ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2555
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
28 พฤษภาคม 2555
 
All Blogs
 

ห้องหนังสือ ตอน พรหมลิขิตบันดาลชักพา(3)

เจนภพ ไม่เข้าใจว่าทำไมหมู่นี้เขาจึงไม่เป็นตัวของตัวเองนัก เขาลุยผ่านชีวิตวัยหนุ่มมา ผ่านความรักที่ไม่สมหวังก็หลายครั้ง จนกระทั่งเขาคิดเข้าข้างตัวเอง ไม่ว่าจะมีความรักแบบใดอีก เขาก็คงจะผ่านมันไปได้ ผ่านมันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพบกับความสมหวัง แต่ตอนนี้เขาเริ่มไม่มั่นใจ ครั้งนี้มันไม่เหมือนกับที่เคย

เขารู้จักกับ จิตรา มาตั้งแต่เด็ก เป็นเพื่อนเรียนมาด้วยกันจนกระทั่งต่างแยกย้ายกันไปเข้ามหาวิทยาลัยคนละแห่ง เป็นเพื่อนที่ดีจนถึงวันที่ต้องจากลากันชั่วคราว ไม่มาก ไม่น้อย ไปกว่านั้น ช่วงที่ไม่ได้เรียนด้วยกัน การติดต่อก็เริ่มขาดหาย แต่ก็เท่านั้น เขาอยู่ในโลกของเขา ส่วนเธอก็อยู่ในโลกของเธอ

เวลาผ่านไป จนกระทั่งวันหนึ่ง การงาน สังคม สิ่งแวดล้อมก็นำพาให้พวกเขาได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ทั้งเขา และเธอต่างเป็นคนเดิมในความทรงจำของกันและกัน ยังคงเป็นเพื่อนที่ดี

จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ที่ดูเหมือนอะไร อะไร จะไม่เหมือนเดิม อย่างน้อยก็สำหรับตัวเขา เธอไม่ได้เป็นคนสวยโดดเด่น ไม่ได้แต่งหน้า แต่งตัวได้ดึงดูด ไม่ได้มีนิสัยดีอะไรหนักหนา เธอเป็นเพียงจิตรา ธรรมดา ธรรมดา และเขาคิดถึงเธอ มากขึ้น มากขึ้น ตลอดเวลา

ไม่เหมือนกับความรักที่เคยผ่าน เขารู้สึกเหมือนตัวเองได้ยินเสียงมาคอยกระซิบชื่อของเธออยู่ที่ข้างหู ไม่ว่าที่ไหน ไม่ว่าเมื่อไร ไม่ว่าในยามตื่น หรือยามหลับ

เขาเดินผ่านร้านกาแฟที่เคยซื้อเป็นประจำในยามเช้า 'ไปที่ร้านตรงโน้น ไปร้านโน้น' เพื่อที่เขาจะได้เจอกับเธอเข้าพอดี เขาเดินผ่านร้านข้าวกลางวันร้านโปรด 'ไปกินร้านนั้น ไปร้านนั้น' เพื่อที่จะได้เจอกับเธอโดยบังเอิญ อีกครั้ง

เขาเข้านอนเพื่อที่จะหลับตาฝันถึงเธอ เขาตื่นขึ้นเพื่อที่จะได้ออกไปพบกับเธอ มันไม่เหมือนกับความรักที่เขาเคยพบเจอมา มันเข้มข้น จนบ่อยครั้งที่เขารู้สึกอึดอัด คิดอะไรไม่ออก นอกจากชื่อของเธอ

“จิตรา จิตรา...”

ฉันยืนกระซิบอยู่ที่ข้างหู พร้อมกับมองผ่านหัวไหล่ของเขาลงไป เพื่อชื่นชมผลงานของตนเองในหนังสือที่วางอยู่ นิยายที่มีตัวเอกชื่อว่าเจนภพ นิยายชีวิตที่เขียนตัวเองขึ้นบนหน้ากระดาษว่างเปล่า ชีวิตที่ดำเนินไป คือหน้าใหม่ คือบทใหม่ อาจมีตอนที่แสนเศร้า ตอนที่หวานชื่น ตอนที่รันทด หรือตอนที่สุขสมหวัง

ชีวิตดำเนินไป หนังสือนิยายก็ยิ่งหนา ร่างกายของ นักอ่าน ก็เติบโตไปพร้อมกับมัน จากทารก เด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา จนกระทั่งถึงวันสุดท้าย วันที่นิยายดำเนินไปถึงตอนจบที่ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า แต่เป็นตอนจบที่ต้องมาถึงอย่างแน่นอน

คนเหล่านี้จะหยุดอ่าน ตื่นขึ้น และพบว่าพวกตนกำลังนั่งอ่านชีวิตอยู่ใน ห้องหนังสือ ห้องขนาดใหญ่ที่มีโต๊ะอ่านหนังสือ และนักอ่านจำนวนมากมาย เรียงรายมองเห็นไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา

ทุกคนต่างกำลังนั่งอ่านหนังสือไปเงียบๆ ใช้ชีวิตของตนในนิยายที่วางอยู่ตรงหน้า นิยายที่เหมือนจริง ชีวิตที่เหมือนนิยาย จนกว่านิยายจะจบ จนกว่าชีวิตจะสิ้นสุด

เมื่อถึงเวลา พวกเขาจะได้พบกับผู้ชายคนหนึ่ง ชายที่สวมใส่กางเกงยีนส์สีซีด เสื้อยืดสีขาว และแว่นตากรอบโลหะสีเงิน ผมดำยาวของเขาจะถูกมัดไว้อย่างเรียบร้อยทางด้านหลัง พร้อมกับท่าทางที่ดูเหมือนว่า ไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวลภายในห้องหนังสือประหลาดแห่งนี้

เขาคือ ผู้ดูแล เขาไม่มีชื่อ เขาบอกว่ามันไม่จำเป็น เขามีหน้าที่คอยตามเก็บหนังสือที่อ่านจบแล้ว พร้อมทั้งเปลี่ยนเล่มใหม่ ให้นักอ่านทั้งหลายได้นั่งอ่านต่อไป ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ในหนังสือนิยายเรื่องใหม่อีกครั้ง อีกหลายสิบ หลายร้อย หลายพันครั้ง หรือมากกว่านั้น

ส่วนตัวฉันชื่อ พริบดาว ชื่อที่เขาเป็นคนมอบให้อย่างไม่ตั้งใจ ก่อนหน้านั้นฉันเคยเป็น เมนี่ ผู้หญิงที่กินยาฆ่าตัวตายเพื่อหลบหนีจากชีวิตรันทดในหนังสือเล่มล่าสุดของตัวเอง ฉันก็เป็นนักอ่านคนหนึ่งเช่นกัน แต่ตอนนี้ฉันรับทำหน้าที่พิเศษ โดยเป็นผู้ช่วยของเขาอีกที

ฉันยังรู้จักตัวเขา และงานที่ทำอยู่ไม่ดีนัก เขาเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด ฉันจึงยังหลอกถามอะไรไม่ได้มาก ในขณะที่คำถามต่างๆ นั้นดูเหมือนจะมีอยู่นับไม่ถ้วน

ห้องหนังสือคืออะไร มันมาจากไหน มันเริ่มต้นขึ้นอย่างไร ใครเป็นคนสร้างมันขึ้นมา ทำไมทุกคนต้องอ่านหนังสือ หนังสือที่อ่านจบแล้วถูกเก็บไปเพื่อจุดประสงค์ใด หนังสือเล่มใหม่มาจากไหน เป้าหมายของทั้งหมดนี้คืออะไร และมีอะไรอยู่ข้างนอกห้องหนังสือ มันมีแต่คำถาม คำถาม และคำถาม สุมซ้อนสูงขึ้นไป แต่ไร้คำตอบ

เขาเคยบอกว่า 'มีเวลามากมายในห้องหนังสือ' ซึ่งฉันเชื่อเขา และจะพยายามค้นหาคำตอบทั้งหมดนี้ต่อไป หรือไม่ก็ขอใช้สิทธิกลับไปนั่งอ่านหนังสืออีกครั้ง กลับไปเป็นนักอ่าน ตามที่เขาเคยได้ให้สัญญาเอาไว้

นักอ่านคนนี้กำลังนอนหลับอยู่ในนิยายของเขา แต่การกระซิบชื่อจิตราซ้ำๆ ของฉันจะทำให้เขาคิดถึงเธอ เธอที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ

เป็นครั้งแรกที่ฉันได้พบคนสองคนซึ่งรู้จักกันในชีวิตจริง ฉันหมายถึงชีวิตในหนังสือ ในนิยายของพวกเขา ที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันในห้องหนังสือนี้

ฉันพบเจอกับคู่นี้เข้าโดยบังเอิญ พบกับทั้งสองในตอนที่พวกเขาหวนกลับมาพบกันอีกครั้งเข้าพอดี เรื่องราวในนิยายของทั้งคู่จึงเชื่อมโยงเป็นเรื่องเดียวกัน

เขาเคยบอกฉันว่าไม่ควรแอบอ่านนิยายของคนพวกนี้ แต่เขาแค่บอกว่าไม่ควร ไม่ใช่ห้ามอ่าน และฉันก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ทำมากนัก จึงอ่านพวกมันผ่านๆ เพื่อแก้เบื่อเท่านั้นเอง

อย่างน้อยการค้นพบในครั้งนี้ก็ช่วยตอบคำถามข้อหนึ่งให้กับฉัน โลกในหนังสือนั้นเชื่อมโยงถึงกัน ตัวละครในนิยายของคนหนึ่ง ก็คือนักอ่านคนอื่นๆ นั่นเอง มันเป็นเหมือนกับข่ายใยแมงมุมขนาดยักษ์ เชื่อมโยงทั้งหมดเข้าด้วยกัน เกี่ยวพันกันอย่างซับซ้อน ส่งผลกระทบถึงกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่ฉันก็ยังไม่อาจแน่ใจ มันอาจจะมีอยู่เพียงโลกเดียว หรือมากกว่านั้น นักอ่านทั้งหมดอาจอยู่ในโลกใบเดียวกัน หรือในนั้นอาจมีโลกอยู่หลายใบก็เป็นได้

ยังมีคำถามสำคัญอีกข้อหนึ่ง นักอ่านทั้งหมดนี้เป็นมนุษย์เท่านั้น ฉันไม่เคยพบกับนักอ่านที่เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นเลย และไม่คิดว่าจะมีด้วย สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในโลก ในนิยายพวกนั้นมาจากไหน พวกมันเป็นเพียงองค์ประกอบที่มีอยู่จริง เฉพาะภายในหนังสือนิยายเท่านั้นหรือ ฉันยังสงสัยอยู่

เหมือนที่ฉันบอก มันมีแต่คำถาม คำถาม และคำถาม โดยไม่มีคำตอบ หรืออย่างน้อยฉันก็ยังไม่รู้ว่าคำตอบคืออะไร หรือจะมองหามันได้จากที่ไหน

ฉันอ่านบนหน้ากระดาษ 'เขากำลังฝันถึงเธอ' และตอนนี้ฉันจะย้ายไปจัดการกับเธอบ้าง 'เธอก็จะฝันถึงเขา' แล้ว 'ทั้งสองก็จะรักกัน' มันคงเป็นพรหมลิขิต หรือไม่ก็ ฉันลิขิต แต่มันควรจะเป็นอย่างนั้น ทั้งคู่รู้จักกัน นั่งอยู่ข้างกัน มันต้องเป็นคู่แท้ที่เขาว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ฉันกำลังยิ้ม อิ่มเอิบกับสิ่งที่ทำลงไป แล้วก็มีใครเอื้อมมือมาจับที่ไหล่ ฉันกรีดร้องลั่น ทำให้นักอ่านที่นั่งอยู่ใกล้ๆ นี้ขวัญผวาอยู่โลกของพวกเขา บางคนอาจต้องฝันร้าย หลายคนอาจคิดว่าหูแว่ว อาจคิดว่าตัวเองถูกผีหลอก อาจเป็นอะไรที่เลวร้ายกว่านั้น หรืออาจไม่ส่งผลอะไรเลย

“ตาบ้า ตกใจหมดเลย”

นอกจากฉันคนนี้แล้ว ในห้องหนังสือก็มีอีกเพียงคนเดียวเท่านั้น ฉันไม่นับนักอ่านที่ทำได้เพียงนั่งอยู่นิ่งๆ พวกนี้ เขาคือผู้ดูแลซื่อบื้อคนนั้น

“ไม่ต้องตกใจ ผมเอง”

“ฉันรู้ นอกจากคุณแล้วจะเป็นใครได้อีก...”

เขาทำท่าเหมือนอยากจะโต้แย้ง แต่ก็ไม่พูดอะไร

“...แต่ทำไมต้องย่องมาเงียบๆ จากทางด้านหลังแบบนี้ด้วย เป็นใครก็ต้องตกใจทั้งนั้นแหละ”

เขามองหน้าฉัน

“พักหลังมานี้รู้สึกว่าคุณจะหายตัวไปบ่อยๆ ถ้าไม่ทำแบบนี้ ผมจะรู้ได้อย่างไร ว่าคุณแอบมาทำอะไรไร้สาระอยู่ตรงนี้”

ฉันหลบตา รู้สึกเหมือนเด็กซนที่ถูกจับได้ว่าแอบทำความผิด ฉันจึงทำเหมือนกับที่เมนี่ชอบทำ ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบเธอนัก แต่เธอเป็นเพียงคนเดียวที่ฉันจำได้ว่าเคยเป็น ถึงแม้จะเริ่มลืมๆ ไปบ้างแล้วก็ตาม ฉันเริ่มเถียง และกล่าวโทษทุกสิ่ง ยกเว้นตัวเอง เขารับฟังโดยไม่พูดอะไร

“...ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของคุณ ที่ไม่ยอมบอกเรื่องที่ฉันควรรู้ให้ครบถ้วน”

ฉันหยุดพักเพื่อหายใจ และรอฟังคำต่อว่าจากเขา บางที่เขาอาจจะไล่ฉันออกจากงาน ให้กลับไปนั่งอ่านหนังสือเหมือนเดิม 'ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร' ฉันไม่มีอะไรจะให้เสียอยู่แล้ว

ไม่แน่ว่าหนังสือนิยายเล่มใหม่ ชีวิตใหม่ของฉัน มันอาจจะรุ่งโรจน์โชติช่วงก็เป็นได้ แต่ฉันไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิดนี้เลยสักนิด ลึกๆ ลงไปฉันมั่นใจว่า มันจะต้องเป็นชีวิตสุดแสนรันทดอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย

“...เอ่อ ผมไม่ได้คิดจะต่อว่าอะไรคุณสักหน่อย ผมแค่อยากรู้ว่าคุณหายไปไหน ก็แค่นั้น”

ฉันไม่เชื่อหูตัวเอง

“แต่ แต่...ฉันเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในหนังสือ รบกวนพวกมัน ชักจูงมันไปอย่างที่ฉันอยากให้เป็น ฉันสร้างผลกระทบที่อาจจะกลายเป็นลูกโซ่ทำลายข่ายใยทั้งหมดของระบบห้องหนังสือนี้ก็เป็นได้ คุณไม่รู้หรือไงกัน”

เขายืนงง

“พริบดาว คุณพูดเรื่องอะไร ใครจะทำลายห้องหนังสือ ไม่มีใครทำอะไรห้องหนังสือได้ทั้งนั้น ยกเว้น...เอ้อ ไม่มีใครก็แล้วกัน แล้วผลกระทบอะไร ชักจูงอะไร สิ่งที่คุณทำลงไปน่ะเสียเวลาเปล่าทั้งนั้น”

ฉันต้องเป็นฝ่ายงงบ้าง

“ฉันเปลี่ยนแปลงเรื่องราวในนิยายของพวกเขา ทำให้มันเป็นอย่างที่ไม่ควรจะเป็น มันต้องส่งผลกระทบบ้างสิ”

ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกโกรธ ฉันไม่ได้โกรธตัวเองเลยสักนิด ถึงแม้ว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นจะเป็นความผิดร้ายแรง ฉันโกรธที่เขาไม่เห็นอันตรายในสิ่งที่ฉันทำ ไม่เห็นอันตรายที่กำลังคุกคามห้องหนังสือ เขายิ้ม

“ไม่เลย ผมแค่บอกว่า คุณไม่ควรไปยุ่งกับเนื้อหาในหนังสือพวกนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าการยุ่งกับพวกมันจะทำให้เกิดอันตรายใดๆ ผมแค่คิดว่ามันเป็นการเสียเวลาโดยใช่เหตุเท่านั้นเอง...”

ฉันอ้าปากค้าง

“เนื้อหาในหนังสือจะเป็นอย่างไรนั้นไม่สำคัญเลย ขอเพียงพวกเขานั่งอ่านมันไปจนจบเท่านั้น จะเล่มหนา เล่มบาง จบดี จบร้าย ยังไงก็ได้...”

เขายักไหล่

“...เล่มหนังสือเท่านั้นที่สำคัญ ส่วนเนื้อหาของนิยายที่บรรจุอยู่ในนั้น มันไม่ใช่ประเด็น”

ความเงียบสั้นๆ เกิดขึ้น ก่อนที่ฉันจะระเบิดใส่เขา รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกหลอก แต่ที่สำคัญกว่านั้น มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นคนโง่ คนที่คิดไปเองว่าตัวมีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลง หรือสร้างผลกระทบอันยิ่งใหญ่กับคนอื่นๆ กับสิ่งอื่นๆ สามารถสั่นสะเทือนโลกทั้งใบ 'อ้อ ไม่ใช่สิ' สั่นสะเทือนห้องหนังสือได้ทั้งห้อง

เขานิ่งฟัง ปล่อยให้ฉันบ่นไปเรื่อยๆ จนหมดแรงไปเอง

“เอาล่ะ คุณสบายใจขึ้นหรือยัง เรายังมีงานต้องทำ”

ฉันมองเขา อยากจะโกรธ แต่ก็รู้ว่าตัวเองผิด จะยอมรับผิด ก็ไม่ใช่คนอย่างฉัน อยากจะบ่นต่อ แต่ก็ไม่รู้จะบ่นอะไรแล้ว ฉันพยักหน้า ยอมรับข้อเสนอสงบศึกของเขา

“เอาล่ะ บอกตำแหน่งมา”

ฉันหมายถึงตำแหน่งของนักอ่านที่อ่านหนังสือจบ เพื่อไปเก็บหนังสือ และเปลี่ยนเป็นเล่มใหม่ให้พวกเขา ตำแหน่งพิกัดที่สลักอยู่บนโต๊ะทุกตัวภายในห้องหนังสือแห่งนี้ ฉันไม่เข้าใจพวกมันเลย ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามสอนอยู่หลายครั้ง ฉันจึงต้องใช้ ประตูห้องทำงาน ซึ่งง่ายกว่า

ประตูที่สามารถเปิดเข้าสู่ห้องทำงานได้จากทั่วทุกที่ ประตูที่สามารถเปิดออกจากห้องทำงานไปได้ทุกแห่ง แม้แต่พิกัดที่ฉันไม่เข้าใจเลยก็ตาม ที่ฉันต้องทำก็แค่คิดถึงพวกมันเอาไว้ แล้วเปิดประตูออกไป ห้องทำงานที่ฉันจะเข้าไปเมื่อไรก็ได้ ยกเว้นแต่เขา ซึ่งเป็นเจ้าของตัวจริงจะล็อคมันเอาไว้

ฉันเอื้อมมือออกไป แล้วประตูไม้บานหนึ่งก็โผล่ออกมาในที่ว่าง เมื่อฉันเปิดมัน ข้างในนั้นคือห้องทำงานที่เริ่มจะคุ้นเคย มันมีโต๊ะทำงาน กับเก้าอี้ไม้สองชุด หนึ่งสำหรับเขา หนึ่งสำหรับฉัน

ฉันทำเป็นลืมเรื่องในครั้งนั้น ไม่พูดถึงมันอีก แต่ยังคงแวะเวียนกลับไปแอบอ่านเรื่องราวความรักของพวกเขาทั้งสอง มันดูเหมือนจะก้าวหน้า ก่อนที่จะหยุดลง มันดูเหมือนจะจบ แต่กลับยังคงมีเยื่อใย แต่ฉันเบื่อมันเสียก่อน ไม่อยากรู้อีกแล้วว่ามันจะเป็นอย่างไร

#####

เอ วางเอกสารประกอบการสอนที่ได้รับมาอย่างงุนงง เขาไม่ได้อ่านมัน แต่อ่านสิ่งที่อยู่ด้านหลัง เรื่องสั้นที่ถูกทำสำเนามาจากหนังสือ มันมีอยู่ครบ จบเรื่องพอดี และเขาเคยอ่านเรื่องราวชุดนี้มาก่อน ในหลายช่วงเวลา เขารู้สึกพิศวงกับความน่าจะเป็นของเรื่องราวบนโลกใบนี้

ตอนนี้เขากำลังเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย ในคณะที่เขาไม่ได้อยากจะเลือกนัก แต่ต้องเรียนไปเพราะความจำเป็น ทุกเรื่องราวในชีวิตมักเป็นเช่นนี้

คนเขียนพยายามตีกรอบห้องหนังสือของเขาให้กระชับ ชัดเจนยิ่งขึ้น มีรายละเอียด ใส่เบาะแสเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะนำไปต่อยอดได้ในอนาคตลงไป

'แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ จะไม่ค่อยมีสาระอะไรสักเท่าไร'

มุมมองของคนเขียนช่างพิลึกสิ้นดี 'ชีวิตทั้งหมดสำคัญ แต่รายละเอียดข้างในกลับไม่สำคัญ' อย่างนั้นหรือ รายละเอียดทุกอย่างในชีวิตต่างหากที่สำคัญ ความรัก ความฝัน ผู้คนรอบข้าง อนาคต พวกมันต่างมีความสำคัญทั้งนั้น ชีวิตต้องมีสีสัน ต้องเฉิดฉาย มันถึงจะเป็นชีวิตที่แท้จริง




 

Create Date : 28 พฤษภาคม 2555
0 comments
Last Update : 28 พฤษภาคม 2555 13:03:51 น.
Counter : 1152 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.