|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
|
|
|
|
โธพิ (ุ7) ศิลาวิหคเพลิง
ความโกรธพุ่งขึ้น ร่างของโธพิที่อาบไล้ไปด้วยพลังจากแสงทำลายล้างที่ทำให้ทุกชีวิตบนดาวคันธาต้องแตกดับสลายไปต่อหน้า พลันมีมวลสารเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนรูปร่างจนกลายเป็นก้อนเนื้อที่บิดเบี้ยวน่ากลัว มันต้องการระบายความโกรธแค้นที่อัดแน่นอยู่ภายใน แต่เป้าหมายนั้นอยู่สูงขึ้นไปไกลเกินเอื้อม มันจึงต้องเปลี่ยนเป็นอะไรสักอย่าง เป็นอะไรที่มากกว่าร่างกายของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ภาพของกิเลน สัตว์ร้ายแห่งป่าต้องห้าม พลันผุดขึ้นในห้วงความทรงจำ มวลสารที่เพิ่มขึ้นได้พบกับเป้าหมาย มันจึงขยับขยายเปลี่ยนรูปกายภายนอกให้กลายเป็นม้าดำแปดขาขนาดยักษ์ กลืนกินร่างของเด็กหนุ่มเอาไว้ภายใน ความโกรธที่ถูกทำให้กลายเป็นรูปธรรมส่งเสียงกู่ร้องที่ไม่มีใครได้ยิน ก่อนออกควบวิ่งไปสู่อวกาศ มุ่งตรงสู่เป้าหมายแห่งความโกรธของตน ความโกรธโจนทะยาน กิเลนดำยกขาหน้าทั้งสี่ขึ้นสูง โดยไม่ได้สงสัยเลยว่าพวกมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายตนได้อย่างไร ก่อนกระแทกลงสุดแรง พลังซาโตที่แตกซ่านส่งแรงทำลายกระจายออกไปตามผนังลำตัวที่แข็งแกร่ง และแน่นหนาของยานหนอนอวกาศระดับสังหารดวงดาว สิ่งมีชีวิตลึกลับที่อยู่ภายในรูหนอน แต่ถูกมนุษย์นำมาดัดแปลงใช้งาน ความโกรธดุจไฟผลาญ ทุกที่ทางล้วนเป็นสีแดง แม้แต่อวกาศก็ยังเป็นสีแดงฉาน มันหายใจในอวกาศได้อย่างไร มันวิ่งขึ้นมาได้อย่างไร มันจู่โจมได้อย่างไร มันไม่ได้คิด สิ่งเดียวที่คิด คือมันจะสร้างความเสียหายให้กับเจ้าสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่อยู่ใต้เท้านี้อย่างไร มันมองหาเป้าหมายและค้นพบได้ในไม่ช้า ในสัตว์ยักษ์ตัวนี้ก็มีผู้คนอยู่ภายใน มนุษย์ย่อมเป็นต้นเหตุของความโหดร้าย ร่างสีดำราวกับถ่านไฟออกวิ่งไป ขนแผงคอสีแดงที่สะบัดปลิวนั้นไม่ต่างจากเปลวเพลิง ทุกย่างก้าวที่กระแทกลงไปแทบจะจุดผิวของหนอนยักษ์ให้ลุกไหม้แม้แต่ในอวกาศที่เยียบเย็น และไม่อาจลุกติดไฟเช่นนี้ สิ่งที่ความโกรธเผาผลาญนั้นแท้จริงแล้วเป็นศัตรู หรือตนเองกันแน่ อวกาศที่อยู่ด้านหน้ายานตัวหนอนพลันถูกฉีกกระชากให้ขาดออกเป็นรูสู่อีกด้านหนึ่ง ซึ่งหากใช้เครื่องจักรเพื่อการนี้จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนด้วยพลังงานจำนวนมากมายมหาศาล แต่ทั้งหมดนี้กลับเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายเพราะมันเป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติของหนอนอวกาศเอง หนอนยักษ์เริ่มต้นการมุดที่มันคุ้นเคยทันที โดยเฉพาะครั้งนี้เมื่อมีสัตว์ประหลาดสีดำกำลังไต่ไปมาบนตัวเป็นแรงกระตุ้นเพิ่มขึ้น ความจริงเมื่อมุดเข้าไปแล้ว อีกฝั่งนั้นย่อมเป็นทางออก ระหว่างทั้งสองคล้ายมีเพียงอวกาศเบาบางกั้นเอาไว้ แต่เมื่อผ่านเข้าไปแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น ในช่องเบาบางนั้น กลับกลายเป็นที่ว่างอันไม่สิ้นสุด ยานหนอนอวกาศลอยเข้าสู่ความว่างเปล่าที่มันคุ้นเคย กิเลนที่ยังคงสนใจแต่เป้าหมายทำลายล้างของตนยังคงกระแทกจู่โจมลงบนหลังคาเกราะป้องกันของสะพานเดินเรือไม่หยุดหย่อน สร้างความแตกตื่นให้กับลูกเรือที่อยู่ภายในได้ไม่น้อย จะทำอย่างไรต่อดีครับกัปตัน ค่าความเสียหายที่แสดงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องทำให้ต้นหนใจไม่ดี ...หมุนยาน สะบัดมันให้หลุดไป กัปตันออกคำสั่งช้าๆ ลูกเรือทั้งหมดต่างเงยหน้าจากส่วนควบคุมของตน หันมามองกัปตันเป็นตาเดียว นั่นเป็นเพราะไม่เคยมีใคร หรือบันทึกใดบอกไว้ว่าเคยมีการทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน การบังคับหนอนอวกาศมุดผ่านรูหนอนนั้นเพียงแค่ระบุจุดหมายก็ไปถึงปลายทางได้แล้ว แต่ก็เป็นกระบวนการที่น่ากลัวที่สุดเช่นกัน เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดของสภาพภายในรูหนอน เนื่องจากเครื่องวัดทั้งหลายที่มีต่างไม่ทำงานภายในนี้ และหนอนอวกาศทำกระบวนการนี้ได้อย่างไรจนถึงบัดนี้ก็ยังคงไม่กระจ่างชัด การกระทำใดๆ ที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนมาตรฐานล้วนไม่ควรนำมาทดลองในที่นี้ แต่แรงกระแทกที่ต่อเนื่องยาวนานบนเพดานนั้นก็น่าหวั่นใจเช่นกัน เพราะยิ่งนานก็ยิ่งรู้สึกได้ว่ามันรุนแรงมากขึ้นทุกที หมุนยาน ช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป กัปตันย้ำคำสั่งของตน พยายามให้น้ำเสียงเป็นปกติที่สุด ...หมุนยานตามเข็มนาฬิกา ต้นหนเริ่มคำสั่ง ทุกคนพลันรู้สึกถึงแรงฉุดเบาๆ เสียงการจู่โจมเว้นห่างไปเพียงชั่วครู่ก่อนเริ่มขึ้นอีกครั้ง ต้นหนเริ่มเห็นค่าเกราะป้องกันบนดาดฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้ม แสดงว่าเข้าสู่ระดับอันตรายแล้ว หมุนทวนเข็มนาฬิกา ต้นหนออกคำสั่งอีกครั้ง เมื่อเห็นค่าเกราะป้องกันจะไต่เข้าสู่ระดับสีแดง ครั้งนี้เกิดเป็นแรงฉุดในทิศทางตรงกันข้ามที่รุนแรงขึ้น ลูกเรือทั้งหมดพากันเงี่ยหูฟังจนลืมหายใจ เสียงจู่โจมที่ดังต่อเนื่องนั้นพลันยุติลง เนื่องจากภายในรูหนอนไม่อาจมองเห็นภาพใดๆ ที่เกิดขึ้นทางด้านนอก ทั้งหมดจึงได้แต่คาดเดากันไปต่างต่างนานา ยานหนอนอวกาศเริ่มมุดออกสู่อวกาศปกติอีกครั้ง สิ่งแรกที่กัปตันออกคำสั่งคือใช้กล้องตรวจดูที่ผิวยานทั้งหมด แต่ก็ไม่พบสิ่งใดนอกจากร่องรอยความเสียหายที่กิเลนดำทิ้งไว้ กัปตันยืนเหม่อมองดูผืนน้ำสีฟ้าครามของดาวสภาแห่งระบบชีน่า อันเป็นสถานที่พำนักของท่านประธาน ผู้นำสูงสุดของสหดวงดาวแห่งจักรวาล องค์กรซึ่งเป็นผู้ชี้นำทิศทางของห้วงจักรวาลนี้ ดวงดาวนั้นช่างดูสงบเงียบ แทบไม่มีกิจกรรมหรือแสงสีจากเมืองให้พบเห็น นอกจากผืนป่าเขียว กับแม่น้ำใหญ่น้อย นับว่ายังคงรักษาธรรมชาติไว้ได้เป็นอย่างดี ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดเขาจึงเลือกเป้าหมายมายังดาวดวงนี้ บางทีอาจเนื่องจากภารกิจ บางทีหากเจ้าสัตว์ร้ายตัวนั้นจะสามารถรอดชีวิตลงไปสู่ดาวดวงนี้ได้ ส่งรายงานทั้งหมดไปแบบเข้ารหัสพิเศษทันที กัปตันออกคำสั่งเมื่อนั่งลงพร้อมกับถอดหมวกของตนออก น่ากลัวว่าผมบนศีรษะของเขาคงมีสีเทาเพิ่มขึ้นอีกมากจากการเดินทางในครั้งนี้ ครับ ต้นหนรีบรับคำ ก่อนย้อนดูค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างไม่เชื่อสายตา ...เราคงต้องเข้าอู่ซ่อมด่วน ครับ ต้นหนรายงาน ถ้าอย่างนั้นก็รีบไป กัปตันตอบอย่างไม่ใส่ใจ ...แล้วจะให้รายงานว่าความเสียหายนี้เกิดจากอะไรดี ครับ กัปตันกรอกตาครั้งหนึ่งก่อนตอบ เอาเป็นว่าเกิดจากการพุ่งชนกับกลุ่มสะเก็ดดาวก็แล้วกัน ครับ นั่นย่อมฟังดูดีกว่าการถูกสัตว์ประหลาดจู่โจมแน่นอน พอส่งรายงานไปแล้ว อย่าลืมทำลายบันทึกที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทิ้งด้วย ทราบแล้ว ครับ กัปตันหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน 'บางทีเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นอาจเป็นเหตุผลที่แท้จริงของการจู่โจมทำลายดาวดวงนั้นก็เป็นได้' แต่เขาไม่อยากคิด ไม่อยากรับรู้อะไรให้มากไปกว่านี้อีกแล้ว 'ไปขับยานขนส่งสินค้าอาจดีกว่า' ครั้งนี้อาจได้เวลาปลดระวางอย่างแท้จริงแล้วก็เป็นได้ สุดท้ายดาวคันธาแห่งระบบอิเดียก็เป็นดาวตกสำรวจอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเคยมีอะไรเกิดขึ้นบนดาวดวงนั้นมาก่อนก็ตาม
##### ความโกรธมอดดับลง หลังจากที่กิเลนถูกทิ้งเอาไว้ภายในความว่างเปล่าด้านในของรูหนอน เมื่อไร้รูเจาะทะลุ ที่แท้แล้วด้านใดคือนอก ด้านใดคือใน คงไม่มีผู้ใดตอบได้อย่างกระจ่างชัด นาโนแมชชีนลึกลับที่เคยเกาะกลุ่มเป็นรูปร่างของม้าดำแปดขาโจนทะยานไร้การควบคุม ก็ค่อยๆ ลดมวลสารลงจนกลับคืนสู่ร่างของเด็กหนุ่มที่เปล่าเปลือยอีกครั้ง ร่างนั้นเป็นสีเทาซีด เพราะลุกไหม้จนกลายเป็นเถ้า หรือว่าเป็นเพราะภายในสถานที่ประหลาดนี้ไม่มีสีสัน คงไม่มีผู้ใดตอบได้อย่างกระจ่างชัดเช่นกัน ร่างนั้นยังคงมีชีวิต เพราะนาโนแมชชีนทั้งหมดนี้ล้วนเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน โธพิล่องลอยอยู่ในความว่างเปล่า ถึงแม้จะมีหนอนอวกาศอาศัยอยู่ภายในนี้ หรือเดินทางผ่านไปมา แต่กลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นรอบกายของเขาเลย ร่างนั้นไม่อาจรับรู้ ไม่อาจสัมผัสได้ถึงสิ่งใด แม้แต่ตัวตน แม้แต่ประสบการณ์เลวร้ายที่เผชิญพบมา ที่แท้นับเป็นความรู้สึกเช่นใด เป็นทุกข์ทรมานไม่สิ้นสุด สุขสบายไม่จบสิ้น หรือเป็นอื่นใดกันแน่ เวลาก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจอ้างอิงได้ในสถานที่นี้ ภายนอกใช่ล่วงเลยไปสิบปี ร้อยปี พันปี หมื่นปี หรือย้อนกลับไปก่อนหน้า คงมีเพียงเมื่อเจาะรูมุดออกไปอีกครั้งจึงอาจตอบคำถามนี้ได้ ผู้ที่คิดค้นการควบคุมยานหนอนอวกาศก็ไม่เคยคิดถึงสิ่งนี้มาก่อน หนอนอวกาศเพียงอ้างอิงตัวมันกับเวลาก่อนจะมุดเข้าไป และกลับออกมาในเวลาที่ควรจะเป็น แต่หากรู้วิธีควบคุมบังคับที่ละเอียดลึกซึ้งถึงที่สุด อาจบางทีสามารถบังคับหนอนอวกาศให้เดินทางไปสู่ช่วงเวลาต่างๆ ได้ดังใจ แต่ก็อาจทำให้อวกาศภายนอกทั้งหมดขาดแกนค้ำจุน ทรุดตัวถูกดูดเข้าไปในรูหนอนจนหมดสิ้น ก่อนที่อวกาศภายในเองก็ต้องหายไปเช่นกันก็เป็นได้ เศษนาโนแมชชีนฟุ้งเป็นฝุ่นละอองสีเทาหลุดลอยจากร่างที่สงบนิ่งนั้นออกไปในทุกทิศทาง มองดูคล้ายดั่งขี้เถ้าในเตาไฟที่ดับมอดสนิทแล้ว อาจารย์ มารดา ลิ้วเฮียง เศษละอองสีเทา เหล่านาโนแมชชีนนั้นเริ่มมีสีสันขึ้นอีกครั้ง ไม่ใช่สีสันแต่เป็นสะเก็ดไฟ สะเก็ดไฟเล็กๆ ฟุ้งกระจายเหมือนกับในยามที่เปลวไฟพึ่งถูกจุด ติด หรือ มอดดับ ที่แท้คือสิ่งใด ร่างของโธพิเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง นาโนแมชชีนจำลองตัวเองเพิ่มขึ้นจากสิ่งที่มีอยู่ในอวกาศด้านใน ปีกที่ลุกเป็นไฟสองข้างค่อยๆ คลี่กางออก ก่อนติดตามมาด้วย ปาก หัว ลำตัว ขา กับหางยาวที่มีขนคล้ายรูปดวงตาสีเพลิงนับพัน นับหมื่น วิหคเพลิงที่กำเนิดขึ้นจากกองเถ้าถ่านสยายปีกออกบินไปในความว่างเปล่านั้น กรงเล็บเพลิงทั้งคู่ของมันฉีกกระชากอวกาศด้านในจนเกิดเป็นรูหนอน ก่อนมุดออกมาพบเจอกับดาวเคราะห์สีฟ้าดวงหนึ่งที่ห้วงอวกาศด้านนอก ตาทั้งสองของมันเป็นประกายคล้ายพบเจอเป้าหมาย ก่อนกางปีกโผพุ่งทะลวงผ่านชั้นบรรยากาศลงไปอย่างไม่รอช้า ร่างของวิหคเพลิงที่โผบินไปในค่ำคืนนั้นได้สร้างตำนานอัศจรรย์ให้กับผู้คนที่อาศัยอยู่บนดาวดวงนั้นขึ้นมากมาย บ้างบอกว่าเป็นลางแห่งการกำเนิดของจอมจักรพรรดิ์ บ้างก็ว่ามันเป็นนกวิเศษที่หากใครได้ดื่มกินโลหิตแล้วจะไม่แก่ไม่ตาย บ้างก็ว่ามันเป็นลางแห่งหายนะที่จะมาเยือน แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันหายไปยังที่แห่งใดกันแน่ ณ ยอดเขาสูงที่ไร้ผู้คน ตั้งอยู่ตอนกลางของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง ต้นไม้โบราณลำต้นขนาดใหญ่หลายสิบคนโอบพลันถูกแรงกระแทกจนทะลุกลายเป็นโพรงถ้ำ ภายในเกิดไฟลุกใหม้เผาผลาญอยู่นานนับปีจึงมอดดับลง แต่น่าประหลาดที่ต้นไม้โบราณนี้กลับยังคงยืนต้น มีชีวิตสืบต่อไปได้ หลังจากนั้นอีกเนิ่นนานจึงมีคนผู้หนึ่งมาพบพานศิลาหินประหลาดก้อนหนึ่งนอนสงบนิ่งอยู่ภายในโพรงต้นไม้นี้
Create Date : 02 มิถุนายน 2556 |
Last Update : 2 มิถุนายน 2556 1:17:41 น. |
|
2 comments
|
Counter : 534 Pageviews. |
|
|
|
โดย: zoi วันที่: 3 มิถุนายน 2556 เวลา:12:17:41 น. |
|
|
|
|
|
|
|
มันจบแล้วหรือครับ (เนื้อหามันบ่งบอกไว้เป็นนัย ๆ ยังงั้น)