ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2556
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
9 มิถุนายน 2556
 
All Blogs
 

โธพิ (ุ8) นักบวชพเนจร

นักบวชผู้มีดวงตาโปนโต ผิวดำคล้ำ สวมใส่เสื้อผ้าเก่าขาด ในมือถือขันใบหนึ่ง เดินเที่ยวท่องไปตามถนนสายเล็กๆ ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ล้วนทำเป็นมองไม่เห็น จนกระทั่งมีหญิงนางหนึ่งตัดสินใจถือถ้วยข้าวเดินเข้าไปเทลงในขัน

“ขอบคุณ” เขาพึมพำเบาๆ

“...ท่านพูดภาษาของเราได้” แม้จะพบเห็นจนเริ่มคุ้นชิน แต่ผู้คนภายในชุมชนเล็กๆ เชิงขุนเขาแห่งนี้ กลับไม่มีใครเอ่ยปากพูดคุยกับนักบวชจากต่างแดนนี้มาก่อน บางทีอาจเป็นเพราะใบหน้าที่แลดูดุร้ายจนเกินไปนั้นก็เป็นได้

“เราย่อมพูดได้” เขายิ้มเห็นฟันขาว ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยให้ใบหน้านั้นดูดีขึ้นแล้ว กลับทำให้น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม จนหญิงผู้นั้นก้าวถอยหลังไปอย่างลืมตัว

นักบวชจึงรีบหุบยิ้ม ก้มหน้าเดินมุ่งไปสู่ขุนเขาต่อไป

ระหว่างทางมีเด็กสองสามคนรุมล้อมชายผู้หนึ่งเอาไว้ คนผู้นี้นอกจากขายขนมหวานซึ่งเป็นผลไม้ต่างๆ ฉาบด้วยน้ำตาลแล้ว ยังบอกเล่านิทานแปลกประหลาดให้กับเหล่าลูกค้าตัวน้อยด้วย จึงเป็นที่ถูกอกถูกใจอย่างยิ่ง

“ท่านว่าผู้เฒ่าคนนั้นนั่งหันหลังขี่ลาไปจริงหรือ” เด็กชายผู้หนึ่งส่งเสียงถาม

“ถูกแล้ว”

“แล้วปล่อยให้ลานั้น เดินไปตามใจของมัน” เด็กหญิงอีกคนพูดไป หัวเราะไปอย่างขบขัน

“ถูกแล้ว”

“ผู้เฒ่านั้นคงชราจนเสียสติไปแล้ว” เด็กชายพูดพร้อมกับยกขนมในมือขึ้นกัดกิน

“ผู้คนต่างนับถือท่านผู้นั้น ว่าเป็นนักปราชญ์ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่ง”

เด็กเด็กมองหน้ากันไปมาก่อนที่คนหนึ่งจะตะโกนขึ้นว่า “ท่านโกหก” คนที่เหลือต่างส่งเสียงสนับสนุนขึ้นอย่างสนุกสนาน ก่อนแยกย้ายวิ่งหนีไปคนละทิศทาง แม้แต่คนเล่าเองก็ส่งเสียงหัวเราะขึ้นด้วยเช่นกัน

“นักบวชรับขนมของข้าด้วย” ชายผู้นั้นกวักมือ พร้อมกับส่งเสียงเรียกเมื่อนักบวชเดินใกล้เข้ามา

“ขอบคุณ” เขาพึมพำเบาๆ เหมือนเคย

พ่อค้ารีบกลบเกลื่อนสีหน้าประหลาดใจในคำตอบซึ่งเป็นภาษาที่คุ้นเคยด้วยรอยยิ้มที่ตนเชี่ยวชาญ ก่อนชวนพูดคุย “ได้ยินว่า ท่านพำนักอยู่บนแดนลับแลใช่หรือไม่” พร้อมกับวางผลไม้ฉาบน้ำตาลที่เสียบด้วยไม้ยาวลงในขันใบเก่า

'แดนลับแล' นักบวชนึกขึ้นได้ว่านั่นเป็นชื่อที่ชาวบ้านแถบนี้ใช้เรียกยอดเขาสูงลูกนี้

“ถูกแล้ว”

พ่อค้าลดเสียงลงก่อนถามต่อไป

“ท่านเคยพบเจอรังของนกไฟหรือไม่ มีเรื่องเล่าลือมากมายว่าวิหคเพลิงที่อดีตจอมราชันย์เคยพบเห็นนั้น ได้แอบมาทำรังอาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้”

"ไม่เคย” เขาตอบโดยไม่ต้องขบคิด “บนเขามีนกมากมายหลายชนิด แต่หากมีนกที่ปีกลุกไหม้เป็นไฟจริง รับรองว่าต้องไม่อาจรอดสายตาของเราไปได้”

“ยังมีคำกล่าวอีกว่า หากได้ดื่มกินโลหิตของมันจะไม่แก่ไม่ตาย และมีเพียงผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นจึงจะสามารถพบเห็นวิหคเพลิง”

'แต่ถึงอย่างนั้น คำเล่าลือเกี่ยวกับการพบเห็นตัวมันกลับมีอยู่มากมาย' เขาเพียงนึก แต่ไม่ได้ตอบโต้ออกไป

“เราขออำลา”

“...เดี๋ยว ท่านนักบวช” พ่อค้าเรียกรั้งเขาเอาไว้ “ไม่ทราบว่าที่ท่านสอนสั่งนั้นเป็นแนวคิดความเชื่อใดกัน”

นักบวชเงยหน้าขึ้นสบตากับพ่อค้า มันคล้ายกับมีความหมายซุกซ่อนอยู่มากมายภายในชั่วพริบตานั้น เขายกมือชูขึ้นหนึ่งนิ้ว ฟ้าดินพลันคล้ายหยุดนิ่งไม่อาจเคลื่อนไหว

“เราไม่อาจสอนสั่งสิ่งใดทั้งสิ้น”

พร้อมกับคำตอบ นักบวชก็รีบเดินจากไป ปล่อยพ่อค้าไว้กับความงุนงงของตัวเอง ที่แท้คำตอบนั้นเป็นคำตอบ หรือไม่ใช่คำตอบกันแน่

จากตีนเขาจนถึงยอดความจริงนับเป็นระยะทางไกลโข แต่นักบวชผู้นี้เพียงก้าวเดินไปเรื่อยๆ ไม่นานก็บรรลุถึง เขาหยุดเท้าลงที่หน้าโพรงถ้ำซึ่งเมื่อได้เข้าไปสำรวจดูแล้วจึงค่อยทราบว่า มันเป็นภายในลำต้นของไม้ใหญ่แปลกประหลาด เขานั่งลงที่หินใหญ่ก้อนหนึ่งซึ่งอยู่ตรงปากทางเข้า ก่อนลงมือรับประทานสิ่งของที่เดินขอมาได้ แล้วจึงมุดหายเข้าไปในโพรงถ้ำนั้น

ภายในมืดมิดแม้แต่ในยามกลางวัน น่าแปลกที่เขากลับไม่เคยพบเจอสัตว์ร้าย หรือแมลงพิษใดๆ ภายในนี้

นักบวชนั่งลงหันหน้าเข้าหาผนังถ้ำ จ้องดูมันแม้จะเห็นเพียงความมืดก็ตาม ภายในนี้ไม่มีสิ่งใดร้ายกาจไปกว่าสิ่งต่างๆ ที่อยู่ภายในใจของเขาอีกแล้ว

'ชายชราหันหลังขี่ลา'

ภาพนั้นปรากฎขึ้นในห้วงความคิด เขานึกขัน หากบอกว่ามันมีความหมายแอบแฝงอันใด ทุกชีวิตที่ก้าวเดินไปก็ล้วนมีความหมายเช่นนั้น หากบอกว่ามันเป็นเพียงเรื่องขบขัน มันก็เป็นเพียงเท่านั้น

เวลาผ่านไป ในความมืดพลันบังเกิดความเคลื่อนไหว นักบวชลุกขึ้นแล้วเริ่มร่ายรำเพลงมวยที่คิดค้นขึ้นมา ที่บ้านเกิดอันห่างไกลของเขานั้นไม่มีวิชามวยเช่นนี้ ที่ใกล้เคียงที่สุดคือ มวยปล้ำ ซึ่งเน้นการทุ่ม จับ รัด โจมตีที่ข้อต่อต่างๆ ของศัตรู แต่ในดินแดนห่างไกลนี้ มีวิชาการต่อสู้ที่แตกต่างออกไป ซึ่งเขาเรียนรู้ด้วยความสนใจอย่างยิ่ง

หายใจเข้า เขางอนิ้วทำมือเลียนแบบเป็นกรงเล็บ ย่อกาย อย่างทรงพลัง

“ชีวิตนั้นขับเคลื่อนไปด้วยสิ่งใดกัน”

หายใจออก ร่างกายกระโจนออกไป จากสภาวะหยุดนิ่ง แปรเปลี่ยนเป็นรวดเร็ว ดุดัน คล้ายแมวใหญ่

“ทุกเสี้ยวแห่งชีวิตคือการหลบหนีจากความยากลำบากทั้งหลาย”

หายใจเข้า กรงเล็บนั้นเริ่มตะกุยออกไปรอบทิศ

“อึดอัด ก็ต้องหายใจ หิว ก็ต้องออกหาอาหาร กระหาย ก็ต้องเสาะหาน้ำดื่ม เหนื่อยล้า ก็ต้องหาที่พักนอน แม้แต่ปวดหนักเบาก็จำเป็นต้องปลดทุกข์ จากความลำบากอย่างหนึ่ง ไปสู่ความลำบากต่อไป ไม่สิ้นสุด”

หายใจออก มือทั้งสองนั้นพลันกางออก แขนสยายดุจปีกของปักษาใหญ่

“ผู้คนวนเวียนอยู่ในความลำบากไม่จบสิ้นจนคุ้นชิน แต่จิตใจกลับเหินบินมองเห็นเป็นโลกซ้อนโลก สร้างความทุกข์ยากในใจขึ้นไปอีกชั้น”

หายใจเข้า ร่างนั้นพลันลอยขึ้น สองเท้าเตะจู่โจมต่อเนื่อง

“ซ้ำยังโผบินไปสู่อดีต อนาคต ขึ้นสวรรค์ ลงบาดาล คล้ายกับว่าแค่ชีวิตตรงหน้านี้ก็ยังทุกข์ยากไม่เพียงพอ”

หายใจออก ร่างนั้นพลันย่อลงต่ำ นิ้วมือทั้งห้าจีบเข้าหากัน ลื่นเลื้อยฉกออกอย่างรวดเร็ว

“เทพเจ้าบงการความสุข ปีศาจก่อเกิดทุกข์ยาก ยกทุกสิ่งให้เป็นเพราะตัวตนอันยิ่งใหญ่ภายนอก กลายเป็นพิธีกรรมมากมาย”

หายใจเข้า ท่าเท้าก้าวยาว ลำตัวอ่อนพลิ้ว สองมือฉกตวัดต่อเนื่อง

“ผู้คนถามหาคำตอบ แต่กลับไม่มีผู้ใดยินยอมนั่งลงขบคิดอย่างแท้จริง”

หายใจออก นิ้วชี้พลันยื่นออก สองแขนยกงอ หลังยืดตรง เอวย่อลงเล็กน้อย

“เมื่อมีผู้ที่ขบคิดอย่างแท้จริงเกิดขึ้น คำตอบนั้นกลับยิ่งก่อกวนให้เกิดความสงสัย”

หายใจเข้า ท่าเท้าเปลี่ยนเป็นการก้าวย่าง ส่งแรงจากเอว สองมือเคลื่อนไหวเป็นวงกลม จากบนลงล่าง จากล่างขึ้นบน เกาะเกี่ยวสลับไปมา คล้ายแมลงล่าเหยื่อ

“กาลเวลาผ่านไป เราจึงคิดนั่งลง เสาะหาคำตอบให้กับตัวเองบ้าง”

หายใจออก ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปอีกครั้ง มือข้างหนึ่งยกขึ้นเกาหัว ก่อนกระโจนไปมาอย่างรวดเร็ว

“ที่แท้คำสอนใดคือแกน สิ่งใดเป็นเปลือก เราควรเข้าใจในสิ่งใดกัน”

หายใจเข้า ท่าแขน ท่าเท้า พลันเปลี่ยนเป็นซับซ้อนสับสน จนยากคาดเดาทิศทาง คล้ายสัตว์ซุกซนปีนป่ายห้อยโหนไปบนยอดไม้

เมื่อถึงตอนนี้เขาก็ไม่อาจเอ่ยถามสิ่งใดได้อีก

ในความมืดทุกสิ่งพลันกลับคืนสู่ความสงบ ร่างของนักบวชกลับมาอยู่ในท่านั่งจ้องมองกำแพงเหมือนเช่นเดิม คล้ายกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นทั้งสิ้น

ทันใดนั้น เขาพลันรับรู้ถึงสิ่งแปลกประหลาดบางอย่างที่เกิดขึ้นภายในกาย คำตอบที่ขบคิดมาเนิ่นนานนั้นคล้ายกำลังจะคลี่กางตัวตนให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน พลังบางอย่างไหลวนเวียน จนร่างของเขาลอยขึ้นจากพื้นด้วยตัวเอง กำแพงในความมืดตรงหน้าคล้ายมีประกายไฟเล็กๆ จุดสว่างวาบขึ้น ทำให้เขามองเห็นรูปเงาของนกยักษ์ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในนั้น

“ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพียงการหลองลวง” นักบวชส่งเสียงตะโกนก้อง

'ข้าคือวิหคเพลิง' เสียงนั้นคล้ายดังออกมาจากความมืด

“เจ้าคือการหลอกลวง” นักบวชรีบหลับตาลงเพื่อสงบใจ

'เจ้าต้องการชีวิตอมตะหรือไม่' เสียงคล้ายดังมาจากที่ห่างไกล คล้ายดังอยู่ข้างหู คล้ายดังอยู่ภายในหัวของเขาเอง

“ข้าเพียงต้องการมีชีวิตอย่างแท้จริงเท่านั้น”

เขาตอบออกไปพร้อมกับลืมตาขึ้น รอบกายเหลือเพียงความมืดมิดเงียบงัน คล้ายกับทุกสิ่งเมื่อครู่นั้นเป็นเพียงมายาภาพที่เกิดขึ้นภายในใจ และหากแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่อาจแยกแยะ จะยังมีผู้ใดสามารถตอบได้

ทั้งหมดนี้ใช่เกิดขึ้นจริงหรือไม่ คงไม่อาจมีผู้ใดล่วงรู้

ในที่สุดนักบวชจึงตัดสินใจเดินออกไปจากโพรงถ้ำมืด เมื่อขาของเขากำลังจะก้าวพ้นออกไปสู่แสงสีสุดท้ายแห่งยามสนธยา เขาพลันเข้าใจในบางสิ่ง และไม่เข้าใจในทุกสิ่งไปพร้อมกัน

ภายในโพรงถ้ำมืดนั้นคือแกนไม้ที่ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นที่ว่าง แต่ต้นไม้ใหญ่กลับยังคงเติบโตต่อไปได้ เพราะเปลือกไม้ที่มีชีวิตยังคงอยู่ ที่แท้แกนทั้งหมดก็เคยเป็นเปลือกไม้มาก่อน ส่วนเปลือกไม้ก็จะกลายเป็นแกนต่อไป ทั้งแกนและเปลือกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งเดียวกันนั่นคือ

“...มันไม่สำคัญเลย”

นักบวชพเนจรผู้จากบ้านเกิดออกเดินทางมายังสถานที่ห่างไกล ที่ทั้งแปลกและแตกต่างไปจากทุกสิ่งที่ตนเคยรู้จัก มาเพื่อค้นหาคำตอบ และคงมีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่จะตอบตัวเองได้ว่า สุดท้ายแล้วเขาได้พบเจอ หรือไม่ได้พบเจอคำตอบนั้นหรือไม่

ในวันนั้นนักบวชได้ก้าวลงจากยอดเขา และไม่เคยย้อนกลับขึ้นมายังสถานที่แห่งนี้อีกเลย

#####

ตัวตนของโธพิลืมตาขึ้นในความมืดมิด

'ทั้งหมดนั้น อะไรคือความฝัน อะไรคือความเป็นจริงกันแน่'

มารดา ลิ้วเฮียง ความรัก ความเศร้า ความโกรธ ความคิดความรู้สึกทั้งมวล อาจารย์ตาระ พลังซาโต คำสั่งเสียสุดท้าย จักรวาล ดวงดาว หนอนอวกาศ รูหนอน อวกาศด้านใน นาโนแมชชีนลึกลับ ดาวสีฟ้าเก่าแก่อันเป็นต้นกำเนิดแห่งมวลมนุษย์ เรื่องราวในความคิดอันสับสนของนักบวชพเนจร และภาพของชายคนหนึ่งซึ่งนั่งเคาะนิ้วลงบนเครื่องจักรประหลาดที่สร้างตัวอักษรปั้นเรื่องราวขึ้นบนหน้าจอ

ตัวตนของโธพิหลับตาลงอีกครั้ง

เวลาเคลื่อนต่อไป ดวงดาวสีฟ้าหมุนวนเร็วขึ้น เร็วขึ้น มนุษยชาติเผชิญพบกับความตกต่ำ สงคราม ความเจริญ รวมถึงปัญหาเก่าแก่ กับคำตอบที่เปลี่ยนไป หรือไม่เคยเปลี่ยนไป ทั้งหมดหมุนเวียนสับเปลี่ยนไปมาอย่างไร้รูปแบบ จนกระทั่งการเดินทางออกสู่อวกาศอย่างแท้จริงได้เริ่มขึ้น

ติดตามมาด้วยการค้นพบหนอนยักษ์ กับรูหนอน อันนำไปสู่การสร้างนาวาหนอนอวกาศ นำพามนุษยชาติให้แพร่กระจายออกไปทั่วจักรวาล การค้นพบพลังซาโตของปรมาจารย์ลำดับที่หนึ่ง การรวมตัวกันเป็นสหดวงดาวแห่งจักรวาลเพื่อความสงบสุขที่ไม่เคยมีอยู่จริง จุดเริ่มต้นแห่งคำทำนายของผู้นำมาซึ่งสมดุลแห่งพลัง

อาจารย์ตาระ กับศิษย์รัก การล่มสลายของสำนักพลังซาโตอันเก่าแก่ รวมถึงการก้าวขึ้นเป็นประธานสหดวงดาวแห่งจักรวาลของลูกศิษย์คนเดียวกันนี้ ผู้ใช้พลังซาโตคนสุดท้ายที่มีนามว่าเสินกวง

ทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นจากดวงดาวสีฟ้า และคงต้องจบลงที่ดาวดวงเดียวกัน




 

Create Date : 09 มิถุนายน 2556
3 comments
Last Update : 9 มิถุนายน 2556 10:59:58 น.
Counter : 524 Pageviews.

 

มาทักทายก่อนค่า ^^

ยังไม่ได้เริ่มต้นอ่านจริงจังเลยค่ะ

 

โดย: lovereason 9 มิถุนายน 2556 19:34:32 น.  

 

เอ... แล้วจะยังไงต่อนะ งวดนี้ทำท่าจะจบอีกแล้ว แต่ก็ยังเหมือนจะเขียนต่อ แต่คือไม่ได้อยากให้จบหรอก แต่ความหมายของเนื้อหามันส่ออย่างนั้น

 

โดย: อาณาจักรแห่งเรา 10 มิถุนายน 2556 10:47:50 น.  

 

สารภาพว่ามันเขียนต่อไม่ออกครับ
แต่จะปล่อยจบแบบนี้ก็ไม่อยาก
เลยพยายามจะเข็นไปให้ถึงบทสรุปให้ได้ครับ

 

โดย: zoi 13 มิถุนายน 2556 7:21:00 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.