เรื่องที่ไม่มีสอนในโรงเรียนแพทย์: The Untold Stories from The Medical School.
ปฏิบัติการ "เอนเทบเบ้"

วันก่อนผมนั่งดูสารคดีทาง national geographic channel เรื่องปฏิบัติการ "เอนเทบเบ้" พอดีนึกขึ้นได้ว่าตัวเองก็มีหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ แต่เจ้ากรรม... หาหนังสือไม่เจอ ก็เลยค้นข้อมูลจากใน internet มาประกอบการเขียนเรื่องนี้แทน อ่านแล้ววิเคราะห์วิจารณ์ตามมุมมองของแต่ละบุคคลได้ครับ

..........

สามสิบสองปีก่อน ประเทศอูกานดาอยู่ภายใต้การปกครองของคนคนนี้...
His Excellency, President for Life, Field Marshal Al Hadji Doctor Idi Amin Dada, VC, DSO, MC, Conqueror of the British Empire.
...อีดี้ อามิน
...อันนี้เป็นชื่อที่เจ้าตัวตั้งให้ตัวเอง แล้วบอก(บังคับ)ให้ประชาชนเรียกว่าอย่างนั้น

หน้าตาเจ้าตัวเป็นเช่นนี้...


อีดี้ อามิน


ไม่ถึงกับหล่อเหลาเอาการ แต่ก็นับว่าใช้ได้อยู่

อีดี้เป็นประธานาธิบดีอูกานดาอยู่ 8 ปี ช่วง ค.ศ. 1971-1979 (รัฐประหารมา และถูกรัฐประหารไป) ช่วงที่เป็นประธานาธิบดีอยู่นั้นคงมีเรื่องราวให้อีดี้ต้องทำต้องคิดอยู่หลาย เรื่อง แต่เรื่อง "ปฏิบัติการเอนเทบเบ้" นี่คงเป็นเรื่องหนึ่งที่ท่านอยากจะลบออกจากความทรงจำอันขมขื่นรองลงมาจากการถูกรัฐประหารและต้องระหกระเหเร่ร่อนไปตายต่างบ้านต่างเมืองในที่สุด (คุ้น ๆ นะ)

มาดูกันว่า "ปฏิบัติการเอนเทบเบ้" นั้นจริง ๆ คืออะไร...

เดือนกรกฎาคมเมื่อสามสิบสามปีที่แล้ว ค.ศ. 1976 สายการบินแอร์ฟรานซ์ บินออกจากเทล อาวีฟแวะรับผู้โดยสารที่กรีซ มีที่หมายปลายทางคือปารีส ตอนแวะที่กรีซมีสลัดอากาศผู้ก่อการร้ายขึ้นเครื่องไปด้วยสี่คน ชายสามหญิงหนึ่ง ชายสองคนเป็นปาเลสไตน์สังกัดกลุ่มแนวหน้าปลดปล่อยปาเลสไตน์ใหม่(ชื่อยาว ๆ จำยากครับไม่แน่ใจว่ามีความสัมพันธ์อะไรกับอาราฟัดหรือเปล่า) กับชายหญิงเยอรมันหัวรุนแรงชาตินิยมอีกสองคน พอสัญญาณรัดเข็มขัดปิด ผู้โดยสารทั้งสี่ก็ลุกขึ้นยึดเครื่องบินโดยใช้ปืนและระเบิด... อ้าว ขนขึ้นเครื่องบินไปได้อย่างไร ?

เข้าใจว่าช่วงนั้นขบวนการปลดปล่อยปาเลสไตน์หัวรุนแรงหลาย ๆ กลุ่มเตรียมการเอาไว้แล้วเรื่องจี้เครื่องบิน(เป็นงานที่งกลุ่มนี้ทำอยู่เป็นระยะอยู่ก่อนแล้ว) พอดีกับที่สนามบินมี "นัดหยุดงาน" การดูแลไม่เข้มงวด เลยลักไก่เอาอาวุธขึ้นเครื่องไปปฏิบัติการจี้เครื่องบินเอาเสียเลย เป้าหมายของพวกนี้ก็คือให้รัฐบาลอิสราเอลปล่อยนักโทษ-มือก่อการร้ายหัวรุนแรงหลายคน (หนึ่งในนั้นมีคนญี่ปุ่นหัวรุนแรงอยู่คนหนึ่งด้วย/เป้าหมายสูงสุดคือปลดปล่อยรัฐปาเลสไตน์จากการอยู่ใต้อาณัติของประเทศอิสราเอล)

จี้เสร็จก็พาข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปเติมน้ำมันที่ ลิเบีย (มูฮัมมาร์ กัดดาฟี) มีผู้หญิงท้องคนหนึ่งได้ลงเครื่องที่นี่เพราะท้องแก่และกลัวเด็กในท้องจะเกิดปัญหา จากนั้นบินเข้าอาฟริกาตะวันออก ไปประเทศอูกานดา ซึ่งมีประธานาธิบดี "ตลอดชีพ" (President for Life) ที่ชื่อ "อีดี้ อามิน" เป็นประธานาธิบดีอยู่ ไปร้องขอความช่วยเหลือจากอีดี้ อามิน ทั้งเรื่องที่พัก อาหาร การคุ้มครอง และการเจรจากับอิสราเอล ระยะทาง 3000 กิโลเมตรจากอิสราเอล

ฝ่ายอีดี้ อามินก็ดีใจหาย ให้ทั้งที่พัก อาหาร และทหารคุ้มครองอีกจำนวนหนึ่ง ให้ขบวนนี้ไปนอนกันที่อาคารผู้โดยสารเก่าข้างลานบินเก่าในสนามบินเอนเทบเบ้ มีสลัดมาเพิ่มอีกสี่คน เบ็ดเสร็จสลัด 8 ผู้โดยสาร 248 ลูกเรือ 12 เสร็จแล้วก็ตั้งโต๊ะออกอากาศเรียกร้องให้ปล่อยนักโทษจำนวนรวม 53 คน หลังเรียกร้องออกไปแล้วก็ขีดเส้นตาย ฝ่ายรัฐบาลอิสราเอลก็เจรจาในเบื้องต้นขอยืดเส้นตายออกไปก่อน ฝ่ายปาเลสไตน์คงเห็นขบวนตัวประกันใหญ่เกินไป และการเอาคนชาติอื่นมาเสี่ยงด้วยน่าจะเป็นเรื่องที่ไม่คุ้ม จึงปล่อยผู้โดยสารที่ไม่ใช่คนยิวไปหมด 150 คน เหลือไว้แต่คนยิวล้วน ๆ

อีดี้ อามินมาให้กำลังใจผู้ก่อการร้ายถึงที่ พร้อมจัดกำลังชุดใหญ่เฝ้าสนามบินไว้เป็นกำลังรอบนอกอีกชั้นหนึ่ง ผุ้โดยสารที่ตอนแรกหลงดีใจว่าอีดี้มาจะพากันรอดได้ เพราะอิสราเอลกับอูกานดาเคยเกี่ยวดองกันอยู่ก็ต้องดีใจค้าง เพราะอีดี้เล่นไปดูแลพวกผุ้ก่อการร้ายเสียมากกว่าจะดูแลตัวประกัน เบื้องหลังก็คือสี่ปีก่อน อีดี้ขอให้อิสราเอลช่วยส่งกำลังทางอากาศไปถล่มประเทศ "เพื่อนบ้าน" ของอูกานดา แต่อิสราเอลปฏิเสธ(คิดว่าเป็นรัฐบาลของ "นางสิงห์" โกลด้าแห่งอิสราเอลนะครับ) อีดี้เลยหันไปเข้ากับปาเลสไตน์แทน จึงน่าจะเป็นที่มาของการเอาเครื่องไปลงที่อูกานดานั่นเอง

อิสราเอลนั้นทีแรกไม่ยอมเจรจา แต่ด้วยแรงบีบของญาติตัวประกันก็เลยทำทีเป็นเออออห่อหมก บอกว่าจะยอมปล่อยตัวประกัน แต่ขอยืดเวลาออกไปอีกระยะหนึ่ง โดยเจรจาผ่านทางอีดี้ ขอให้อีดี้ช่วยคุยกับผู้ก่อการร้าย ...ด้วยการยกยอปอปั้นอีดี้ว่าถ้าเจรจาดี ๆ แล้ว รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจะไปไหนเสีย ท่านอีดี้ ก็เห็นดีเห็นงามไปด้วย เลยไปช่วยเจรจากับผู้ก่อการร้ายอีกแรง

ฝ่ายอิสราเอลเห็นว่าคงยอมไม่ได้ เพราะถ้ายอมครั้งนี้ก็ต้องมีครั้งต่อไป ก็เลยต้องหาทางเข้าไปช่วยตัวประกัน ทั้งที่สองประเทศอยู่ห่างกัน 3000 กิโลเมตร ต้องบินผ่านทะเลแดงแล้ววกไปเข้าทางมหาสมุทรอินเดีย แต่ด้วยความที่จังหวะดีหลายเรื่อง เรื่องหนึ่งคือก่อนหน้านี้ทหารอิสราเอลเคยไปช่วยฝึกทหารอูกานดาเอาไว้ ก็เลยรู้นอกรู้ในของทหารอูกานดาดี อาคารผู้โดยสารหลังนั้นก็บริษัทอิสราเอลเป็นคนสร้างและมีพิมพ์เขียวอยูเสร็จ สรรพ ประกอบกับตัวประกันที่ปล่อยออกมาก่อนก็ให้ข้อมูลเอาไว้มาก แผนการช่วยเหลือก็เลยดำเนินไปได้

ทหารอิสราเอลฝึกกับอาคารจำลอง เตรียมการกันจนถึงประมาณหนึ่งวันก่อนเส้นตาย จึงยกขบวนไปช่วยตัวประกันที่สนามบินเอนเทบเบ้

ทหารอิืสราเอลนั่งเครื่อง C 130 ไปสี่ลำ บินเรี่ยหลบเรดาห์ไปตามทะเลแดง แฝงตัวจากเรดาห์ของสามสี่ประเทศริมทะเลแดงที่ขณะนั้นประกาศตัวอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับอิสราเอล แล้วอ้อมเข้าอูกานดา ลงแตะ runway ใหม่ที่ห่างจาก runway เก่าและอาคารผู้โดยสารเก่าประมาณสองกิโลเมตร ลงจอดตอนห้าทุ่ม จากนั้นอีกเจ็ดนาที อีกสามลำจะตามลงไป (น่าจะเป็นการเว้นช่วงเผื่อว่าลำแรกไม่รอด โดนทหารอูกานดาถล่ม จะได้ไม่ต้องเสียเครื่องบินหลายลำ) พอลงจอดแล้วจะเอารถออกมาทางท้ายเครื่องสามคัน เป็นรถที่ทำเลียนแบบรถของอีดี้หนึ่งคัน และรถจี๊ปอีกสองคัน คือสวมรอยเป็นอีดี้ อามินนั่น ...เวลาบิน 9 ชั่วโมง

ข้อมูลจากตัวประกันที่ถูกปล่อยตัวออกมาก่อนบอกว่าประมาณห้าทุ่มนั้นตัวประกันทั้งหมดจะ "นอน" ลงไปกับพื้น ส่วนผู้ก่อการร้ายจะผลัดกันเดินตรวจไปรอบ ๆ อาคารผู้โดยสารเก่าแห่งนั้น สถานการณ์จึงกลายเป็นว่าใครที่ยังยืนอยู่ในอาคารผู้โดยสารจะได้รับการเพ่งเล็งและกำจัดเป็นอันดับแรกจากการบุกของคอมมานโด

สนามบินเอนเทบเบ้นั้นเป็นรูปตัว V กลับหัว เครื่อง C130 ต้องลงที่ขาด้านหนึ่งของตัว V (ลานบินใหม่) แล้วแล่นไปตามลานบินไปจนถึงยอดตัว V แล้วปล่อยรถที่เตรียมไว้ออกมาเพื่อแล่นไปที่อาคารผู้โดยสารเก่า ห่าง 2 กิโลเมตร ทางขาอีกด้านหนึ่งของตัว V (ลานบินเก่าและอาคารผู้โดยสารเก่า)

ปรากฎว่าลงจอดได้เรียบร้อยดีดี แล่นไปตามสนามบินได้เรียบร้อยดี แต่ดันไปเจอทหารอูกานดาคนนึงยกปืนขึ้นเล็ง (เหมือนกับเป็นการแสดงความสงสัยรถที่แล่นเข้ามา) เลยถูกยิงด้วยปืนพกเก็บเสียงสองกระบอกจากรถเก๋งคันแรกไปหลายนัด... อนิจจาทหารอูกานดาลุกขึ้นมาเฉย(สมัยนั้นกล้องมองกลางคืนยังไม่มี) รถจี๊ปคันที่ตามมาเลยถล่มด้วยปืน AK (อาก้ารัสเซีย) เสียงดังเป็นประทัดแตกตั้งแต่ก่อนถึงตัวอาคารเจ็ดสิบเมตร

แผนก็เลยแตก ขบวนรถที่ทีแรกคาดการว่าจะเอาไปจอดข้างอาคารต้องหยุด ทหารในรถทั้งสามคันก็เลยแยกย้ายกันทำหน้าที่ที่เตี๊ยมกันไว้ ทีมหนึ่งสกัดทหารอูกานดาไว้ข้างนอก อีกสองทีมเข้าไปจัดการกับผู้ก่อการร้ายปาเลสไตน์และช่วยตัวประกันออกมา

ทีมหนึ่งเข้าไปในอาคารที่ผู้โดยสารนอนอยู่ ยิงต่อสู้กันพักหนึ่งก่อนจะหยุดผู้ก่อการร้ายทั้งหมดในส่วนนี้ได้ และอีกส่วนหนึ่งนั้นผู้ก่อการร้ายกดระเบิดที่ติดตัวไว้ก่อนคอมมานโดจะเข้าไปถึงเสียชีวิตหมดในขณะที่ทีมช่วยเหลือไม่ได้รับอันตราย คอมมานโดที่อยู่รอบนอกคอยสกัดทหารอูกานดาถูกยิงล้มลงจำนวนหนึ่ง หนึ่งในนั้นเป็นผู้บังคับการ(นามสกุลเนาทันยาฮู นามสกุลเดียวกับนักการเมืองชื่อดังของอิสราเอลในยุคนี้) จากนั้นเครื่องลำหลังก็ตามลงมาได้ ทหารและอาวุธตามลงมาช่วยเหลือให้ปฏิบัติการสำเร็จลงได้ในที่สุด

ปฏิบัติการทั้งหมด 53 นาที เป็นการยิงกันเสีย 30 นาที สลัด 8 คนไม่มีใครเหลือรอด ทหารอิสราเอลได้รับบาเจ็บ 5 คน (เข้าใจว่าเสียชีวิตทั้งหมด หนึ่งในนั้นเป็นผู้บังคับการในปฏิบัติการด้วย) จากตัวประกันที่เหลืออยู่ 105 คน ตายไปสามและบาดเจ็บสิบคน หนึ่งในตัวประกันที่ตายนั้นโดนคอมมานโดอิสราเอลยิงเพราะตัวประกันคนนั้นดีใจว่ามีคนมาช่วย ก็เลยลุกขึ้นยืนตอนเขากำัลังยิงกันอยู่ ทหารคิดว่าเป็นผู้ก่อการร้ายก็เลยยิงตาย อีกคนหนึ่งที่ตายโดนปืนของทั้งสองฝ่าย ส่วนคนสุดท้ายที่ตายไม่มีรายละเอียด ที่เหลือปลอดภัย ทหารอูกานดาตายไป 45 คน ฝ่ายอิสราเอลยังทำลายเครื่องบินมิกของรัสเซียไปอีกสิบเอ็ดลำ เข้าใจว่าป้องกันการติดตามในขณะที่บินด้วย C130 กลับอิสราเอล

ตัวประกันคนหนึ่งไม่สบายตั้งแต่ก่อนปฏิบัติการ เลยถูกส่งไปที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในอูกานดา พอตัวประกันคนอื่นถูกช่วยไปแล้ว ท่านอีดี้ก็เลยสั่งประหารตัวประกันที่ไม่สบายนั้นเสีย ญาติต้องรอให้อีดี้ถูกรัฐประหารจึงกลับไปที่อูกานดา ไปขุดศพขึ้นมาแล้วนำกลับอิสราเอลในอีกหลายปีให้หลัง

ท่านอีดี้ อามิน จึงชวดรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ด้วยประการฉะนี้

มานั่งคิดดู ถ้าเป็นตอนนี้ สามสิบสามปีถัดมา อาจทำแบบนั้นอีกไม่ได้ แม้ว่าทั้งเทคโนโลยีการสื่อสาร กล้องมองกลางคืน เครื่องบินขึ้นลงสนามบิน กำลังทหาร อาวุธ สื่อมวลชน ...ทุกสิ่งทุกอย่างพัฒนาขึ้นมาก แต่ผมกลับมองว่ามันจะกลายเป็นจำกัดไม่ให้ปฏิบัติการนี้เกิดได้ แน่นอนว่าเทคโนโลยีมันเป็นเรื่องที่สามารถจะมีกันได้ทั้งสองฝ่าย ทั้งอูกานดาทั้งอิสราเอล แต่แค่ฝ่ายตั้งรับนั้นเตรียมพร้อมมากกว่านี้อีกนิดหรือดีกว่านี้อีกหน่อย อิสราเอลคงสูญเสียมากกว่านี้แน่ และดีไม่ดีอาจถึงขั้นล้มเหลวเลยก็เป็นได้



ไม่ได้เอามาเล่าให้ทะเลาะกันนะครับ

ยิวนั้นเป็นชนชาติืที่ถูกกระทำอย่างรุนแรงในสงครามโลกครั้งที่สอง ชาติอิสราเอลก่อตั้งขึ้นมาหลังจากนั้น การสร้างชาติและพัฒนาชาติของอิสราเอลเป็นเรื่อง "น่าทึ่ง" เมื่้อเทียบกับประเทศไทยที่ก่อตั้งและคงอยู่มาก่อนหน้านั้น แต่หลายสิ่งที่รัฐบาลอิสราเอลทำก็เป็นสิ่งที่ยากจะยอมรับได้ ไม่ว่าจะกับปาเลสไตน์หรือกับประเทศที่อยู่รอบข้าง

อะไรทีุ่คยกันได้ก็คุยกันก่อนดีกว่าครับ

ช่วงนี้กลับมาอ่านนิยายโกวเล้งใหม่อีกรอบหลังจากเลิกอ่านนิยายกำลังภายในมาสิบกว่าปี ขอยกคำพูดโกวเล้งมาใช้ว่า "พอวางดาบเลิกประหาร ก็สำเร็จอรหันต์แล้ว"


Create Date : 11 กรกฎาคม 2552
Last Update : 11 กรกฎาคม 2552 22:28:12 น. 1 comments
Counter : 5669 Pageviews.

 
เคยดูสารคดีเหมือนกัน เยี่ยมครับ
ไม่ยอมอ่อนข้อในการต่อรองกับผู้ก่อการร้าย
และการวางแผนช่วยเหลือตัวประกัน


โดย: VET53 วันที่: 12 กรกฎาคม 2552 เวลา:14:50:59 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Zhivago
Location :
นครศรีธรรมราช Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]




มนุษย์เข้มแข็ง
กว่าที่ตนคิดไว้เสมอ
New Comments
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2552
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
11 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Zhivago's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.