ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
14 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 

โรนิน

รถเข็นรูปทรงเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมสร้างด้วยวัสดุสังเคราะห์สีทึบทึมแปลกตา ล้อที่อยู่ตรงมุมทั้งสี่มองดูคล้ายยาง คล้ายโลหะ แล่นบดไปบนซากผุพังของเส้นทางที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นถนนสายใหญ่ แต่ได้ถูกทำลายลงจนหมดสิ้นไปในสงครามครั้งสุดท้าย สงครามไร้ความหมายที่เกือบทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกใบนี้ต้องสูญสิ้นไป

บุรุษผู้หนึ่ง สวมใส่ชุดเสื้อผ้าเก่าขาด กับหมวกปีกกว้างปิดบังใบหน้า ใช้มือข้างหนึ่งจับก้านโลหะที่ยื่นออกมาจากรถเข็น ผลักดันให้มันเคลื่อนไปช้าๆ อย่างตั้งใจ สายตาของเขาแทบไม่เคยเบี่ยงเบนออกนอกเส้นทาง รถเข็นอยู่หน้า คนก้าวตามติด ไม่รู้ว่าเป็นคนเข็นรถ หรือรถเข็นลากจูงคนให้ติดตามไป

ท้องฟ้าขมุกขมัว อากาศเย็นเยือก ซึ่งเป็นสภาพอากาศเพียงหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ภายหลังการ ระเบิดครั้งใหญ่ อันถือเป็นการประกาศสิ้นสุดแห่งสงคราม หรือการล่มสลายของมนุษยชาติ

สงครามที่ไม่มีผู้ชนะ มีเพียงผู้แพ้ กับความย่อยยับ

ไกลออกไปจนสุดสายตาล้วนเต็มไปด้วยบรรดาซากสิ่งก่อสร้างที่ครั้งหนึ่งเคยแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของมนุษยชาติ พวกมันเคยสูงเสียดฟ้า ทายท้าต่อทุกสิ่ง แต่บัดนี้กลับถล่มราบลงอยู่แทบพื้นจนหมดสิ้น

ในความเงียบงัน มีเพียงชายผู้นี้กับรถเข็นประหลาดที่กำลังเคลื่อนไหว นับเป็นภาพที่ชวนท้อแท้สิ้นหวังอย่างถึงที่สุด แล้วจู่ๆ ทุกสิ่งพลันหยุดลง ผนึกแข็งค้าง ราวกับกาลเวลาได้ถูกแช่เย็นจนแข็ง

“...โซ...อิ…”

เสียงโหยหวนไม่ทราบที่มา ดังแว่วอยู่ในอากาศ ราวกับเป็นเสียงของเหล่าวิญญาณแค้นที่โหยหาร่างอันมีชีวิต ถวิลหาสิ่งที่ไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีกตลอดกาล

ชายผู้นั้นยังคงยืนนิ่ง ทอดสายตามองไปยังพื้นที่ว่างเบื้องหน้ารถเข็น คล้ายกับไม่ใส่ใจเสียงของปีศาจร้ายที่เรียกขานชื่อของเขา

ชื่อที่เปรียบเสมือนคำสาป ชื่อที่คอยดึงดูดเหล่าปีศาจให้ไล่ล่าติดตามขึ้นมาจากขุมนรกตนแล้วตนเล่า ชื่อที่นำเขามาสู่เส้นทางสายนี้

“…โซอิ เจ้าต้องตาย...”

‘หากต้องเป็นอย่างที่เจ้าว่า ข้าคงตายมาหลายร้อยครั้งแล้ว’

ความคิดที่ไม่ใช่ของเขาผุดขึ้นมาจากในส่วนลึกที่มืดดำ รอยยิ้มเกิดขึ้นที่มุมปากของเขาอย่างไม่อาจห้าม ใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลอันเกิดจากการต่อสู้บิดเบี้ยวไปอย่างน่ากลัว ไม่เพียงแค่บนใบหน้า แต่ตลอดทั้งร่างที่อัดแน่นไปด้วยมัดกล้ามเนื้อล้วนมีรอยแผลเป็นเช่นนี้ จนมองดูราวกับว่ามันถูกตัดเย็บขึ้นมาจากเศษชิ้นส่วนเล็กๆ นับร้อย เศษชีวิตที่ไม่ยอมแพ้พ่ายต่อความตาย

‘แทนที่จะจู่โจมลงมือในยามเผลอ กลับส่งเสียงบอกให้เป้าหมายรู้ตัวก่อน สำนักเงาสิ้นท่าถึงเพียงนี้แล้วเชียวหรือ’

นั่นไม่ใช่ความคิดของเขา เพราะที่จริงแล้วเขากำลังหวาดกลัว ฉับพลันสายลมก็พัดแรง ฝุ่นที่ยึดครองผืนดินทั้งหมดเอาไว้พากันฟุ้งกระจายขึ้นมากลายเป็นม่านอันแน่นหนา จนหากแม้นยกมือขึ้นมาก็ไม่อาจแลเห็นนิ้วทั้งห้าของตนเองได้

‘จำไม่ได้แล้วว่า ตอนนี้ข้ามีกี่นิ้วกันแน่’ ความคิดพวกนี้ผุดขึ้นมาราวกับเป็นตะกอนที่ถูกก่อกวน

หมายเลขสาม เริ่มทำงาน ซึ่งที่จริงมันก็ทำงานอยู่แล้วเพราะหมายเลขสามคือดวงตาทั้งสองของเขานั่นเอง เพียงแต่ตอนนี้ภาพที่มองเห็นกำลังเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเขามองเห็นเงาสีแดงเคลื่อนไปมาอยู่ในฉากหลังที่เป็นสีฟ้า มันเป็นการมองภาพจากความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างของศัตรูนั่นเอง

เงาสีแดงนั้นเคลื่อนที่เข้ามาอย่างรวดเร็วก่อนวกอ้อมไปทางด้านหลัง เขาเพียงเหลือบตา แต่ไม่ขยับตัวให้ศัตรูสงสัย

เขาเลือกใช้ หมายเลขสี่ ที่จริงแล้วเขาไม่ได้เป็นคนเลือก เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดอย่างจริงจังว่าในร่างของตนนั้นมีอาวุธชนิดใดซุกซ่อนอยู่บ้าง เขายกมือซ้ายชี้นิ้วไปยังเป้าหมาย บนหัวไหล่เปิดออกเป็นรูพร้อมกับดูดอากาศเข้าไปอย่างรวดเร็ว อัดแน่นอยู่ภายในแขน แล้วปลายนิ้วชี้ของเขาก็ถูกยิงพุ่งออกไปอย่างรุนแรง

ศีรษะของผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในม่านฝุ่นสะบัดกระเด็นไปตามแรงเมื่อถูกกระสุนนิ้วอัดอากาศกระแทกทะลวงออกไปอย่างแม่นยำ ไม่มีเลือด ไม่มีเศษเนื้อเยื่อ มีเพียงของเหลวสีดำเหนียวข้น กับเศษชิ้นส่วนโลหะกระจัดกระจาย

หมายเลขสี่ไม่เคยพลาดเป้า

‘เกือบจะไม่เคย’ เขาเรียนรู้แล้วว่าความเชื่อมั่นที่มากเกินไปนั้นจะส่งผลเช่นไร มันเป็นค่าตอบแทนที่แสนแพงสำหรับการเรียนรู้ในแต่ละครั้ง แผลเป็นที่เพิ่มมากขึ้น บางส่วนของร่างกายที่ขาดหายไป และในวันหนึ่งข้างหน้า มันอาจหมายถึงชีวิตของเขาก็เป็นได้

‘แล้วจะเป็นอะไรไปเล่า’ เขาคิดอย่างเจ็บปวด ‘เช่นนี้สามารถเรียกว่าเป็นชีวิตได้ด้วยหรือ’ แต่เขาก็อดเหลือบมองรถเข็นคันน้อยนั้นไม่ได้ เมื่อมองดูมันสายตาของเขาจึงเปลี่ยนแปลงไป

พายุฝุ่นสงบลงอย่างรวดเร็ว ร่างของนักฆ่าผู้ซ่อนตัวอยู่ในม่านฝุ่น เวลานี้ก็ถูกฝุ่น อันเป็นอาวุธสังหารของมันเองถมทับจนเกือบมิด บนศีรษะของมันสวมใส่หน้ากากประหลาด คาดว่าคงช่วยสำหรับการหายใจ และใช้ระบุตำแหน่งเป้าหมายด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง บางทีอาจคล้ายกับหมายเลขสามของเขา

แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่ามันสร้างสายลม สร้างม่านฝุ่นขึ้นได้อย่างไร

เขาก้าวเท้าเข้าหาร่างนั้นอย่างไม่ลังเล ทุกสิ่งล้วนมีประโยชน์ ทุกอย่างล้วนไม่อาจทิ้งขว้าง

‘มีบางอย่างไม่ถูกต้อง’

หมายเลขหนึ่ง ส่งเสียงเตือน มันไม่ใช่คำพูด ไม่ใช่เสียงที่ได้ยินผ่านทางหู แต่เป็นเสียงที่ดังขึ้นภายในใจ เสียงที่ช่วยให้เขารอดตายอย่างหวุดหวิดมาแล้วหลายสิบครั้ง

มีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหว หมายเลขสามพยายามจับภาพ แต่ช้าเกินไป เมื่อไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน อาวุธที่รวดเร็วไม่เคยพลาดเป้าอย่างหมายเลขสี่ก็ไร้ความหมาย

ภายใต้ร่างที่นอนจมกองฝุ่น กลับซุกซ่อนไว้ด้วยอีกร่างหนึ่ง ซึ่งเคลื่อนไหวได้รวดเร็วยิ่งกว่า ประมาทเพียงชั่วพริบตา เขาก็ต้องเป็นฝ่ายลงไปนอนเหยียดยาว แหงนหน้ามองดูร่างเปลือยเปล่าที่มีผิวสีเดียวกับฝุ่นยืนคร่อมอยู่ โดยมีขาข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนหน้าอกของเขา

บนร่างสีฝุ่นนั้นมีส่วนที่บ่งบอกถึงความเป็นเพศหญิงอยู่อย่างเด่นชัด แต่บนศีรษะล้านเลี่ยนไม่มีผมแม้แต่เส้นเดียว

“ส่งกุญแจมา”

เสียงนั้นอู้อี้จนฟังแทบไม่รู้เรื่อง แต่แรงที่กดลงมาบนหน้าอกนั้นไม่ธรรมดา รวมถึงเล็บเท้าแหลมคมที่จิกลงบนร่างของเขาด้วย

เขาขยับแขนซ้าย แต่ขาอีกข้างของเธอกลับรวดเร็วยิ่งกว่า ร่างอ้อนแอ้นนั้นบิดไปมาได้ราวกับไม่มีกระดูก หมายเลขสี่ หรือมือซ้ายของเขาขาดกระเด็นไป เขาลองขยับแขนขวาบ้าง แต่ดาบโลหะคม หมายเลขหก ที่ซ่อนอยู่ภายในยังไม่ทันเลื่อนออกมา แขนขวาที่เคยเป็นของเขาก็ถูกเท้าข้างนั้นบิดกระชากขาดออกเสมอไหล่

ยังคงไม่มีเลือด มีเพียงของเหลวสีดำเหนียวข้น กับเศษชิ้นส่วนโลหะกระจัดกระจายเช่นเดียวกัน

ถึงตอนนี้เขาจึงเริ่มกรีดร้อง แต่เสียงนั้นก็แค่ดังก้องอยู่ภายใน โซอิ อดีตสุดยอดฝีมือแห่งสำนักเงา ย่อมไม่อาจร้องไห้เช่นนี้ได้

การเคลื่อนไหวของนางปีศาจตนนี้นับว่ารวดเร็วเหนือธรรมดา เขามองเห็นใบพัดขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงบริเวณกึ่งกลางลำตัวที่มีเรือนร่างอวบอัดของเธอกำลังหมุนวนอย่างรวดเร็ว ก่อนค่อยๆ ชะลอช้าลง

‘มันอาจเกี่ยวข้องกับพลังของเธอ’ หมายเลขหนึ่ง กำลังทำงานอย่างเต็มที่เพื่อหาทางเอาชีวิตรอด 'ยังเหลือ...' นางปีศาจแสยะยิ้มใช้เท้าข้างเดิมหักขาทั้งสองของเขาในทันที พวกมันขาดออกอย่างไม่ยากเย็นเลย '…ตอนนี้ไม่เหลือแล้ว'

เขาพยายามกรีดร้องอีกครั้ง

“หากยังไม่ยอมมอบกุญแจออกมา ก็ตายซะ” พอพูดจบแรงกดบนหน้าอกก็ทวีคูณขึ้นทันที “หากถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย โชอิ จะยังคงเป็นอมตะตามคำเล่าขานอยู่หรือไม่”

‘เช่นนี้จึงนับเป็นนักฆ่าจากสำนักเงาที่แท้จริง’

เสียงจากก้นบึ้งแห่งความมืดดังใกล้เข้ามา ‘มันออกมาแล้ว’ ในยามที่ตกอยู่ในสภาวะคับขัน มันผู้นั้นที่หลับใหลอยู่ในส่วนลึกที่สุดก็จะตื่นขึ้น มันผู้เป็นเจ้าของนามต้องสาป ชีวจักรกลผู้มีพลังต้องห้าม ชีวจักรกลที่แม้แต่พวกเดียวกันยังต้องหวาดกลัว

หมายเลขศูนย์ พลันตื่นขึ้น โซอิ คือนามของมัน

หมายเลขสี่ที่หลงเหลืออยู่บางส่วนเริ่มทำงานอีกครั้ง แต่เนื่องจากไม่มีส่วนมือที่เป็นลำกล้อง อากาศที่อัดไว้จึงยิงออกไปได้ไม่รุนแรงนัก แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ลมผสมฝุ่นพุ่งเข้าใส่ใบพัดของนางปีศาจที่กำลังหมุน รบกวนการทำงานของมันแม้จะเพียงแค่เล็กน้อยก็ตาม

'ความจริงเพียงพริบตา ดุจดั่งเป็นชั่วนิรันด์'

วิญญาณของเด็กน้อยไร้ชื่อ ไร้ความทรงจำ ที่หลงเข้ามาติดอยู่ภายในร่างอันประกอบขึ้นจากเศษซากของจักรกลชีวิต หลบหนีเข้าสู่ด้านใน เขานั่งกอดเข่าอยู่ในความมืดมิดเดียวดาย ข้างนอกนั่น โซอิ ที่หลับใหลมาโดยตลอดกำลังออกอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง ถึงแม้ว่าร่างของมันจะเสียแขนขาไปแล้วก็ตาม

ปีศาจพวกนี้คือ ชีวจักรกล จักรกลที่มีชีวิต อันประกอบขึ้นจากเครื่องจักร และเลือดเนื้ออย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้

พลังชีวิตอันมากล้นจากสิ่งมีชีวิต และผู้คนที่ล้มตายในระหว่างสงครามไม่อาจถ่ายเทไปสู่ที่ใดได้ จำนวนของสารชีวภาพนั้นมีไม่เพียงพอ กระบวนการประหลาดอย่างหนึ่งจึงเริ่มต้นขึ้น เศษซากชิ้นส่วนของเครื่องจักรกลต่างๆ เริ่มมีชีวิตขึ้น รวมตัวกัน เลียนรูปแบบจากมนุษย์ แล้วกลายเป็นชีวจักรกล เครื่องจักรที่มีบางส่วนของชีวิต

นับเป็นการถือกำเนิดของสายพันธุ์ชีวิตชนิดใหม่ขึ้นบนโลกใบนี้

พวกมันมีร่างกายที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า มีพลังมากกว่ามนุษย์หลายเท่า และเพียงไม่นาน พวกมันก็รู้ตัวว่าสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการกำจัดมนุษย์ที่ยังคงเหลือรอดอยู่ให้หมดสิ้นไปจากโลกของพวกมัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของ สำนักเงา ที่ชุมนุมของเหล่าชีวจักรกลทั้งมวล

แล้วสงครามระหว่างมนุษย์กับชีวจักรกล หรืออาจเรียกว่าการไล่ล่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็เริ่มต้นขึ้น

นางปีศาจเร่งพลังจนถึงขีดสุด ใบพัดหมุนติ้วจนร้อนแดง พายุฝุ่นฟุ้งกระจาย เธอเริ่มเคลื่อนไหวร่างกายที่อ้อนแอ้นอย่างรวดเร็วผสานไปกับสายลม ราวกับเธอกำลังควบขับมัน รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน

'จงดู' โซอิ ส่งเสียงตวาด แต่เป้าหมายของมันกลับเป็นเด็กน้อยที่เอาแต่หลบซ่อนอยู่ภายในร่างของตน วิญญาณเด็กน้อยหลงทางที่ได้พบกันโดยบังเอิญ แต่กลับเข้ามายึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในร่างของมันไป มันไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นมากนัก ที่มันสนใจมีเพียงความแข็งแกร่ง การต่อสู้ และการฆ่า ซึ่งมันยังคงสามารถพบเจอได้อยู่เสมอ แต่ความอ่อนแอของวิญญาณดวงนี้ก็ก่อให้เกิดความรู้สึกบางอย่าง ทำให้มันทั้งสนใจ และรำคาญในเวลาเดียวกัน

'จงดู และจดจำไว้'

ร่างชีวจักรกลของ โซอิ เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง มันเป็นชีวจักรกลที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน ชีวจักรกลทั่วไปแม้จะมีพลังที่กล้าแกร่ง แต่ร่างของพวกมันก็สามารถถูกทำลายลงได้ พวกมันยังคงสามารถ 'ตาย' ได้เช่นเดียวกับมนุษย์ แต่ร่างของโซอินั้นแตกต่างออกไป

เศษชิ้นส่วนจากร่างกายของมันที่ถูกฉีกกระชากขาดกระจายไปทั่วเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง นางปีศาจที่รู้จักความสามารถอันน่าขยะแขยงนี้เป็นอย่างดี รีบพุ่งเข้าจู่โจมสุดแรง

แขนซ้ายส่วนที่เหลือของมันพลันรวมเข้ากับเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นก่อนกลายสภาพเป็นดาบขนาดใหญ่ มันแสยะยิ้มพร้อมกับทิ่มแทงดาบยักษ์ออกไปอย่างรวดเร็ว ปลายดาบแทงเข้าที่กึ่งกลางใบพัดอย่างแม่นยำ ตัดพวกมันจนกระเด็นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

เสียงกรีดร้องของนางดังก้องไปทั่วทุ่งรกร้าง

สายลมสงบ ฝุ่นจางขาดหาย ร่างของนางปีศาจห้อยต่องแต่งเสียบอยู่บนดาบ มองดูน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง โซอิ จากไปแล้ว หมายเลขศูนย์หยุดนิ่งลงอีกครั้ง ปล่อยเด็กน้อยให้ลืมตาขึ้นมาเพียงลำพัง มันจากไปโดยไม่เอ่ยสิ่งใดแม้แต่คำเดียว

เขาสะบัดมือที่กลายเป็นดาบ เหวี่ยงร่างที่เสียบค้างอยู่ให้หล่นลงสู่พื้น

'ทั้งหมดนี้เพื่อสิ่งใดกัน' เหตุใดเขาจึงต้องมาติดอยู่ภายในร่างชีวจักรกลกับปีศาจร้ายเช่นนี้ด้วย โลกนี้กำลังล่มสลาย มนุษย์จะดิ้นรนไปเพื่อสิ่งใด 'แล้วฉันยังนับเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือ' ถึงแม้จะไม่มีความทรงจำใดๆ แต่เขาก็ยังคงระลึกได้ถึงสิ่งหนึ่ง ซึ่งน่าประหลาดเป็นอย่างยิ่ง

เขาเป็นมนุษย์

'จงก้าวไปตามเส้นทาง เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้'

เสียงนั้นอีกแล้ว เสียงที่แว่วดังอยู่ภายในร่าง เสียงประหลาดซึ่งไม่มีที่มา ไม่มีหมายเลข 'ไม่รู้ว่าโซอิจะได้ยินมันด้วยหรือไม่' แต่เขาคิดว่ามันเองก็คงได้ยินเช่นกัน 'แล้วมันจะมีความคิดเห็นอย่างไร' เขาไม่รู้ เขาไม่คิดว่าตนเองรู้จักปีศาจตนนี้ดีพอ มันเป็นชีวจักรกลที่รังเกียจแม้แต่พวกเดียวกันเอง

เขาไม่รู้ว่าทั้งหมดนั้นเริ่มต้นขึ้นอย่างไร แต่ดูเหมือนโซอิจะก่อการกบฏขึ้นในสำนักเงา และถูกไล่ล่าตั้งแต่ก่อนที่พวกเขาทั้งสองจะได้พบเจอกันโดยบังเอิญ

'แต่มันก็ช่วยฉันมาตลอด'

นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจปฏิเสธ หากไม่มีมันเขาก็คงจบชีวิตไปนานแล้ว ‘หรืออาจจะไม่ ตราบใดที่ฉันยังติดอยู่ภายในร่างต้องสาปนี้’

เขาเอื้อมมือออกไปสัมผัสกับเศษซากร่างที่หลงเหลืออยู่ของนางปีศาจ ก่อนที่จะเริ่มการดูดกลืนบางส่วนเข้ามา แล้วปรับเปลี่ยนให้ร่างกายกลับคืนสู่สภาพใกล้เคียงกับของเดิม ไม่มีดาบขนาดยักษ์นั้นอีก แขนขากลับคืนมา และเพิ่มใบพัดที่มองดูคล้ายกับหัวเข็มขัดขึ้นอีกอย่าง

สายลมพัดผ่านมาเบาๆ ทำให้ใบพัดเริ่มหมุนไปช้าๆ เขารู้สึกถึงกระแสพลังงานที่ไหลเวียนไปทั่วร่าง พลังที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของนางปีศาจที่พึ่งถูกกำจัดไป

เขาเดินกลับไปยังรถเข็นซึ่งถูกจอดทิ้งไว้ ลูบไล้มือไปมาด้านบนกล่อง ทั้งหมดไร้รอยต่อเรียบลื่นเป็นชิ้นเดียวกันยกเว้นเพียงรูเล็กๆ รูหนึ่งที่เชื่อกันว่าเป็นรูกุญแจ ‘เมื่อครู่นางปีศาจใช่เอ่ยว่าต้องการกุญแจหรือไม่’ หรือเธอจะหมายถึงกุญแจที่สามารถไขความลับของรถเข็นคันนี้

'มีสิ่งใดอยู่ภายในกล่องกันแน่'

เขาไม่แน่ใจว่าโซอิจะรู้อะไรหรือไม่ ‘มันต้องรู้แน่’ แต่บางทีมันอาจไม่สนใจ ‘มันไม่เคยสนใจสิ่งใดนอกจากการฆ่า’

’คำตอบทั้งหมด รออยู่ที่สุดเส้นทางสายนี้’

‘เสียงนั้นอีกแล้ว หรือว่า’ บางทีเสียงปริศนาอาจดังออกมาจากภายในกล่องใบนี้ ที่สุดเส้นทางจะมีสิ่งใด ที่สุดขอบฟ้าจะมีคำตอบแบบไหน เส้นทางของโลก มนุษย์ และชีวจักรกล จะดำเนินต่อไปเช่นไร

ที่สำคัญเขาจะรอดชีวิตไปถึงจุดหมายได้หรือไม่

ในท่ามกลางความคิดที่สับสน มีเพียงเสียงหัวเราะกวนๆ ของโซอิที่ดังก้องออกมาจากความมืดมิดเป็นคำตอบ

‘คงมีเพียงหนทางเดียวที่จะรู้ได้’

เขาเริ่มออกแรงเข็นรถออกไปอีกครั้ง รถเข็นอยู่หน้า คนก้าวตามติด ไม่รู้ว่าเป็นคนเข็นรถ หรือรถเข็นลากจูงคนให้ติดตามไปกันแน่




 

Create Date : 14 มีนาคม 2556
0 comments
Last Update : 14 มีนาคม 2556 12:28:05 น.
Counter : 1751 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.