หมายเหตุก่อนอ่าน : กลอนนี้ประพันธ์ขึ้นเพื่อไว้อาลัย เด็กชายชนาทิพย์ อิ่มเจริญ ( ตัน ) ผู้เป็นหลายชายคนหนึ่งของเรา ซึ่งถูกฆาตรกรรมเสียชีวิตไปประมาณเย็นวันที่ 18 ตุลาคม 2551 และมีกำหนดพิธีฌาปนกิจศพในวันที่ 23 ตุลาคม 2551 ซึ่งขอระบายความในใจด้วยว่า เงื่อนงำในการฆาตรกรรมนั้น ยังคงเป็นปริศนา ว่าเนื่องมาจากสาเหตุใดกันแน่ แต่ว่าตัวคนร้ายนั้นเป็นที่รู้พ้องต้องกันอย่างไม่ต้องสงสัยเลยทั่วทั้งหมู่บ้าน เพียงแต่ว่าไม่มีหลักฐาน และบัดนี้มันได้ถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว และหลบหนีไปจากพื้นที่เป็นที่เรียบร้อยอย่างไร้ร่องรอย เพราะเดิมก็เป็นคนที่ไม่มีที่มาที่ไปและไร้บัตรประชาชนอยู่แล้ว สภาพศพที่พบนั้นทำให้รู้สึกได้ถึงความอำมหิตของคนร้าย แม้จะ ม.2 แล้ว แต่เด็กคนนี้ตัวเล็กและผอมบางนิดเดียว ทั้งอย่างนั้นมันยังฆ่าได้ลงคอ แถมเขาเองก็เป็นเด็กขยัน อยู่กับแม่สองคน แต่ก็ช่วยหาเลี้ยงแม่เขาอย่างดี แทบจะเรียกได้ว่าวิถีชีวิตของเขาเข้าขั้นอยู่อย่างพอเพียงเอามากๆ ทุกอย่างที่ปลูกไว้เอาไปขายเป็นเงินได้ทั้งหมด แต่ได้มาก็ให้แม่ทั้งหมดเช่นกัน เขาไม่เคยทำตัวเหลวไหล และ ไม่เคยเอาเงินไปใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น แม้แต่กับข้าวก็แทบจะไม่ซื้อ แต่หาผักปลาในไร่ในสวนมาทำให้แม่กินแทนวันเกิดเหตุ คือเย็นวันที่ 18 ตุลาคมนั้น แม่เขาไปร่วมงานบุญจัดองค์ผ้าป่าที่จะไปวัดในวันที่ 19 ตุลาคม 2551 โดยทิ้งเขาไว้คนเดียว เขาออกไปโกยดินถมคันสวนใกล้ๆ บ้าน ซึ่งก่อนออกจากบ้าน แม่ก็ได้เตือนเขาให้ระวังตัวด้วย เพราะไม่ไว้ใจคนเฝ้าสวนบ้านใกล้เรือนเคียง ที่มักจะมีพิรุธน่ากลัวและเป็นคนติดยาบ้า แต่เมื่อแม่กลับมาจากงาน ก็ไม่พบตัวเขา เฝ้าตามหาทั่วบ้านจนดึกดื่นค่อนคืน ด้วยปกติเขาเป็นเด็กดีไม่เคยเที่ยวเตร่จากบ้านไปไหน แต่ตามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ จนกระทั่ง เช้าวันที่ 20 ตุลาคม 2551 เขาระดมคนในหมู่ญาติพี่น้อง และเพื่อนบ้านมาร่วมปรึกษาเพื่อออกตามหาลูก แล้วก็มีเพื่อนบ้านคนหนึ่งไปนั่งเก็บเห็ดโคนในคันสวน สังเกตเห็นมือข้างหนึ่งลอยโผล่ขึ้นในคลองเล็กๆ ที่ล้อมรอบสวนนั้น เพ่งพินิจแน่ชัดแล้วจึงตะโกนขึ้นมาว่า เจอแล้ว ! เจอแล้ว! เมื่อมามุงดูแล้วเห็นชัดว่ามือคน ก็รื้อกิ่งหนามที่ทับถมอยู่และทางมะพร้าวออกไป ( แปลกนะ ที่ตรงนั้นไม่มีต้นมะพร้าวเลย แต่กลับมีทางมะพร้าวมาปกคลุมอยู่ในที่นั้น ) รวมทั้งเอาหญ้าแห้งที่เน่าถมอยู่ออกไปด้วย ศพจึงปรากฏให้เห็น มีสภาพเลอะโคลนมาก เพราะคนร้ายเอาโคลนถมไว้อีกชั้นหนึ่ง แต่เพราะความอืดบวกกับพงต้นหนาม ทางมะพร้าว และหญ้าเน่าเอาออกไปแล้ว ทำให้โคลนที่ถมไว้เอาไม่อยู่ จนลอยขึ้นมา เมื่อชันสูตรจนแน่ใจว่าใช่ แม่เขาร้องไห้จนเป็นลมเลยทีเดียว เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจมากๆ เพราะเขาเคยขี่จักรยานเอาของมาฝากป้าเราขายบ่อยๆ เจอกับแม่เรา แม่เราก็ยังทักทายปราศรัยด้วยอย่างสนุกสนาน แต่วันนี้ เด็กดีที่น่าจะมีอนาคตสดใสและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ขยันขันแข็งอย่างซื่อตรงคนหนึ่ง กลับมาด่วนจากไปเสียแล้ว แม่เราบ่นว่า คนดี ทำไมผีไม่คุ้ม ทำไมต้องเอาเขาไปด้วย แล้วแม่เขาจะอยู่กับใคร เราเองก็สะท้อนใจ แต่ที่เจ็บใจมาก ก็คือ แม้แม่เขาจะบอกว่าไม่อยากเอาเรื่องคนร้าย เพราะอยากให้เวร ระงับด้วยการไม่จองเวร แต่คิดๆ ดูแล้ว เราก็กลัวอย่างหนึ่งนะ ถ้าปล่อยเขาไป เขาจะไม่ไปทำร้ายคนอื่นต่ออีกหรือ? และนี่อาจไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำ เพราะตอนสอบปากคำ เขาไม่มีทีท่าสำนึกได้ และยังไปขอร้องคนอื่นๆ ก่อนเรื่องจะถึงตำรวจด้วยว่า ห้ามบอกว่าเขาเคยเกี่ยวพันอะไรกับเด็กคนนี้โดยเด็ดขาด เพราะเดี๋ยวตำรวจจะมาสอบปากคำเขา ถ้าไม่ได้ทำจริง ก่อนที่จะพบศพ เหตุใดจึงไปดักคอคนอื่นๆ ไว้แบบนั้น แต่สุดท้ายตำรวจก็สอบปากคำเขาได้ไม่กี่ชั่วโมงแล้วก็ปล่อยตัวไป ถ้าบริสุทธิ์ใจจริง พอปล่อยตัวแล้ว ทำไมต้องรีบร้อนหนีออกจากพื้นที่ไปเลยทันที อยู่มานานเท่าไรก็อยู่ได้ ทำไมมารีบหนีเอาตอนนี้ ? การที่เขาเป็นคนติดยาเสพติด โทษแค่เพียงเสพยาบ้าและเป็นคนเถื่อนที่ไม่มีบัตรประชาชน ก็สามารถที่จะรั้งตัวเขาไว้ได้แล้ว แต่ตำรวจก็ไม่ทำอะไร ปล่อยไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำไมเป็นอย่างนั้น ?!ที่ผ่านมา แถวบ้านเราไม่เคยปรากฏคดีฆาตรกรรมที่ทำให้เราสะเทือนใจถึงเพียงนี้ พอมาเจอคดีฆาตรกรรมที่ใกล้ตัวเอามากๆ อย่างนี้ ก็สุดจะทนกับเรื่องที่ว่า สังคมไทยเรา ความเป็นธรรมอยู่ที่ใดแน่? และความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตายมิใช่หรือ แต่ทำไม คนดีๆ มักจะตายไปพร้อมกับความจริง ที่ควรจะได้รับการตรวจสอบจนกระจ่างเป็นที่เปิดเผย มันอาจเป็นความเชื่อที่สันติ หากคิดว่า เวร ย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร แต่หากปล่อยคนชั่วเหล่านั้นไป และเขาได้ใจว่าไม่มีอะไรทำร้ายเขาที่ทำชั่วได้ มันก็จะย่ามใจ และทำอย่างเดิมซ้ำๆ อีก เพราะ สันดอนขุดได้ แต่สันดานเปลี่ยนไม่ได้ แล้วจะมีต้องคนที่ร้องไห้เสียใจอย่างแม่ของน้องตันเขามากมายอีกสักกี่รายกันแน่ เวรกรรมจึงจะ มี จริงเสียที ?!