ห่างหายไปนานกับการอัพบล็อก กลับมาคราวนี้พร้อมทริปการเดินทางไปเมืองซีอาน ซึ่งเป็นมณฑลหนึ่งของ ประเทศจีน ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงในหลายราชวงศ์ ดองภาพไว้นานหน่อย เพราะทริปนี้เดินทางเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2556 ถึง 16 กรกฏาคม 2556 ด้วยสายการบินหางแดงเช่นเคย เพราะได้ตั๋วไปกลับ แบบรวมทุกอย่างแล้ว 3470 บาท และเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงเวลาบินทำให้เราไปถึง ซีอาน ก็เกือบๆสี่ทุ่ม แต่ว่าก็ไม่เป็นอุปสรรค เพราะนั่งรถบัสเข้าเมืองจอดเกือบถึงโรงแรมที่พัก เลย ซึ่งพวกเราพักกันที่ โรงแรมเบลทาวเวอร์ ที่อยู่ติดกับหอระฆัง ศูนย์กลางเมือง เพราะยังได้ห้องพักวิวเมืองสวยมากเลยที่เดียว และก็พักอยู่ที่นี้ตลอดทริป แน่นอนไปถึงที่พักแล้วก็ถ่ายรูปกันหน่อย ซึ่งบล็อกนี้จะเน้นภาพถ่ายเป็นส่วนใหญ่
มาถึงวันแรกเล่นเอาโทรมไปหน่อย
วันต่อมาสิ่งแรกที่ต้องไม่พลาดเลยนั่นก็คือการไปชมสุสาน จิ๋นซีฮ่องเต้ ต้องนั่งรถบัสออกไปนอกเมืองราว 1 ชั่วโมง ซึ่งภายในสุสานก็มีความยิ่งใหญ่สมชื่อ หุ่นดินเผามีทั้งที่ขุดค้น เรียบนร้อยแล้ว และยังมีส่วนที่ระเกะระกะ ไม่ได้มีการประกอบขึ้นใหม่ให้สมบูรณ์ ด้านล่างคือภาพถ่ายในสุสาน ซึ่งส่วนใหญ่เน้นตัวเจ้าของบล็อกมากกว่า แหะๆ
เมื่อเสร็จจากสุสานจิ๋นซี ซึ่งก็กินเวลาไปค่อนวันแล้ว ก็กลับมาที่พักหาอะไรกินแล้วก็เดินเที่ยวในกลางเมือง
วันต่อมาเป้าหมายของเราจะออกไปไกลหน่อยคือเดินทางไปต่างมณฑล คือจะไปชมหมู่ถ้ำพระพุทธรูป หลงเหมิน ซึ่งอยู่ริมหน้าผาและแม่น้ำ ที่เมืองลั่วหยาง มณฑลเหอหนาน จากซีอานพวกเรา เดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูง ซึ่งมีความทันสมัยทั้งตัวรถไฟและสถานี 400 กิโลเมตร ใช้เวลาราวๆ 2 ชั่วโมงถ้าจำไม่ผิด ที่แน่ๆพวกเราไปเข้าเย็นกลับ 800 กิโลเมตร ได้ท่องเที่ยวสถานที่ๆอลังการ แสดงให้เห็นยุคเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในประเทศจีน โดยเฉพาะพระพุทธรูปองค์ที่ใหญ่ที่สุด แสดงให้เห็นถึงยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของพระพุทธศาสนาในประเทศจีน ซึ่งก็คือยุคของพระนางบู้เช็กเทียน หรืออู๋เจ๋อเทียน ฮ่องเต้หญิง พระองค์เดียวในประวัติศาสตร์จีน
ตกเย็นกลับมาจากลั่วหยาง ถึงจะเดินทางขากลับตั้ง 400 กิโลเมตร พวกเราก็ไม่เหนื่อยกันเลยเพราะมีเป้าหมายคือการไปเดินเล่น ย่านของชาวมุสลิม ซึ่งอยู่ตรงกลางเมืองใกล้ที่พักของพวกเรานี้เอง ทางเข้าจะมีหอกลางเป็น พอเข้าไปในย่านนี้บรรยากาศก็จะเหมือนย้อนยุคไปอีกโลก หนึ่งในอดีต ดูไม่ค่อยเหมือนมุสลิมเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นเอกลักษณ์แบบจีน ซะเป็นส่วนใหญ่ ผู้คนบรรยากาศก็ตามรูปครับ
วันต่อมาก็ไปชมกำแพงเมืองโบราณที่ผ่านมาหลายยุคหลายสมัย เหมือนได้ย้อนยุคไปในเมืองจีนสมัยก่อน เหมือนกับที่เคยดูหนังจีน กำแพงเมืองด้านบน หมายกับถนนสายหนึ่งเลย สามารถปั่นจักรยานก็ได้ รถก็ยังวิ่งได้
พอลงจากกำแพงเมืองก็ไปเดินต่อในเมืองและไปดูบรรยากาศ ย่านมุสลิมในตอนกลางวันกันบ้าง ตกเย็นไปส่งเพื่อนร่วมทริปคนหนึ่งกลับเมืองไทยก่อน
อีกวันต่อมาเป้าหมายของเราคือการไปชมวัดที่พระถังซำจั๋งเคยเป็นเจ้าอาวาสมาก่อน ผมเข้าใจว่าส่วนใหญ่จะรู้จักพระถังซำจั๋งจาก ไซอิ๋ว ซึ่งเป็นเรื่องจินตนาการที่มาจาก เรื่องจริงของพระถังซำจั๋งที่ได้เดินธุดงค์ไปศึกษาพระพุทธศาสนาและนำพระไตรปิฏกมาจากประเทศอินเดียในสมัยก่อน ในวัดจะมีเจเดีย์ห่านป่าใหญ่เป็นเอกลักษณ์สำคัญ และกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปแล้ว มีลานน้ำพุขนาดใหญ่หลังวัดที่ผู้คนมาพักผ่อนนั่งเล่น ในอนาคตรถไฟฟ้าจะมาถึงวัดแห่งนี้และคงเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น ตอนขามาพวกเราเดินค่อนข้างไกล เพราะเข้าใจว่าวัดอยู่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าใต้ดินมากเท่าไหร่ แต่ขากลับก็ใช้บริการรถเมล์ ทำตัวกลมกลืนเหมือนคนท้องถิ่น แค่นี้ก็เหนื่อยกันแล้ว เลยกลับที่พักนอนพักผ่อน เหลือเวลาอีก วันหนึ่ง
วันสุดท้ายโปรแกรมของเราคือการเดินช้อปปิ้ง หารซื้อของฝากและชมเมือง ซึ่งยิ่งเดินยิ่งค้นพบว่าแหล่งช้อปปิ้งมันเยอะมากๆ ทั้งห้างหรูหรา หรือร้านโลวคอสต์ต่างๆ เรียกว่าจะเดินทั้งวันก็ไม่หมด จนตกเย็น พอถึง 5 โมงเย็นก็ขึ้นรถเมล์จากใกล้ๆโรงแรมตรงดิ่งถึงสนามบินเสียนหยางเดินทางถึงสนามบินดอนเมืองอย่างปลอดภัย แต่เนื่องจากมาถึงตีสอง เลยนอนกันในสนามบินเพื่อสมาชิกในทริปจะบินต่อไปต่างจังหวัดตอนหกโมงเช้า และจบทริปการเดินทางที่น่าประทับใจอีกทริปหนึ่ง