เรื่องที่ไม่มีสอนในโรงเรียนแพทย์: The Untold Stories from The Medical School.

หัวข้อ: นวัตกรรมแห่งความง่ายของชีวิต

ตัวตนที่ถูกริดรอนและรายละเอียดปลีกย่อยในชีวิตที่หายไปในโทรศัพท์มือถือ

เพื่อนผมคนหนึ่งเล่าว่าลูกสาวเห็นก้อนเมฆสวยมาก เลยบอกเขาว่าช่วยพาไป "ซื้อเมฆที่เซเว่น" ให้ด้วย ...ทำให้ผมกลับไปคิดถึงตัวเองว่าทุกวันนี้ผมมีอะไรในชีวิตที่ต้องเอาไปผูกไว้บ้างไหม ?? เหลืบซ้ายแลขวาก็เห็นโทรศัพท์มือถือนี่แหละที่รู้สึกว่าชีวิตต้องผูกติดกับมันมานานแล้ว (แม้ว่าจะเปลี่ยนเครื่องไปนับสิบก็ตาม) โทรศัพท์มือถือเครื่องแรกในชีวิตผมซื้อเมื่อปี 2543 เป็น Motorolla Startac 70... รุ่นฝาพับรุ่นแรก ๆ ที่เข้ามาเมืองไทย เวลาใช้ต้องเปิดฝาแล้วก็ดึงเสาอากาศขึ้นมา ตอนนั้นเสียค่าเบอร์เดือนละเป็นพัน (จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าแปดร้อยบาท) รวมค่าโทร.แล้วก็ประมาณสองพันบาทต่อเดือน ! ในยุคนั้นนับว่าไม่แพงเมื่อนึกถึงว่าตามริมถนนและย่านชุมชนมีคนเอาโทศัพท์มือถือมาให้บริการเป็นโทรศัพท์ทางไกล ค่าโทร.สูงสุดก็ใกล้เคียงกับโทรศัพท์บ้านคือเกือบยี่สิบบาท

จากนั้นก็เปลี่ยนโทรศัพท์มาเรื่อย หลายรุ่นหลายยี่ห้อ แปดปีที่ผ่านมาใช้ไปทั้งหมดน่าจะหกหรือเจ็ดเครื่องได้ (หายและซื้อใหม่สองเครื่อง รวมอยู่ในหก-เจ็ดเครื่องนี้ด้วย) ราคาค่าโทร. ลดลงไปเรื่อย ๆ จนปัจจุบันจ่ายประมาณสี่ร้อยกว่าบาท (ในระบบ postpaid ใช้เบอร์เดิมมาตลอด) ช่วงแรกที่ซื้อมาก็ใช้เพเจอร์ไปด้วยเพราะค่าโทรศัพท์โหดมาก (จ่ายค่าเพเจอร์เดือนละห้าร้อยห้าสิบบาทเพิ่มเข้าไป) ช่วงนั้นยังนับได้ว่าไม่ได้ต้องเอาตัวเข้าไปผูกพันกับมันมากนัก เปิดบ้างปิดบ้าง จำได้ว่าตอนนั้นแบตเตอรี่ลิเธียมตัวละเป็นพัน ใช้แบตเตอรี่นิเกิล-แคดเมียมแบบที่ใช้ได้ไม่ถึงครึ่งวันก็หมด ดึก ๆ ก็ปิด เช้าวันไหนไม่ลืมก็เปิดก่อนแล้วไปทำงาน บางวันไม่ยุ่งและไม่ต้องใช้โทรศัพท์แล้วลืมเปิดทั้งวันก็มี

ชีวิตผมมาผูกพันกับมันชนิดที่แยกกันไม่ได้เอาตอนที่ยกเลิกเพเจอร์ไปแล้ว ตอนนั้นเรียนจบและเริ่มทำงานแล้ว ต้องเปิดเครื่องสแตนบายยี่สิบสี่ชั่วโมงเอาไว้ให้ที่ทำงานตามเวลามีงานบ้าง หรือไม่ก็รุ่นพี่ตามไปทำงานส่วนตัวบ้าง แต่มีวิทยุรับ-ส่งประจำตัว เครือข่ายในย่านที่อยู่ที่ทำงานตอนนั้นพอรับส่งกันได้ บางจังหวะหรือบางช่วงที่ลืมเอาโทรศัพท์มือถือไปก็ยังไม่เป็นกังวล ยังมีคนเชื่อมการสื่อสารทางวิทยุได้ วันไหนที่ลืมชาร์ทแบตเตอรี่วิทยุแล้วติดต่อไม่ได้ก็มีโทรศัพท์มือถือนี่แหละที่เป็นเครื่องมือติดต่อแก้ขัดสลับกันไป

ถึงตรงนี้ผมก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องยึดติดกับระบบสื่อสารอันทำลายความเป็นปัจเจกบุคคลไปเสียสิ้นแล้ว

ห้าปีก่อนผมย้ายจากที่ทำงานเก่าและที่ทำงานใหม่ไม่มีระบบวิทยุสื่อสาร ผมจึงต้องพึ่งพิงโทรศัพท์มือถือตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงไปอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ว่าจะทำอะไร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน คนคนหนึ่งก็พร้อมจะถูกบ่งชี้สถานะและสภาวะได้ตลอดเวลา ... อยู่ไหน ? ทำอะไรอยู่ ? ว่างไหม ? คุยได้ไหม ? ขอปรึกษาหน่อย ? นอนหลับแล้วหรือยัง ? บ่อยครั้งคนที่โทรศัพท์มาแทบไม่คิดเลยว่าทั้งเครื่องโทรศัพท์ค่าใช้จ่ายรายเดือน (สำหรับ postpaid) เป็นของส่วนตัว ไม่ใช่ของรัฐหรือบริษัทจัดหามาให้

จุดเปลี่ยนในการใช้โทรศัพท์มือถือของผมมาจากวันหนึ่งที่ผมต้องออกไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เกต หยิบรายการที่แปะติโต๊ะทำงานออกมาแล้วไปเดินเลือกซื้อของกับลูกชายคนกลาง (แฟนไม่ได้ไปด้วยเพราะท้องแก่) รายการของหลายอย่างทำให้ผมต้องกลับมาคิด "ผ้าอ้อมแบบใช้แล้วทิ้งของลูกชายคนโต" "นมจืดลูกชายคนกลาง" "นมพร่องมันเนยของแฟน" และอีกหลายรายการที่มีแต่ชื่อ-ไม่มียี่ห้อ ...ผมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถามแฟนว่ารายการทีจดไว้นั้นเป็นยี่ห้ออะไรบ้าง เพราะของบางอย่างถ้าซื้อผิดยี่ห้อไปละก็จะมีรายการ ไม่กิน-ไม่เอา-ไม่ใช่ เกิดขึ้นเป็นแน่ มองย้อนกลับไปตอนหยิบรายการของมาจากบ้าน ผมแทบไม่คิดเลยว่าของทั้งหลายที่จะซื้อนั้นยี่ห้ออะไรบ้าง ขนาดใดบ้าง หรือแม้กระทั่งต้องซื้อจำนวนเท่าไหร่ ? ใจคิดแต่ว่าถ้ามีปัญหาก็โทรศัพท์ถามแฟนเอา... นี่ชีวิตผมช่างง่ายอะไรปานนี้ ?

ทุกวันนี้เราทำให้โลกเล็กลงด้วยโทรศัพท์มือถือ (รวมทั้ง internet ที่ใช้ร่วมกับคอมพิวเตอร์เพื่อเปิดบทความนี้อ่านด้วย) และมันก็เล็กลงจนผมต้องละทิ้งรายละเอียดต่าง ๆ ในชีวิตไปมากถึงเพียงนี้เลยหรือ ! นอกจากความเป็นส่วนตัวที่ถูกริดรอนไปจากชีวิตแล้ว รายละเอียดปลีกย่อยในชีวิตที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวตนยังต้องถูลบเลือนไปในโลกที่เล็กลงนี้ด้วย ...ผมยังจำตอนไปเที่ยวภูฏานได้ พนักงานของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่ผมใช้ประจำบอกว่าเครื่องที่ใช้และเครือข่ายที่ใช้สามารถนำไปใช้ที่เมืองหลวงของประเทศนี้ได้ แต่เมื่อไปถึงแล้วกลับไม่มีสัญญาณแม้แต่ขีดเดียว และผมยังจำความรู้สึกตอนเอาโทรศัพท์มือถือยัดเข้าไปในส่วนลึกที่สุดของกระเป๋าเดินทางได้จนทุกวันนี้... มันเป็นความรู้สึกอิสระและเหมือนตัวเองได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการที่มองไม่เห็นมานานหลายปี เป็นอีกแง่มุมหนึ่งของชีวิตที่หาโอกาสสัมผัสได้ยากในยุคนี้

ในนิยายเรื่อง "Cell" ของสตีเฟน คิง เขาเสียดสีและเย้ยหยันโทรศัพท์มือถือและระบบเครือข่ายที่ "ครอบคลุมทุกตารางนิ้วของประเทศ" และประณามหยามเหยียดความเป็นคนที่ลดน้อยถอยลงในเครือข่ายที่ว่านี้ ทุกวันนี้มีหลายชีวิตที่ต้องเอามาฝากไว้กับเครือข่ายโทรศัพท์และการที่ต้องเปิดโทรศัพท์มือถือตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงในหนึ่งวัน และบ่อยครั้งที่มันเป็นชีวิตของคนอื่นที่ไม่ได้มีส่วนรับรู้ เห็นใจ และมีส่วนร่วมในความเสื่อมถอยของความเป็นตัวของตัวเองและความเป็นส่วนตัวของคนที่รับผิดชอบต่อมันเลย


ผมพยายามใช้ชีวิตโดยพึ่งพามันน้อยที่สุด ถ้าเป็นไปได้ผมจะใช้โทรศัพท์สายใน (ไม่เสียเงิน) เดินไปติดต่อเอง หรือไม่ก็รอให้เจอคนที่ต้องการ (ถ้าอยู่ในบริเวณนั้น) กับแฟนก็จะพยายามนัดกันให้เรียบร้อยก่อนว่าวันนี้ใครจะไปรับลูก ไปกี่โมง หรือตอนเย็นจะนัดเจอกันที่ไหนก่อนกลับบ้าน จะฝาซื้ออะไรก็ฝากให้เรียบร้อยตั้งแต่เช้า เช่นเดียวกับตอนที่ไปซื้อของก็จะพยายามจำให้ได้ว่าต้องซื้อของยี่ห้ออะไร ต้องซื้อมากน้อยแค่ไหน

แน่นอนว่ามันทำให้ชีวิตยุ่งยากขึ้นบ้าง ต้องจดต้องจำมากขึ้นบ้าง (แต่ผมก็ดันไปใช้ pocket PC เสียอีก - แต่ไม่ได้ใช้เป็นโทรศัพท์นะ) แต่อย่างน้อยก็รู้สึกว่าคุ้มค่ากับการแลกเอาความเป็นตัวตนของตัวเองกลับมา ทุกอย่างในชีวิตต้องแลกมา... แต่ไม่น่าเชื่อว่าต้องเอาเงินไปแลกโทรศัพท์มือถือมาใช้ แล้วต้องเอาอะไรบางอย่างในชีวิตไปแลกกับการที่จะไม่ต้องใช้มันบ่อยนักกลับคืนมา

เคยคิดจะเลิกใช้โทรศัพท์มือถือบ้างไหม ???




 

Create Date : 11 มีนาคม 2551
0 comments
Last Update : 18 พฤษภาคม 2551 13:27:50 น.
Counter : 646 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Zhivago
Location :
นครศรีธรรมราช Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]




มนุษย์เข้มแข็ง
กว่าที่ตนคิดไว้เสมอ
New Comments
Group Blog
 
 
มีนาคม 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
11 มีนาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Zhivago's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.