เรื่องที่ไม่มีสอนในโรงเรียนแพทย์: The Untold Stories from The Medical School.

ช่างตัดผมแห่งมหาสงครามเอเชียบูรพา


เรื่องเล่าจา่กชายชราคนหนึ่ง; ขอฝากไว้เป็นบรรทัดเล็ก ๆ ในประวัติศาสตร์


หลังจากอิดออดอยู่พักหนึ่งเมื่อภรรยาขอให้ไปตัดผมเพราะยาวจนเต็มที่แล้ว ผมจึงได้ย้ายตัวเองออกมาจากเตียงในบ่ายวันเสาร์ที่อากาศร้อนเอามาก ๆ ไปที่ร้านตัดผม เมื่อเดินเข้าไปในร้าน มีช่างตัดผมอยู่สามคน คนหนึ่งเป็นหญิงท้องแก่กำลังตัดผมให้ลูกค้าคนหนึ่ง อีกคนเป็นชายกลางคนศีรษะล้านนอนดูโทรทัศน์อยู่ที่เก้าอี้ยาว อีกคนเป็นคนจีนสูงวัยท่านหนึ่ง ยืนสูบบุหรี่อยู่ที่หน้าร้าน
เมื่อได้ที่นั่งเรียบร้อยแล้ว ช่างตัดผมสูงวัยก็เดินเข้ามาคลุมผ้าและลงมือตัดให้ด้วยท่าทีเชื่องช้าแต่มั่นคง
‘จะไหวเหรอลุง มือไม่สั่นแน่นะ’ ผมคิดอยู่ในใจ
“ตัดสั้น ๆ เลยนะครับลุง”
ชายแก่เหลือบมองไปที่ท้ายทอยแล้วพูดขึ้นมา “ตัดสั้นก็ได้ แต่มันไม่ค่อยเข้ากับหัว ข้างบนนี่ผมมันบางไปเยอะแล้ว”
‘ ......!’

-------------------------------------------------------

 หลังจากเริ่มตัดไปได้สักพัก ช่างตัดผมก็เริ่มชวนคุย “เป็นคนที่นี่เหรอ ไม่เคยเห็นมาตัดเลย”
“เพิ่งย้ายมาทำงานที่นี่ได้ไม่นานครับลุง อยู่ที่หัวถนนนี่เอง ลุงเป็นคนที่นี่เหรอครับ”
ชายชราตอบอย่างช้า ๆ “ผมย้ายมาอยู่ที่นี่ได้หกสิบกว่าปีแล้วครับ เดิมอยู่ที่ตรัง”
“ถ้างั้นก็ทันช่วงสงครามสิครับลุง” ผมถามเพราะกำลังสนใจเรื่องนี้อยู่ น่าจะได้เรื่องเล่าอะไรที่น่าสนใจบ้าง
จากนั้น เรื่องราวอีกมุมหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่สอง ก็เริ่มทยอยมาให้ฟัง

-------------------------------------------------------

“ตอนนั้นผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ก่อนสงครามแล้วครับ ตัดผมมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว สมัยก่อนนั้นยากลำบากกว่าตอนนี้เยอะ ผ้านุ่งยังหายากเลยครับ แต่จะบอกอะไรให้นะ ถึงผ้านุ่งจะไม่มียังไง หากจะไปตลาดต้องหาหมวกมาใส่ ผ่านุ่งจะขาดก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าขืนไม่ใส่หมวกก็โดนจับ แล้วตำรวจเอาจริงด้วย ข้าวปลาอาหารก็หายาก”
“สมัยจอมพล ป. ใช่ไหมครับลุง ยุคมาลานำไทย?” ผมถามย้ำหลังจากช่างตัดผมพูดจบประโยคได้สักพัก
“นั่นแหละครับ ยุคนั้นเลย โดนจับกันไปหลายคนเพราะไม่ใส่หมวกนี่แหละ บางคนโดนจับแล้วตบหน้ากลางตลาดเลย ผมว่าแรงไปหน่อย พวกนี้ชอบบอกว่าทำตามคำสั่ง แต่ผมว่าถึงยังไงก็ยังแรงไปอยู่ดี คนไทยด้วยกันแท้ ๆ แต่เคราะห์กรรมมันมีจริง พวกที่ใช้อำนาจไปทำเขานี่แหละ ผมเห็นมาแล้ว” ชายชราพูดจบแล้วทิ้งท้ายเอาไว้
“แล้วตอนทหารญี่ปุ่นมา เป็นยังไงบ้างครับลุง”
ช่างตัดผมหยุดคิดสักพัก ก่อนจะเริ่มเล่าต่อ พยายามพลิกความทรงจำหน้าเก่า ๆ ออกมา
“ตอนนั้นผมอายุได้ 14 ปี ตอนที่ญี่ปุ่นเข้ามา ก็ทำงานช่างตัดผมตั้งแต่ตอนนั้นแล้วหละ เพราะพ่อเสียตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ไม่รู้จะทำงานอะไร ไม่มีความรู้ ก็เลยตัดผมมาตั้งแต่ตอนนั้น แถวในเมืองไม่ค่อยมีญี่ปุ่นหรอก ส่วนใหญ่อยู่ที่ทุ่งสง มีค่ายทหารอยู่ที่โน่น ในเมืองก็มีแต่คงไม่มาก”
“ลุงอยู่ที่ไหนครับตอนนั้น”
“ผมอยู่ที่ตลาดทุ่งสงครับ เคยไปตัดผมให้นายทหารในค่ายญี่ปุ่นด้วย รู้สึกว่าจะเป็นนายพัน เงินที่ญี่ปุ่นให้มาผมยังเก็บไว้เลย แต่พอย้ายบ้านหลายครั้ง จำไม่ได้ว่าเก็บไว้ที่ไหน ตอนนี้ก็หายไปเสียแล้ว พวกนี้พิมพ์เงินใช้เอง เอามาเป็นหีบเลย ยังไม่ได้ตัดด้วยนะ ตอนที่จะเอาเงินมาให้ผม ต้องเอากรรไกรไปตัดออกมาจากหีบอีกที

-------------------------------------------------------

พวกนายทหารนี่จะมีดาบซามูไรถือติดตัวด้วย แล้วไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ถือดาบนะ พวกที่ได้ถือซามูไรนี่ต้องเป็นของตกทอดมาอีกที พวกนี้จะถือว่าตัวเองเป็นพวกลูกจักรพรรดิ ลูกพระอาทิตย์ แล้วพวกนี้สุภาพมาก กับผู้หญิงนี่จะไม่มายุ่งเลย มีวินัยดีด้วย แต่งตัวเรียบร้อย เดินในตลาดนี่เห็นมาแต่ไกลเลยเพราะเดินเป็นระเบียบมาก
เคยเห็นทหารญี่ปุ่นเจอแม่กำลังอุ้มเด็กเล็ก ๆ ร้องไห้อยู่ ทหารญี่ปุ่นก็เอาของมาให้ เอาขนมมาให้ แล้วก็ร้องไห้ไปด้วย สงสัยว่าพวกนี้จะจากบ้านมานาน คงคิดถึงลูก ลองคิดดูว่าถ้าเป็นเราก็คงเหมือนกัน จากบ้านมาไกล ไม่เห็นหน้าลูก เห็นเด็กแล้วก็คงคิดถึงลูกเมีย
หัวหน้าค่ายทหารที่ทุ่งสงนี่แหละ ยืนเอามือหนึ่งยันเสาไว้ อีกมือไขว้หลัง แล้วยืนไขว้ขามองดูเด็กวิ่งเล่น แล้วก็ให้ลูกน้องไปเอาของกินมาแจกเด็ก ยังจำได้ติดตาเลยครับ”
ช่างตัดผมหยุดทำท่าตามที่บอกแล้วก็เริ่มเล่าต่อ
“แต่กับพวกขโมยนี่พวกญี่ปุ่นไม่ชอบเลย ถ้าใครไปขโมยของมาแล้วโดนจับได้ละก็เจอโทษหนัก

-------------------------------------------------------

 ...พวกเชลยที่จับมาจากมลายูก็เอามาขังไว้ที่ทุ่งสงก็ อด ๆ อยาก ๆ บางคนก็เอาใส่ตู้รถไฟไปสร้างทางที่กาญจนบุรี ขนไปเป็นขบวนรถไฟเลย อัดกันอยู่ข้างใน นายพลญี่ปุ่นผมก็เคยเห็นมาแล้วนะ มากับขบวนรถไฟ พวกทหารไปต้อนรับกันเต็มเลย” ในน้ำเสียงของชายชรายังแฝงไว้ด้วยความยำเกรง แม้เวลาจะผ่านมาห้าสิบกว่าปีแล้ว
“พวกเชลยนี่คือทหารอังกฤษจากมลายูกับสิงคโปร์ใช่ไหมครับลุง ผมนึกว่าเขาขนไปที่กาญจนบุรีหมดเสียอีก”
“บางคนก็เอาไว้ที่นี่ครับ เอาไว้ก่อสร้างกับซ่อมทางรถไฟ มีบางคนตกรถไฟขาหักเดินไม่ได้ พวกนี้ก็ปล่อยทิ้งไว้ให้นอนร้องอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ตายไปเอง ผมเห็นมากับตาเลย ใครไปช่วยก็จะหาว่าเป็นเสรีไทย โดนยิงทิ้งหมด”
“แถวนี้มีเสรีไทยมาด้วยหรือครับลุง” ผมถามหลังจากลุงหยุดพูดได้สักพัก
ช่างตัดผมหยิบน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มแก้วหนึ่งก่อนเล่าต่อ “มีเสรีไทยโดดร่มมาลงที่สิชล เขาว่าไปหลบอยู่ในบ้านคนแถวนั้นแล้วเอาร่มไปเก็บไว้ใต้หลังคา ผมก็เคยไปตัดผมให้ จำได้ว่ามียศเป็นหลวง แต่จำชื่อไม่ได้ เห็นเขาว่ามาช่วยทหารฝรั่งไปได้หลายคน แต่ผมไม่รู้รายละเอียดหรอกครับ”
…ชายคนนี้เคยตัดผมให้นายทหารญี่ปุ่นและเสรีไทยมาแล้ว

-------------------------------------------------------

“สมัยนั้นใครค้าขายกับญี่ปุ่นก็สบายเลย ร่ำรวยกันไปก็หลายคน ผมเองไม่มีความรู้ ไม่รู้จะไปค้าขายอะไร ก็ได้แต่ไปตัดผม มีรายได้มาพอกินพอใช้ ตัดกางเกงใหม่สักตัวต้องเก็บไว้ให้ดี กลัวคนจะมายืม เพื่อนเคยมายืมไปแล้วก็บอกว่ามีคนยืมต่อไปอีกที หายไปเลย เด็กสมัยนี้ไม่ค่อยเห็นคุณค่าของผ้านุ่ง ใส่ไม่กี่ครั้งก็ทิ้งแล้ว อยากให้ไปเกิดสมัยนั้นจริง ๆ ลองนึกดูก็แล้วกันว่าขนาดพวกเรานี่ก็ลำบากกันแทบแย่แล้ว แต่พวกเชลยฝรั่งยิ่งลำบากกว่า เอาผ้ากระสอบมานุ่งกัน เห็นแล้วก็สงสาร อาหารการกินก็ขัดสนกว่าพวกเราเยอะ
ผมยังจำได้ พอใกล้จะแพ้สงคราม ไม่ค่อยมีอะไรจะกินกัน ทหารญี่ปุ่นฆ่าวัวกินเนื้อ แต่ไม่กินเครื่องใน คนไทยก็ไปขอเครื่องในมาทำกับข้าวกินกันต่อ ญี่ปุ่นก็คงบอกว่าคนไทยแปลก กินเครื่องใน กินของสกปรก คนไทยก็บอกญี่ปุ่นไม่ยอมกินของอร่อย”
หยุดไปอีกสักพักผมจึงถามต่อ “มีรบกันบ้างไหมครับลุง”

-------------------------------------------------------

“เห็นเขาเล่าว่ามียิงกันที่ท่าแพตอนวันที่ญี่ปุ่นขึ้นฝั่ง ผมอยู่ที่ทุ่งสง ช่วงแรกไม่มียิงกัน อยู่ดี ๆ ก็มีทหารญี่ปุ่นมากันเต็มไปหมดแล้ว ไม่ได้รบกันเลย จะมีรบกันก็ตอนสงครามใกล้จะเลิก มีเครื่องบินมาทิ้งระเบิดที่สถานีรถไฟทุ่งสง ผมยังจำได้เลยว่าเวลาประมาณนี้แหละ ช่วงบ่ายสองหรือบ่ายสาม มีเครื่องบินทิ้งใบปลิวมาเตือนก่อนว่าวันพรุ่งนี้จะมีการโจมตี ใครที่ไม่เกี่ยวข้องให้อพยพออกไป จะว่าแปลกก็แปลก พวกหมาแมวที่เคยเห็นเดินอยู่เต็มตลาดกับสถานีรถไฟ ไม่รู้ว่ามันรู้ล่วงหน้าหรือเปล่า คืนวันนั้นไม่มีหมาแมวอยู่เลย หนีไปก่อนคนอีก
ทหารญี่ปุ่นก็ไปหลบอยู่ในถ้า ทิ้งเชลยไว้กับทหารที่เฝ้าอีกไม่กี่คน พอช่วงบ่ายก็มีเครื่องบินมายิงถล่ม พวกเชลยฝรั่งนี่ก็เก่ง พอเครื่องบินมาก็วิ่งออกจากเรือนไปกลางลาน นั่งเรียงกันเป็นตัวหนังสือ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าตัวอะไร พวกทหารญี่ปุ่นที่คุมอยู่ก็วิ่งไปนั่งอยู่ด้วย พวกบนเครื่องบินคงเห็น ก็เลยเว้นเรือนพักเชลยไว้ ไม่ยอมยิง แล้วพวกเครื่องบินนี่ก็เก่ง ไม่รู้ว่าไปรู้มาจากไหนว่ารถไฟขบวนไหนเป็นตู้เสบียงของญี่ปุ่น ทิ้งระเบิดโดนพอดี นี่แหละก็เลยต้องฆ่าวัวกินกันเพราะไม่มีเสบียง แล้วตู้รถไฟข้าง ๆ นี่ไม่โดนเลยนะ โดนอยู่ตู้เดียว
น่าสงสารก็พวกเชลยฝรั่ง รางรถไฟโดนระเบิดกระเด็นไปอยู่กลางตลาด พวกญี่ปุ่นให้ซ่อมรางทั้งวันทั้งคืน ทำงานไม่ได้หยุดกันเลย ไม่ถึงวันรถไฟก็วิ่งได้อีก
ผมไปดูที่กำแพงสถานี โดนกระสุนลูกใหญ่ ๆ ยิงจนพรุนไปหมด ขนาดว่าถ้ามดไปเดินก็คงโดนยิงตายแน่
พวกนี้โดนเข้าไปหนักยังไงก็ไม่ยอมแพ้ ผมนับถือวินัยพวกญี่ปุ่นจริง ๆ เขาว่าพวกนี้ถ้ายอมแพ้แล้วทางบ้านรู้เข้าจะเสียชื่อมาก พ่อแม่จะไปกระโดดภูเขาตาย พวกอเมริกันมาทีหลัง เอาชนะเขาได้ แต่ยังไงผมว่าก็สู้พวกญี่ปุ่นไม่ได้ พวกอเมริกันนี่มีแต่เงิน แต่ไม่ค่อยมีวินัย”

-------------------------------------------------------

คุณลุงท่านนี้จบการสนทนาหลังจากตัดผมเสร็จแล้ว
“เก้าสิบบาทครับ” … “เดี๋ยวผมไปเอาเงินทอนให้นะ” ช่างตัดผมชราเดินไหล่งุ้มเล็กน้อยไปหยิบเงินทอนมาให้
ผมว่ามาตัดผมครั้งนี้ได้อะไรดี ๆ กลับบ้านหลายอย่าง คุ้มกับเงินเก้าสิบบาท คุ้มกว่าไปดูหนังบางเรื่องเสียอีก

ปี พ.ศ. 2525 สามสิบเจ็ดปีหลังแพ้สงคราม รัฐบาลญี่ปุ่นมอบเงิน 3600 ล้านเยน เพื่อซื้อเครื่องมือและสร้างตึกให้กับโรงพยาบาลประจำจังหวัดเดียวกันกับที่พวกเขาเคยมายกพลขึ้นบกเมื่อสามสิบเจ็ดปีก่อน และหากนับจนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2547) ญี่ปุ่นใช้เวลาห้าสิบกว่าปีหลังการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง เทียบเท่ากับการผ่านไปของคนหนึ่งรุ่นกว่า ๆ สร้างตัวเองจากประเทศผู้แพ้สงครามไปเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจประเทศหนึ่งของโลก ในช่วงเวลาที่เท่ากันนี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างกับประเทศไทยของเรา ?

-------------------------------------------------------

เก็บมาเล่าให้ฟังเนื่องจากคิดว่าเป็นอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์นะครับ ไม่ได้หวังให้รื้อฟื้นเรื่องราวความขัดแยังแต่ครั้งอดีตของคนรุ่นก่อนให้ปวดร้าวกันอีก แล้วก็ไม่ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงทั้งหมดนะครับ เรื่องนี้เล่ามาจากความทรงจำของชายชราคนหนึ่งอีกที อาจมีหลงลืมไปบ้างหรือแต่งเติมขึ้นมาบ้าง แต่เรื่องราวเหล่านี้หากไม่มีเก็บบันทึกไว้ อีกไม่นานก็จะตายไปพร้อมกับคนรุ่นนี้ อย่างน้อยอ่านแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องราวเสี้ยวหนึ่งของประวัติศาสตร์ รู้ไว้ไม่เสียหลายครับ

เขียนไว้เมื่อประมาณปี 2547 แก้ไขข้อความเล็กน้อยก่อน post ครั้งล่าสุด




 

Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2550
6 comments
Last Update : 17 กรกฎาคม 2550 10:47:32 น.
Counter : 1087 Pageviews.

 

อ่านเพลินไปเลยนะคะ

 

โดย: anita (antz_anita ) 22 กุมภาพันธ์ 2550 17:17:04 น.  

 

ขอแอ็ดเป็นfriend's blog วันหลังจะกลับมาไล่อ่านให้ครบทุกเรื่อง ช๊อปชอบ thx

 

โดย: Yoawarat 19 มีนาคม 2550 23:42:59 น.  

 

เรื่องความมีวินัยญี่ปุ่นคือสุดยอดของความมีวินัยใครเคยไปฝึกงานที่ญี่ปุ่นแล้วคุณจารู้ว่าวินัยเป็นอย่างไร อิๆๆ

 

โดย: บูรพาไร้พ่าย IP: 222.123.120.205 24 มกราคม 2552 9:04:03 น.  

 

ขอนำไปเผยแพร่ต่อนะครับเพราะเป็นประโยชน์มาก ๆ ทีเดียง

 

โดย: http://www.incite2you.com/?fromuid=7372 IP: 202.12.73.6 27 กรกฎาคม 2552 21:54:13 น.  

 

ได้เลยครับ ยินดีครับ

 

โดย: Zhivago 29 กรกฎาคม 2552 10:24:30 น.  

 

whenever you felt that your heart is going to breakdown
feel it with the love of God ask for his and then you will
find out what is the truth love in Your life as he does for me!

GOD always forgive your mistake
the one that you cant even forget,
he always does it and always being with us
to help and blesss us for us whose heart is full of him

 

โดย: da IP: 124.120.5.122 19 เมษายน 2553 6:25:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Zhivago
Location :
นครศรีธรรมราช Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]




มนุษย์เข้มแข็ง
กว่าที่ตนคิดไว้เสมอ
New Comments
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728 
 
22 กุมภาพันธ์ 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Zhivago's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.