เพราะดาบ ปีศาจแดง หากสามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจปรารถนาของมันเมื่อใด ก็จะสำแดงอานุภาพได้สูงสุด

สภาพของชายหนุ่มตอนนี้ยังพอมีหนทางแก้ไขให้ฟื้นกลับคืนมาได้ เพียงแต่ต้องพักผ่อนสักระยะหนึ่ง และที่สำคัญห้ามแตะต้องดาบเล่มนี้อีกต่อไป

วชิระ ยังคงนั่งฟังอย่างตั้งใจ มันพยายามเก็บเกี่ยวข้อมูลให้ได้มากที่สุด ยิ่งรู้ข้อมูลมากเท่าใดมันก็ยิ่งเตรียมตัวรับมือได้ดีขึ้น วาณิช เองก็ยังคงเล่าเรื่องต่อไปอย่างไม่ติดขัด

พวกมันสองฝ่ายมาพบกันที่ลานกลางเมือง พอพบกันก็เปิดฉากต่อสู้กันทันที ไม่มีชาวเมืองคนใดกล้าอยู่ชมดูเหตุการณ์ต่างพากันหนีไปหลบซ่อนอยู่ในบ้านเรือนของตน เสียงการต่อสู้ดังอยู่จนค่ำจึงเงียบหายไป แต่พอเสียงเงียบลงบรรยากาศกลับรู้สึกกดดันยิ่งกว่าเดิม

หลังจากความเงียบชวนอึดอัดที่ยาวนาน พลันบังเกิดเสียงที่หน้าสยดสยองดังขึ้นมาจากทางจวนท่านเจ้าเมือง เสียงที่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเสียงอันใดกันแน่แต่พอท่านได้ยินเสียงนี้จะรู้สึกได้ว่ามันน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง หัวใจของท่านถูกบีบจนแทบจะหยุดเต้น กระเพาะลำไส้คล้ายถูกบิดด้วยมือที่มองไม่เห็นจนทำให้ต้องอาเจียนออกมา

ดีที่เสียงนี้ดังขึ้นเพียงไม่นานก็เงียบหายไป หากมันดังนานกว่านั้นเกรงว่าต้องมีชาวเมืองขวัญฝ่อตายไปหลายคนเป็นแน่ พอเสียงเงียบลงคราวนี้บรรยากาศก็กลับคืนเป็นปกติ

“คืนนั้นทั้งคืนเรากล้ารับประกันว่าไม่มีผู้ใดสามารถข่มตาหลับลงได้เด็ดขาด จนถึงตอนสายๆ ของวันรุ่งขึ้นยามที่แสงแดดส่องสว่าง เราจึงกล้าออกจากร้านไป ดังนั้นเราจึงบอกว่าเราไม่รู้อะไรมากนักกับเหตุการณ์ในวันนั้น”

วชิระ เมื่อได้ฟังถึงเรื่องเสียงที่ดังขึ้นสีหน้าพลันเคร่งเครียดลงทันที แต่ในแววตากลับแฝงไว้ด้วยความยินดีอยู่เล็กน้อย มันลืมตัวพึมพำออกมาเบาๆ ว่า

“พวกมันยังตายไม่หมดสิ้นจริงๆ ”

วาณิช มองจ้อง วชิระ อย่างสงสัย มันต้องการรู้ว่า วชิระ เกี่ยวพันกับเรื่องราวเหล่านี้อย่างไรกันแน่ แต่มันไม่กล้าถาม มันได้แต่หวังว่า วชิระ จะเป็นฝ่ายเล่าอะไรออกมาบ้าง แต่ วชิระ กลับถามมันต่อไปว่า

“ท่านแม้ไม่เห็นการต่อสู้ แต่ท่านคงพอจะทราบผลการต่อสู้ในวันนั้น”

“เจ้าตาแดง ตายอยู่ในลานกลางเมือง ดาบเล่มนั้นปักอยู่ใกล้ๆ ร่างของมัน อีกสองคนที่เหลือก็บาดเจ็บสาหัสปางตายอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน จวนของเจ้าเมืองได้รับความเสียหายเล็กน้อย ส่วนนักรบทั้งสี่นั้นไม่ทราบหายไปในที่ใด คาดว่าคงตายหมดสิ้นแล้ว แต่ก็น่าแปลกที่ไม่พบเศษซากของพวกมันแม้สักชิ้นเดียว”

“ท่านคาดว่าพวกนักรบทั้งสี่ หลังจากจัดการสามองครักษ์ที่ลานกลางเมืองลงได้ ก็ตรงไปที่จวนแล้วถูกฆ่าและทำลายจนหมดสิ้นด้วยฝีมือของเจ้าเมืองอย่างนั้นหรือ”

“นั่นย่อมมิใช่ฝีมือของเจ้าเมือง เจ้าอ้วน นั่นจะทำอะไรได้นอกจากกินให้หน้าท้องยื่นนูนออกมาจนหน้าเกลียด แต่เป็นฝีมือของอีกผู้หนึ่ง เจ้าเมืองมีองครักษ์อยู่ทั้งสิ้นสี่คน คนสุดท้ายเป็นจอมเวทที่ปรึกษาของมัน”

ฟังถึงตอนนี้ วชิระ ตาเป็นประกายรีบแทรกขึ้นทันทีว่า

“มันคนเดียวจัดการนักรบทั้งสี่ได้ แสดงว่าพลังเวทของมันต้องล้ำลึกอย่างยิ่ง หรือว่ามันจะเป็นผู้ใช้ภูติที่ผนึกภูติที่ร้ายกาจเอาไว้”

วาณิช นิ่งอึ้งไปสักครู่ จึงอ้อมแอ้มตอบมาว่า

“…เรื่องนั้นเราไม่อาจรู้ได้ บอกกับท่านตามตรงพวกเราเพียงแต่รู้ว่ามีจอมเวทอยู่ผู้หนึ่งเป็นที่ปรึกษาของเจ้าเมือง แต่ไม่เคยมีใครพบเห็นมันมาก่อนเลย แม้แต่ชื่อของมันพวกเราก็ไม่รู้ หลายคนต่างคาดคิดว่ามันนี่แหละที่เป็นเจ้าเมืองตัวจริง ที่คอยออกคำสั่งผ่านเจ้าอ้วนนั่นอีกทีหนึ่ง”

“เราคาดว่าพวกมันทั้งห้าล้วนมิใช่ชาวเมืองแห่งนี้”

“ท่านคาดเดาได้ถูกต้อง พวกมันทั้งหมดล้วนมาถึงเมืองนี้เมื่อ 30 ปีก่อน”

พอได้ยินคำ 30 ปีก่อน วชิระ ก็ยิ่งแน่ใจว่าต้องเป็นคนที่มันตามหาอย่างแน่นอนแล้ว แต่ก็ก่อให้เกิดข้อสงสัยว่า ด้วยเหตุอันใดพวกมันจึงกลายมาเป็นเจ้าเมืองของเมืองแห่งนี้ได้

“หรือพวกมันพอมาถึงก็ลงมือยึดอำนาจตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าเมือง”

วชิระ พอถามออกไปก็คิดได้ ว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ยามนั้นพวกมันต้องการปกปิดร่องรอยย่อมไม่คิดกระทำการอันใดให้เกิดเป็นที่สนใจ ย่อมไม่ทำการปล้นเมืองอย่างแน่นอน

วาณิช พลันมีสีหน้าสลดลงและตอบกลับมาว่า

“เป็นพวกเราเองที่ผิด ยามนั้นเจ้าเมืองคนก่อนกดขี่ขูดรีดภาษีอย่างหนัก พวกเรากำลังคิดก่อการกบฎกันอยู่แล้วแต่ยังไม่กล้าลงมือเพราะเจ้าเมืองมีลูกน้องฝีมือดีอยู่หลายคน พอดีพวกเหล่านี้เดินทางมาถึงพวกเราเห็นว่าท่าทางจะมีฝีมืออยู่พอตัวจึงไปขอร้องให้ช่วยเหลือ”

“พวกมันรีบตกลงทันทีแต่มีข้อแม้ว่าเมื่อปฏิบัติการเสร็จสิ้นพวกเราต้องช่วยกันปิดเป็นความลับ โดยพวกมันอ้างว่ากลัวจะมีพวกของเจ้าเมืองที่อยู่ที่อื่นทราบข่าวแล้วจะมาล้างแค้น เมื่อเสร็จเรื่องแล้วพวกเราต้องปิดเมืองเพื่อไม่ให้ข่าวแพร่ออกไป”

“ภายใต้ฝีมือและการดำเนินการของพวกมันปฏิบัติการทั้งหมดก็สำเร็จลงตามแผน ตอนนั้นพวกเราทั้งหมดต่างนับถือเลื่อมใสพวกมันเป็นอย่างยิ่ง จึงช่วยกันปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้นและยกให้พวกมันเป็นเจ้าเมือง ซึ่งพวกมันก็ทำหน้าที่ได้ดีทุกประการ เพียงแต่จากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าหรือออกจากเมืองนี้ไปได้ทั้งสิ้นแม้แต่พวกเราชาวเมืองก็ออกไปไม่ได้ เมืองนี้จึงหายสาปสูญไปนับแต่นั้นเป็นต้นมา”

วชิระ พอได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดนับว่าสามารถคลายปมในใจไปได้หลายประการ

แต่ชีวิตของมันคล้ายเป็นด้ายเส้นหนึ่งที่พันกันยุ่งเหยิงจนเป็นกลุ่มใหญ่ ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ยังไม่กระจ่าง มีแต่ต้องมุ่งหน้าต่อไปจนกว่าจะสางปมทั้งหมดออกมาได้ หรือจนกว่าชีวิตมันจะสิ้นสุดลง


Create Date : 08 กรกฎาคม 2552
Last Update : 8 กรกฎาคม 2552 14:13:10 น. 1 comments
Counter : 503 Pageviews.

 
หวัดดีคะ แวะมาทักทาย และจะมาชวนไปคุยกะเพื่อนๆๆ ชาวบล็อกแก๊งกันที่ห้องแชทคะ แวะเข้ามาทักทายกันนะคะ คลิกที่นี่


โดย: benji2 วันที่: 8 กรกฎาคม 2552 เวลา:15:09:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.