การเทรดแบบที่ซื้อ 2.0mLot ตลอดไป จะได้ยอดสุดท้ายเท่ากับ $298 ผมจะคิดค่านี้เป็น 100% นะครับ เพื่อเทียบกับการใช้ MM ในรูปแบบต่างๆ เราจะพบว่า ถ้าใช้ MM ได้อย่างเหมาะสม ยอดที่ได้อาจจะสูงกว่าการไม่ใช้ MM ได้ถึงเท่าตัวทีเดียว ! ($607.8 หรือ 200%) ทั้งนี้ยังไม่ได้ยุ่งกับระบบเทรดเลยนะครับ ทุกอย่างยังเป็นระบบแบบเดิมๆ
ตอนนี้ทุกท่านเริ่มเห็นความสำคัญของ MM รียังครับ ถ้าเริ่มสนใจแล้วในตอนต่อไปผมจะเริ่มพูดถึง การวิเคราะห์ระบบเทรด และการหาค่า Expectancy ของ Trading System
ข้อคิดข้อที่ 1 : MM ที่ดีที่สุดไม่ใช้ MM ที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุดนะครับ แต่เป็น MM ที่ให้ผลตอบแทนเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
ตอนที่ 1 เกี่ยวกับค่า Expectancy ของ Trading System
ก่อนที่เราจะเริ่มใช้ MM กับการเทรดนะครับ อยากให้เพื่อนๆ สนใจตัวระบบเทรดของท่านเองก่อน
ข้อคิดข้อที่ 4: เมื่อมี Trading System ที่ดีแล้ว MM จะเป็นตัวกำหนดว่าเราจะเป็นนักลงทุนประเภทใด ถ้าใช้ Constant Investing คุณจะเป็นนักออมเงินทีดี หากใช้ Martingale MM คุณจะกลายเป็นนักพนัน และสุดท้ายหากใช้ Anti Martingale MM อย่างเหมาะสม คุณจะกลายเป็นผู้มีอิสระภาพทางการเงิน
ตอนที่ 4 Drawdown ว่ากันว่าอุปสรรคสำคัญที่สุดที่ทำให้นักลงทุนแทบทุกคนที่ท้อ เจ๊ง และหมดทุนเลิกเล่นกันไปหลายรายนั้น ก็เพราะว่าผ่านช่วงที่เป็น Drawdown ไม่ได้นี่แหละครับ ในตอนนี้เราจะพูดถึงความสำคัญของ Drawdown และมาดูกันว่า Drawdown ที่แท้จริงแล้วคืออะไร ก่อนจะรู้จัก Drawdown ผมว่าเราควรรู้จักการเสียก่อน นั่นคือ Loss โดยการเสียนั้น เราจะเห็นได้จากประวัติในอดีต โดยครั้งที่เราเสียมากที่สุด เราจะเรียกมันว่า Maximum loss เช่นมีคุณมีลำดับการเทรดดังภาพที่แนบมานะครับ ท่านจะเห็นที่ผมขีดเส้นสีแดงไว้นะครับ นั่นแหละ Maximum loss การเสียครั้งเดียว -400 ดูน่ากลัวใช่มั้ยครับ แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่แฝงในกราฟนี้ นั่นคือ Drawdown คุณคิดว่าช่วงที่คุณเสี่ยงที่สุดคือช่วงที่คุณ -400 หรือเปล่าครับ ถ้าใช่นั่นก็แสดงว่าคุณคิดผิดเข้าให้แล้ว และถ้าคุณสร้าง MM จากค่า -400 คุณก็อาจจะหมดตัวเอาได้ง่ายๆ ลองดูเส้นสีน้ำเงินที่ผมขีดให้ดูสิครับ จะเห็นได้ว่า แม้จะเสียน้อยๆ (แถมมีกำไรนิดๆ มาคั่นตลอดด้วย) แต่รวมๆ แล้ว รอบหลังเราเสียถึง -600 นั่นแหละครับคือ Maximum Drawdown ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า สิ่งที่กำหนดว่าความเสี่ยงสูงที่สุดคือเท่าไหร่ ไม่ใช่ Maximum loss อย่างที่หลายๆ คนคิด ทำให้การเทรดผิดพลาดมาก เพราะคิดแต่ว่า "ฉันจะเสียได้เท่าไหร่ต่อการเทรด 1 ครั้ง" แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่กำหนดว่าระบบเทรดของเราจะรอดมั้ยนั่นคือ Maximum Drawdown ซึ่งหากระบบไหนวางแผนการเสียสูงสุดน้อยกว่า Maximum Drawdown แล้วล่ะก็ ระบบนั้นก็จะทำให้ท่าน หมดตูด อย่างแน่นอน สรุปคือ Drawdown คือช่วงการเทรดที่มีการเสียและมีการลดเงินทุนอย่างต่อเนื่อง (ถ้าเป็น Technical ก็คือลดลงเรื่อยๆ และทำ new high ไม่ได้ซะที 555+) ซึ่งมักจะเกิดขึ้นตอนไหนบ้าง ขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดครับ ผมจะลองยกตัวอย่างซัก 2 แบบใหญ่ๆ แล้วกัน
กลุ่มที่เน้นเล่นระบบ Trend Following เช่นการใช้ MACD หรือ MA แบบต่างๆ maximum drawdown คือช่วง Sideway ครับ ซึ่งจะเข้าๆ ออกๆ บวกบ้างลบบ้าง แต่โดยมากจะลบซะมากกว่า สะสมเรื่อยๆ กลายเป็น drawdown ส่วนกลุ่มที่เน้นเล่นระบบ Swing Trading เช่นใช้ Indicator ประเภทที่เป็น oscillator และให้สัญญาณเร็ว เช่น Stochastic และซื้อตาม OB/OS จะเสียหนักในตอนช่วงที่ตลาดกำลังมีเทรน และจุดนั้นจะเป็นตัวกำหนด maximum drawdown ครับ
fixed percentage risk ส่วนใหญ่นักลงทุนเค้ามักใช้กันสักกี่เปอร์เซ็นต์ครับ เคยได้ยินว่าพวกกองทุนนิยมใช้ 2% กัน แต่ trader ที่รับความเสี่ยงได้มากขึ้นมาหน่อย ถ้าใ้ช้สัก 5% จะถือว่ามากไปไหมครับ ถ้าผมจะนำมาใช้ควรมีข้อระวังอะไรบ้างไหมครับ
ขอบคุณครับ