ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2556
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
2 มิถุนายน 2556
 
All Blogs
 
โธพิ (ุ7) ศิลาวิหคเพลิง

ความโกรธพุ่งขึ้น

ร่างของโธพิที่อาบไล้ไปด้วยพลังจากแสงทำลายล้างที่ทำให้ทุกชีวิตบนดาวคันธาต้องแตกดับสลายไปต่อหน้า พลันมีมวลสารเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนรูปร่างจนกลายเป็นก้อนเนื้อที่บิดเบี้ยวน่ากลัว มันต้องการระบายความโกรธแค้นที่อัดแน่นอยู่ภายใน แต่เป้าหมายนั้นอยู่สูงขึ้นไปไกลเกินเอื้อม มันจึงต้องเปลี่ยนเป็นอะไรสักอย่าง เป็นอะไรที่มากกว่าร่างกายของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง

ภาพของกิเลน สัตว์ร้ายแห่งป่าต้องห้าม พลันผุดขึ้นในห้วงความทรงจำ

มวลสารที่เพิ่มขึ้นได้พบกับเป้าหมาย มันจึงขยับขยายเปลี่ยนรูปกายภายนอกให้กลายเป็นม้าดำแปดขาขนาดยักษ์ กลืนกินร่างของเด็กหนุ่มเอาไว้ภายใน ความโกรธที่ถูกทำให้กลายเป็นรูปธรรมส่งเสียงกู่ร้องที่ไม่มีใครได้ยิน ก่อนออกควบวิ่งไปสู่อวกาศ มุ่งตรงสู่เป้าหมายแห่งความโกรธของตน

ความโกรธโจนทะยาน

กิเลนดำยกขาหน้าทั้งสี่ขึ้นสูง โดยไม่ได้สงสัยเลยว่าพวกมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายตนได้อย่างไร ก่อนกระแทกลงสุดแรง พลังซาโตที่แตกซ่านส่งแรงทำลายกระจายออกไปตามผนังลำตัวที่แข็งแกร่ง และแน่นหนาของยานหนอนอวกาศระดับสังหารดวงดาว สิ่งมีชีวิตลึกลับที่อยู่ภายในรูหนอน แต่ถูกมนุษย์นำมาดัดแปลงใช้งาน

ความโกรธดุจไฟผลาญ

ทุกที่ทางล้วนเป็นสีแดง แม้แต่อวกาศก็ยังเป็นสีแดงฉาน มันหายใจในอวกาศได้อย่างไร มันวิ่งขึ้นมาได้อย่างไร มันจู่โจมได้อย่างไร มันไม่ได้คิด สิ่งเดียวที่คิด คือมันจะสร้างความเสียหายให้กับเจ้าสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่อยู่ใต้เท้านี้อย่างไร มันมองหาเป้าหมายและค้นพบได้ในไม่ช้า

ในสัตว์ยักษ์ตัวนี้ก็มีผู้คนอยู่ภายใน มนุษย์ย่อมเป็นต้นเหตุของความโหดร้าย

ร่างสีดำราวกับถ่านไฟออกวิ่งไป ขนแผงคอสีแดงที่สะบัดปลิวนั้นไม่ต่างจากเปลวเพลิง ทุกย่างก้าวที่กระแทกลงไปแทบจะจุดผิวของหนอนยักษ์ให้ลุกไหม้แม้แต่ในอวกาศที่เยียบเย็น และไม่อาจลุกติดไฟเช่นนี้ สิ่งที่ความโกรธเผาผลาญนั้นแท้จริงแล้วเป็นศัตรู หรือตนเองกันแน่

อวกาศที่อยู่ด้านหน้ายานตัวหนอนพลันถูกฉีกกระชากให้ขาดออกเป็นรูสู่อีกด้านหนึ่ง ซึ่งหากใช้เครื่องจักรเพื่อการนี้จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนด้วยพลังงานจำนวนมากมายมหาศาล แต่ทั้งหมดนี้กลับเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายเพราะมันเป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติของหนอนอวกาศเอง

หนอนยักษ์เริ่มต้นการมุดที่มันคุ้นเคยทันที โดยเฉพาะครั้งนี้เมื่อมีสัตว์ประหลาดสีดำกำลังไต่ไปมาบนตัวเป็นแรงกระตุ้นเพิ่มขึ้น ความจริงเมื่อมุดเข้าไปแล้ว อีกฝั่งนั้นย่อมเป็นทางออก ระหว่างทั้งสองคล้ายมีเพียงอวกาศเบาบางกั้นเอาไว้ แต่เมื่อผ่านเข้าไปแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น

ในช่องเบาบางนั้น กลับกลายเป็นที่ว่างอันไม่สิ้นสุด

ยานหนอนอวกาศลอยเข้าสู่ความว่างเปล่าที่มันคุ้นเคย กิเลนที่ยังคงสนใจแต่เป้าหมายทำลายล้างของตนยังคงกระแทกจู่โจมลงบนหลังคาเกราะป้องกันของสะพานเดินเรือไม่หยุดหย่อน สร้างความแตกตื่นให้กับลูกเรือที่อยู่ภายในได้ไม่น้อย

“จะทำอย่างไรต่อดีครับกัปตัน” ค่าความเสียหายที่แสดงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องทำให้ต้นหนใจไม่ดี

“...หมุนยาน สะบัดมันให้หลุดไป” กัปตันออกคำสั่งช้าๆ

ลูกเรือทั้งหมดต่างเงยหน้าจากส่วนควบคุมของตน หันมามองกัปตันเป็นตาเดียว นั่นเป็นเพราะไม่เคยมีใคร หรือบันทึกใดบอกไว้ว่าเคยมีการทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน

การบังคับหนอนอวกาศมุดผ่านรูหนอนนั้นเพียงแค่ระบุจุดหมายก็ไปถึงปลายทางได้แล้ว แต่ก็เป็นกระบวนการที่น่ากลัวที่สุดเช่นกัน เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดของสภาพภายในรูหนอน เนื่องจากเครื่องวัดทั้งหลายที่มีต่างไม่ทำงานภายในนี้ และหนอนอวกาศทำกระบวนการนี้ได้อย่างไรจนถึงบัดนี้ก็ยังคงไม่กระจ่างชัด

การกระทำใดๆ ที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนมาตรฐานล้วนไม่ควรนำมาทดลองในที่นี้ แต่แรงกระแทกที่ต่อเนื่องยาวนานบนเพดานนั้นก็น่าหวั่นใจเช่นกัน เพราะยิ่งนานก็ยิ่งรู้สึกได้ว่ามันรุนแรงมากขึ้นทุกที

“หมุนยาน ช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป” กัปตันย้ำคำสั่งของตน พยายามให้น้ำเสียงเป็นปกติที่สุด

“...หมุนยานตามเข็มนาฬิกา” ต้นหนเริ่มคำสั่ง ทุกคนพลันรู้สึกถึงแรงฉุดเบาๆ เสียงการจู่โจมเว้นห่างไปเพียงชั่วครู่ก่อนเริ่มขึ้นอีกครั้ง ต้นหนเริ่มเห็นค่าเกราะป้องกันบนดาดฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้ม แสดงว่าเข้าสู่ระดับอันตรายแล้ว

“หมุนทวนเข็มนาฬิกา” ต้นหนออกคำสั่งอีกครั้ง เมื่อเห็นค่าเกราะป้องกันจะไต่เข้าสู่ระดับสีแดง ครั้งนี้เกิดเป็นแรงฉุดในทิศทางตรงกันข้ามที่รุนแรงขึ้น ลูกเรือทั้งหมดพากันเงี่ยหูฟังจนลืมหายใจ

เสียงจู่โจมที่ดังต่อเนื่องนั้นพลันยุติลง

เนื่องจากภายในรูหนอนไม่อาจมองเห็นภาพใดๆ ที่เกิดขึ้นทางด้านนอก ทั้งหมดจึงได้แต่คาดเดากันไปต่างต่างนานา ยานหนอนอวกาศเริ่มมุดออกสู่อวกาศปกติอีกครั้ง สิ่งแรกที่กัปตันออกคำสั่งคือใช้กล้องตรวจดูที่ผิวยานทั้งหมด แต่ก็ไม่พบสิ่งใดนอกจากร่องรอยความเสียหายที่กิเลนดำทิ้งไว้

กัปตันยืนเหม่อมองดูผืนน้ำสีฟ้าครามของดาวสภาแห่งระบบชีน่า อันเป็นสถานที่พำนักของท่านประธาน ผู้นำสูงสุดของสหดวงดาวแห่งจักรวาล องค์กรซึ่งเป็นผู้ชี้นำทิศทางของห้วงจักรวาลนี้ ดวงดาวนั้นช่างดูสงบเงียบ แทบไม่มีกิจกรรมหรือแสงสีจากเมืองให้พบเห็น นอกจากผืนป่าเขียว กับแม่น้ำใหญ่น้อย นับว่ายังคงรักษาธรรมชาติไว้ได้เป็นอย่างดี

ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดเขาจึงเลือกเป้าหมายมายังดาวดวงนี้ บางทีอาจเนื่องจากภารกิจ บางทีหากเจ้าสัตว์ร้ายตัวนั้นจะสามารถรอดชีวิตลงไปสู่ดาวดวงนี้ได้

“ส่งรายงานทั้งหมดไปแบบเข้ารหัสพิเศษทันที” กัปตันออกคำสั่งเมื่อนั่งลงพร้อมกับถอดหมวกของตนออก น่ากลัวว่าผมบนศีรษะของเขาคงมีสีเทาเพิ่มขึ้นอีกมากจากการเดินทางในครั้งนี้

“ครับ” ต้นหนรีบรับคำ ก่อนย้อนดูค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างไม่เชื่อสายตา

“...เราคงต้องเข้าอู่ซ่อมด่วน ครับ” ต้นหนรายงาน

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบไป” กัปตันตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“...แล้วจะให้รายงานว่าความเสียหายนี้เกิดจากอะไรดี ครับ”

กัปตันกรอกตาครั้งหนึ่งก่อนตอบ “เอาเป็นว่าเกิดจากการพุ่งชนกับกลุ่มสะเก็ดดาวก็แล้วกัน”

“ครับ” นั่นย่อมฟังดูดีกว่าการถูกสัตว์ประหลาดจู่โจมแน่นอน

“พอส่งรายงานไปแล้ว อย่าลืมทำลายบันทึกที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทิ้งด้วย”

“ทราบแล้ว ครับ”

กัปตันหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน 'บางทีเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นอาจเป็นเหตุผลที่แท้จริงของการจู่โจมทำลายดาวดวงนั้นก็เป็นได้' แต่เขาไม่อยากคิด ไม่อยากรับรู้อะไรให้มากไปกว่านี้อีกแล้ว 'ไปขับยานขนส่งสินค้าอาจดีกว่า' ครั้งนี้อาจได้เวลาปลดระวางอย่างแท้จริงแล้วก็เป็นได้

สุดท้ายดาวคันธาแห่งระบบอิเดียก็เป็นดาวตกสำรวจอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเคยมีอะไรเกิดขึ้นบนดาวดวงนั้นมาก่อนก็ตาม

#####

ความโกรธมอดดับลง

หลังจากที่กิเลนถูกทิ้งเอาไว้ภายในความว่างเปล่าด้านในของรูหนอน เมื่อไร้รูเจาะทะลุ ที่แท้แล้วด้านใดคือนอก ด้านใดคือใน คงไม่มีผู้ใดตอบได้อย่างกระจ่างชัด

นาโนแมชชีนลึกลับที่เคยเกาะกลุ่มเป็นรูปร่างของม้าดำแปดขาโจนทะยานไร้การควบคุม ก็ค่อยๆ ลดมวลสารลงจนกลับคืนสู่ร่างของเด็กหนุ่มที่เปล่าเปลือยอีกครั้ง ร่างนั้นเป็นสีเทาซีด เพราะลุกไหม้จนกลายเป็นเถ้า หรือว่าเป็นเพราะภายในสถานที่ประหลาดนี้ไม่มีสีสัน คงไม่มีผู้ใดตอบได้อย่างกระจ่างชัดเช่นกัน

ร่างนั้นยังคงมีชีวิต เพราะนาโนแมชชีนทั้งหมดนี้ล้วนเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน

โธพิล่องลอยอยู่ในความว่างเปล่า ถึงแม้จะมีหนอนอวกาศอาศัยอยู่ภายในนี้ หรือเดินทางผ่านไปมา แต่กลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นรอบกายของเขาเลย ร่างนั้นไม่อาจรับรู้ ไม่อาจสัมผัสได้ถึงสิ่งใด แม้แต่ตัวตน แม้แต่ประสบการณ์เลวร้ายที่เผชิญพบมา ที่แท้นับเป็นความรู้สึกเช่นใด เป็นทุกข์ทรมานไม่สิ้นสุด สุขสบายไม่จบสิ้น หรือเป็นอื่นใดกันแน่

เวลาก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจอ้างอิงได้ในสถานที่นี้

ภายนอกใช่ล่วงเลยไปสิบปี ร้อยปี พันปี หมื่นปี หรือย้อนกลับไปก่อนหน้า คงมีเพียงเมื่อเจาะรูมุดออกไปอีกครั้งจึงอาจตอบคำถามนี้ได้

ผู้ที่คิดค้นการควบคุมยานหนอนอวกาศก็ไม่เคยคิดถึงสิ่งนี้มาก่อน หนอนอวกาศเพียงอ้างอิงตัวมันกับเวลาก่อนจะมุดเข้าไป และกลับออกมาในเวลาที่ควรจะเป็น แต่หากรู้วิธีควบคุมบังคับที่ละเอียดลึกซึ้งถึงที่สุด อาจบางทีสามารถบังคับหนอนอวกาศให้เดินทางไปสู่ช่วงเวลาต่างๆ ได้ดังใจ

แต่ก็อาจทำให้อวกาศภายนอกทั้งหมดขาดแกนค้ำจุน ทรุดตัวถูกดูดเข้าไปในรูหนอนจนหมดสิ้น ก่อนที่อวกาศภายในเองก็ต้องหายไปเช่นกันก็เป็นได้

เศษนาโนแมชชีนฟุ้งเป็นฝุ่นละอองสีเทาหลุดลอยจากร่างที่สงบนิ่งนั้นออกไปในทุกทิศทาง มองดูคล้ายดั่งขี้เถ้าในเตาไฟที่ดับมอดสนิทแล้ว

อาจารย์

มารดา

ลิ้วเฮียง

เศษละอองสีเทา เหล่านาโนแมชชีนนั้นเริ่มมีสีสันขึ้นอีกครั้ง ไม่ใช่สีสันแต่เป็นสะเก็ดไฟ สะเก็ดไฟเล็กๆ ฟุ้งกระจายเหมือนกับในยามที่เปลวไฟพึ่งถูกจุด

ติด หรือ มอดดับ ที่แท้คือสิ่งใด

ร่างของโธพิเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง นาโนแมชชีนจำลองตัวเองเพิ่มขึ้นจากสิ่งที่มีอยู่ในอวกาศด้านใน ปีกที่ลุกเป็นไฟสองข้างค่อยๆ คลี่กางออก ก่อนติดตามมาด้วย ปาก หัว ลำตัว ขา กับหางยาวที่มีขนคล้ายรูปดวงตาสีเพลิงนับพัน นับหมื่น

วิหคเพลิงที่กำเนิดขึ้นจากกองเถ้าถ่านสยายปีกออกบินไปในความว่างเปล่านั้น

กรงเล็บเพลิงทั้งคู่ของมันฉีกกระชากอวกาศด้านในจนเกิดเป็นรูหนอน ก่อนมุดออกมาพบเจอกับดาวเคราะห์สีฟ้าดวงหนึ่งที่ห้วงอวกาศด้านนอก ตาทั้งสองของมันเป็นประกายคล้ายพบเจอเป้าหมาย ก่อนกางปีกโผพุ่งทะลวงผ่านชั้นบรรยากาศลงไปอย่างไม่รอช้า

ร่างของวิหคเพลิงที่โผบินไปในค่ำคืนนั้นได้สร้างตำนานอัศจรรย์ให้กับผู้คนที่อาศัยอยู่บนดาวดวงนั้นขึ้นมากมาย บ้างบอกว่าเป็นลางแห่งการกำเนิดของจอมจักรพรรดิ์ บ้างก็ว่ามันเป็นนกวิเศษที่หากใครได้ดื่มกินโลหิตแล้วจะไม่แก่ไม่ตาย บ้างก็ว่ามันเป็นลางแห่งหายนะที่จะมาเยือน

แต่ไม่มีใครรู้ว่ามันหายไปยังที่แห่งใดกันแน่

ณ ยอดเขาสูงที่ไร้ผู้คน ตั้งอยู่ตอนกลางของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง ต้นไม้โบราณลำต้นขนาดใหญ่หลายสิบคนโอบพลันถูกแรงกระแทกจนทะลุกลายเป็นโพรงถ้ำ ภายในเกิดไฟลุกใหม้เผาผลาญอยู่นานนับปีจึงมอดดับลง แต่น่าประหลาดที่ต้นไม้โบราณนี้กลับยังคงยืนต้น มีชีวิตสืบต่อไปได้

หลังจากนั้นอีกเนิ่นนานจึงมีคนผู้หนึ่งมาพบพานศิลาหินประหลาดก้อนหนึ่งนอนสงบนิ่งอยู่ภายในโพรงต้นไม้นี้


Create Date : 02 มิถุนายน 2556
Last Update : 2 มิถุนายน 2556 1:17:41 น. 2 comments
Counter : 534 Pageviews.

 
โอย...เอ...อา...งง
มันจบแล้วหรือครับ (เนื้อหามันบ่งบอกไว้เป็นนัย ๆ ยังงั้น)


โดย: อาณาจักรแห่งเรา วันที่: 3 มิถุนายน 2556 เวลา:0:28:55 น.  

 
ยังไม่จบครับ ยังมีต่อ
เพียงแต่จะต่อยังไงดี ยังคิดได้ไม่ลงตัวครับ


โดย: zoi วันที่: 3 มิถุนายน 2556 เวลา:12:17:41 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.