Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2554
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
20 พฤศจิกายน 2554
 
All Blogs
 

ทัศนศึกษาสวีเดนปี 2004



วันแรก
ช่วงเวลาประมาณ 3 ทุ่มของวันที่ 28 เมษายน 2547 พวกเราได้มารวมตัวกันที่สนามบินดอนเมือง ซึ่งครั้งนี้ถือว่าเป็นการเดินทางโดยเครื่องบินครั้งแรกของผม แต่เป็นการออกนอกประเทศครั้งที่สอง เพราะครั้งแรกคือชายแดนไทย พม่าที่แม่สาย เพราะฉะนั้นวันนี้จะดูตื่นเต้นเพราะจะได้ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก และจะได้ไปยุโรปครั้งแรกในชีวิตด้วย แต่เริ่มแรกที่รู้ว่คณะจะไปสวีเดนนั้นรู้สึกว่ามันไม่ใช่เป้าหมายของเราและไม่อยากจะไปเลย (แต่ภายหลังกลับพบว่ามเป็นสถานที่ๆที่อยากมาอยู่ที่สุด) หลังจากที่พวกเราครบกันแล้วก็ทำการเช๊คอิน และผ่านกระบวนการของ ตม.ก็เข้าไปนั่งรอเครื่องออกที่หน้าเกท



ขณะนั้นรู้สึกว่าเครื่องมันออกช้าเหลือเกินเพราะใจมันไปก่อนแล้ว ใจมันอยากจะขึ้นเครื่องเต็มที่ อา..หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ขึ้นเครื่องพอตอนหาที่นั่งนี้แหล่ะเนื่องจากพวกเรามาเป็นกลุ่มใหญ่ เพราะฉะนั้นเลยสามารถเปลี่ยนที่นั่งกันภายในกลุ่มได้อยู่แล้ว ด้วยความที่เป็นผู้น้อยด้อยอาวุโส ผมจึงโดนท่านผู้อาวุโสทั้งนั้นสั่งให้เปลี่ยนที่นั่ง เพราะฉะนั้นจึงอยู่แถวกลางแล้วนั่งเก้าอี้ตัวในที่ออกยากๆ เพราะฉะนั้นจึงไม่ค่อยได้ออกไปเดินบ่อยเท่าไหร่ เพราะตอนออกค่อนข้างเกรงใจชาวบ้านที่จะต้องลำบากเวลาเราออกจากที่นั่ง อย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่าที่นั่งชั้น Economy มันก็แคบๆ ลุกก็ไม่สะดวก พูดมาก็นานแล้วลืมบอกว่าเที่ยวบินของเราคือเที่ยวบินที่ TG 960 กรุงเทพ-สต๊อกโฮล์ม ซึ่งเที่ยวบินนี้เขามีเกือบทุกวันยกเว้นวันอาทิตย์ ออกเดินทางจากตีหนึ่งของเมืองไทยถึงหกโมงครึ่งของสวีเดน การเดินทางอันยาวนานใช้เวลา 10 ชั่วโมง 40 นาที เรียกว่านั่งกันก้นแฉะเลยแหล่ะครับ และแล้วพวกเราก็มาถึงสนามบินอาร์ลันดา




ครั้งแรกที่มองออกจากหน้าต่างสนามบินนั้นมีแต่ต้นสนและทุ่งหญ้าสีเขียวหรือไม่ก็ลานดินโล่ง ไม่เห็นมีตึกรามบ้านช่องเลย เริ่มจะแปลกใจละว่ามันจะเป็นยังไงนี้ ซึ่งภายหลังก็รู้ว่าประเทศที่เจริญทางวัตถุทั้งหลายนี้เขาไม่สร้างสนามบินใกล้เมืองหรอก พอลงจากเครื่องผ่านการตรวจคนเข้าเมืองของสวีเดนซึ่งง่ายดายมาก ไม่มีอะไรที่ยุ่งยาก หรือสับสนเลย (เพราะเราเดินตามเขาอย่างเดียว ฮา) เมื่อมาถึงสนามบินก็พบว่า รถบัสที่พร้อมจะพาพวกเราไปดูงานนั้นก็ได้มาจอดรอพวกเราแล้วสัมผัสแรกที่ออกจากสนามบินอาร์ลันดาคืออากาศมันเย็นสดชื่นแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ช่วงนั้นเป็นช่วงปลายเดือนเมษายน ซึ่งกำลังจะเข้าฤดูใบไม้ผลิ อากาศดีมากไม่หนาวอย่างที่คิดไว้เลยเพราะก่อนหน้านี้ไม่มีความรู้เลยว่าเดือนไหนของทางยุโรปอากาศเป็นอย่างไร เอาล่ะครับตอนนั้นเป็นเวลาราวๆ 8.00 เราก็ออกเดินทางไปจุดมุ่งหมายแรกซึ่งเป็นการไปดูงานกันเลย เพราะฉะนั้นพวกเราจะได้จัดการธุระส่วนตัวตั้งแต่อยู่บนเครื่องบินแล้ว ระยะทางจากสนามบินเข้าไปในเมืองใช้เวลาราวๆ 40 นาที คนขับรถชาวสวีเดนนี้นิสัยดีทุกคนเลย เพราะแต่ละวันพวกเราเปลี่ยนรถและคนขับทุกวัน ซึ่งแล้วแต่บริษัทรถเช่าจะจัดใครมาบริการพวกเรานั้นเอง คนขับวนหาโรงเรียนซักพัก ก็เจอโรงเรียนที่เราจะไปดูงานเป็นโรงเรียนแรกคือโรงเรียน Lilla Adolf Fredrink ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองสต๊อกโฮล์มเลย




นี่ถ้าเป็นบ้านเราก็แห่กันมาทั้งโรงเรียน เกณฑ์เด็กและครูมาต้อนรับ อย่างเสียเวลา และเปลืองงบประมาณ ที่พูดมานี่เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีที่บ้านเราควรดูเป็นตัวอย่าง ส่วนเรื่องไม่ดีของเขาเราก็ดูไว้และอย่าเอามาเป็นตัวอย่าง อาจารย์ใหญ่ได้ให้ข้อมูลเป้นประโยชน์เยอะมากและจากนั้นก็ได้แบ่งพวกเราเป็นสองกลุ่ม แบ่งสายกันเดินดูโรงเรียน โดยได้เข้าไปดูในแต่ละห้องเรียนและห้องทำงานต่างๆ เด็กๆได้ให้ความสนใจพวกเราเป็นอย่างมาก




และพวกเราก็สนใจเด็กๆอย่างมากเช่นกัน เด็กประถมสวีเดนนิสัยดียังไม่ค่อยซนเท่าไหร่ แต่พอเป็นวัยรุ่นเด็กสวีเดนจะเหี้ยวพอสมควร ที่สำคัญเด็กพวกนี้พัฒนาการเร็วมาก อย่างเด็กหญิง ป.4 อายุ10 ขวบคนหนึ่ง หน้าตาเกินวัยเหมือนคนไทยอายุ 18 ปีเลยทีเดียว แต่ผู้ชายจะดูแก่ช้ากว่าไปนิดหนึ่ง











หลังจากอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้สองชั่วโมง เราก็ขึ้นรถต่อไปอีกคือโรงเรียน Vasa real ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันเลย โรงเรียนนี้ดูจากภายนอกก็ดูยากอีกเหมือนกันว่าเป็นโรงเรียน พวกเรามาถึงโรงเรียนแล้วก็มีครูคนหนึ่งมาต้อนรับและพาพวกเราขึ้นไปห้องบรรยายที่อยู่ชั้นที่สูงมากๆ เล่นเอาเดินเหนื่อยพอสมควร เพราะเดินทางมาจากเมืองไทยนี่ก็เหนื่อยอยู่แล้ว ครูริกกี้ได้บรรยายพวกเราเกี่ยวกับการศึกษาของประเทศสวีเดนประมาณชั่วโมงหนึ่งซึ่งก็เป็นเวลาเที่ยงพอดี โรงเรียนได้เลี้ยงอาหารเที่ยงพวกเรา ซึ่งเป็นอาหารกลางวันตามปกติของนักเรียน เพราะฉะนั้นพวกเราต้องไปทานที่โรงเรียนอาหารของโรงเรียน ซึ่งอยู่ใต้อาคารของโรงเรียน และโรงอาหารแห่งนี้ก็ไม่ได้ใหญ่โตเท่าไหร่ ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่า เขาจัดระบบทานอาหารกันอย่างไรนักเรียนถึงไม่ได้มาอ้อกันเหมือนโรงอาหารโรงเรียนมัธยมบ้านเรา ครูริกกี้ได้พาเด็กนักเรียนมาสัมภาษณ์ต่อคณะของพวกเราในโรงอาหาร ซึ่งในนั้นมีเด็กไทยอยู่ดวยคนหนึ่ง แต่ดูจะพูดภาษาไทยไม่ได้ เพราะคงตามแม่ที่มีสามีเป็นชาวสวีเดนมาอยู่ที่นี้ตั้งแต่เด็กตามสเตปของคนไทย อาหารที่โรงเรียเลี้ยงก็เป็นปุฟเฟต์ที่ดูดี แต่รสชาติพอกินได้สำหรับพวกเรา ตอนทานข้าวกลุ่มผู้บริหารของโรงเรียนก็มาทานข้าวร่วมกับพวกเราด้วย หลังจากทานข้าวเสร็จแล้วโปรแกรมต่อไปคือการซ้อมหนีไฟ หลังจากอิ่มแล้วผมก็ได้ไปเข้าห้องน้ำในโรงอาหารแต่พอออกมาแล้วกลับพบว่าไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว คณะของผมหายไปไหนหมดตกใจมาก รู้สึกกลัวนิดๆเพราะกลัวการหลงเพื่อนและเสียงกริ่งซ้อนหนีไฟซึ่งก็กำลังดังอยู่ เด็กนักเรียนก็แห่กันออกมาที่สนามของโรงเรียน ขณะนั้นผมก็ได้หยิบโทรศัพท์อถือขึ้นมาแล้วกำลังจะกด อ้าววว ลืมไปว่าไม่ใช่เมืองไทยเคยชินกับการโทรศัพท์มือถือเวลาหาเพื่อนไม่เจอ เอาไงดีล่ะตอนนั้นเลยตัดสินใจเดินปนกับเด็กออกไปข้างนอกอาคาร




พอพ้นประตูออกไปเพื่อนเราก็นั่งอยู่แถวนี้เต็มไปหมด แหมจะออกมาไม่มีใครบอกเลยซักคำเล่นเอาตกใจไปหมด เอาล่ะหายตกใจไปล่ะ ตอนนี้พวกเด็กนักเรียนที่ครูให้มาตั้งแถวที่สนามก็ได้ให้ความสนใจเด็กพวกกันใหญ่แตกแถวออกมาถ่ายรูปกับพวกเราครูต้องคอยแห่มาต้อนกลับ แต่ไม่วายจะแห่ออกมาอีก รวมทั้งมีเด็กสองคนที่วิ่งมาหาผมแล้วพูดว่า “ขอบคุณ” ตอนแรกก็ฟังไม่ออก แต่พอฟังออกแล้วก็รู้ว่าเด็กคงจำมาผิดเลยสอนให้พูดสวัสดี พร้อมกับสอนไหว้ให้ด้วย




ซักพักเด็กตั้งแถวแล้วก็เดินไปยังโบสถ์ที่อยู่ใกล้โรงเรียน ระหว่างที่เดินไปไม่วายที่เด็กจะมารุมถ่ายรูปพวกเรายังกะดาราแน่ะ พอไปถึงโบสถ์นักเรียนก็ตั้งแถวนั่งตามเก้าอี้ในโบสถ์ พวกเราก็นั่งด้วยแถวหนึ่งแต่โชคร้ายเก้าอี้ไม่พอ 1 ตัว และตอนนั้นผมก็มัวแต่ถ่ายวิดีโอนักเรียนอยู่เลยนั่งช้ากว่าเพื่อน จึงไม่มีที่นั่ง เอาล่ะซวยอีกแล้ว จะยืนอยู่คนเดียวนี้อายเขาแย่เลย จึงมองไปเห็นเก้าอี้ว่างหัวแถวกับเด็กนักเรียนนี้แหล่ะ พอนั่งปุ๊บเด็กก็ชวนคุย แต่เฮ้ยยย ภาษาอังกฤษไม่ดีเลยไม่ได้คุยด้วย แย่จังซักพักอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนก็พูดอะไรซักอย่างหนึ่งแล้วเด็กก็แยกย้ายกันกลับโรงเรียน




พวกเราก็กลับไปที่โรงเรียนด้วยพร้อมกับอาจารย์ริกกี้ แล้วอาจารย์ริกกี้ก็พาชมห้องต่างๆ ที่ค่อนข้างน่าทึ่งเช่นห้องเรียนคณะกรรมศาสตร์ที่อุปกรณ์ทันสมัยมาก ห้องประชุมของโรงเรียนเองที่ใช้เป็นโรงละครได้ด้วยที่สำคัญดูจากภายนอกนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะสร้างหอประชุมในอาคารแบบนั้นได้ พร้อมกับคณะผู้บริหารที่มานั่งคุยกับพวกเราอย่างเต็มตัว จนกระทั่งบ่ายสองโมงครึ่ง พวกเราก็เสร็จสิ้นภาระกิจดูงานซึ่งเริ่มมาทั้งวัน และเวลายังเหลือเพราะฉะนั้นพวกเราจึงไปกินก๋วยเตี๋ยวราดหน้ากันก่อนที่ร้านอาหารไทยแห่งหนึ่ง อยากจะบอกว่าราดหน้าทะเลจานนี้ราคา 120 โครน ตกเป็นเงินไทย 600 บาท ลดให้ 80 % เหลือ 480 บาท โห จานเดียวนะนี้เส้นก็ออกแข็งๆหน่อยเพราะส่งไปไกลจากเมืองไทย ถึงแม้จะทานอาหารจากโรงเรียนมาแล้วแต่ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าก็ยังดูอร่อยเพราะรสชาติไทยของเรา แม้เส้นจะแข็งไปนิดหนึ่ง อิ่มหมีพลีมันแล้วยังมีเวลาเหลืออีกเยอะ เพราะยังมีเวลาอีกเยอะกว่าพระอาทิตย์จะตกก็ 4 ทุ่มโน้น เพราะฉะนั้นจึงไปเดินเที่ยวกันต่อที่ จตุรัสซารีเกลส์ (Sergels)




ซึ่งบริเวณนั้นมีย่าน เฮอทอเรียต ( Hötorget) มีตลาดผักผลไม้ ดอกไม้ ของจุกจิก และเป็นย่านช็อปปิ้งใจกลางเมืองของสวีเดน




พวกเราตื่นตาตื่นใจกันมาก โดยเฉพาะบริเวณสวน Kungsträd ซึ่งดอกซากุระออกดอกสวยงามตระการตาไปทั่ว








พอถึงเวลาห้าโมงเย็นถึงเวลารับประทานอาหารพวกเราจึงเคลื่อนขบวนไปที่ร้านอาหารจีนในบริเวณ กัมลาสตาน (Gamlastan) ซึ่งจะเห็นผู้คนออกมานั่งรับแสงตะวันพร้อมกับวิวทิวทัศน์อันสวยงามของกรุงสต็อกโฮล์ม




หลังจากทานอาหารเสร็จก็เข้าสู่โรงแรมที่พักโรงแรม Elite Palace พอเข้าโรงแรมแล้วก็ลงมาเดินกับเพื่อน 4 คนรอบๆโรงแรมและก็เข้านอนหลับอย่างสบายเนื่องจากเหนื่อยมาทั้งวันนั้นเอง แต่กระนั้นกว่าพระอาทิตย์จะตกดินนี้ก็เกือบ 4 ทุ่ม

วันที่ 2 ท่องกรุงสต็อกโฮล์ม
วันที่ 2 ของการเดินทางวันนี้รู้สึกตัวตั้งแต่ตี 3 เพราะพระอาทิตย์ส่องแสงจ้าจนแทบจะนอนไม่ได้ต้องลุกขึ้นมาปิดม่านให้มิดชิด แต่กระนั้นก็รตื่นแต่เช้าเพราะเวลาที่นี้ช้ากว่าบ้านเรา 5 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะตื่นราวๆ 6 โมงเช้า ซึ่งตรงกับ 5 โมงเช้าบ้านเราเพราะฉะนั้นจึงนอนไม่หลับ จึงได้ลุกขึ้นมาคนเดียวและเดินเล่นชมเมืองในบริเวณใกล้ๆโรงแรม วันนี้ได้เห็นความมีระเบียบวินัยของคนสวีเดนจนเกิดความรู้สึกประทับใจ ขณะที่กำลังจะข้ามถนนตรงทางม้าลายปกติบ้านคนจะต้องรอให้รถผ่านไปก่อนทแต่ที่นี้ ถึงแม้ว่าทั้งถนนจะโล่งมีรถเพียงคันเดียว ขณะที่ผมกำลังจะก้าวขาลงไปในถนนเห็นรถวิ่งมาแต่ไกลจึงรอให้รถผ่านไปก่อน แต่คนขับมีวินัยเขาจอดให้ผมข้ามก่อนถึงจะอยู่คนละฝั่งถนนก็ตาม
จนสายๆหน่อยก็ไปรอประทานอาหารพร้อมกับกลุ่มผู้ร่วมทางทั้งหลาย ที่ห้องอาหารของโรงแรมซึ่งก็เป็นอาหารฝรั่งทั่วๆไปนั้นเอง เมื่อทุกคนทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วพวกเราก็ ออกเดินทางซึ่งวันนี้โปรแกรมของพวกเราคือเที่ยวล้วนๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลา 8.00โมงเช้าแต่ถนนหนทางยังเงียบเชียบยิ่งกว่าป่าช้าซะอีก




พวกเราได้ไปยัง Stadshuset หรือศาลาว่าการกรุงสต็อกโฮล์มนั่นเอง ซึ่งสถานที่นี้จะเป็นที่ใช้มอบรางวัลโนเบลของทุกปี และวันนี้พวกเรามีไกด์คนไทยคือคุณบุญส่ง ซึ่งเป็นอดีตคนเดือนตุลาที่หนีตายมาอยู่สวีเดนเกือบ 30 ปีมาแล้ว สถานที่แห่งนี้มีลักษณะเป็นอาคารทรงแปลกตา ประดับด้วยอิฐ ภายในเป็นห้องโถงโล่งๆมาหลายห้อง




ห้องที่พิเศษสุดจะประดับผนังเป็นรูปพระเจ้า ทำด้วยสีทอง และมีห้องสำคัญๆหลายห้องด้วย




ที่สำคัญมีจานและอุปกรณ์จัดเลี้ยงที่จะนำออกมาใช้เวลามีพิธีเท่านั้นและเป็นจานที่ประดับด้วยทองคำเขาว่ามาอย่างนั้น ยอมรับว่าไม่ได้เก็บข้อมูลจากสถานที่แห่งนีเลย เพราะโดนสั่งให้เป็นตากล้องประจำตัวของใครบ้างคนก็เลยจะได้รูปแทนข้อมูล




พอออกจาก Stadshuset แล้วพวกเราก็นั่งรถชมกรุงผ่านสถานที่สำคัญต่างๆจนไปถึงพิพิธภัณฑ์เรือวอซ่า (Vasa Musuem) วอซ่าเป็นชื่อของราชวงศ์ของสวีเดนช่วงหนึ่ง พระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งของสวีเดนสร้างเรือรบที่ยิ่งใหญ่อลังการหลายสิบปี แต่พอสร้างเสร็จออกเรือไปไม่กี่ร้อยเมตรกลับจมลงทะเลอย่างรวดเร็วนับว่าน่าเสียดายแทนเป็นพิพิธภัณฑ์ที่น่าชมอย่างยิ่งครับ




พอตกบ่ายเป็นการเดินตามอัธยาศัยที่พวกเราได้เดินชมเมืองอย่างจุใจมากกว่าเมื่อวานนี้โดยจุดแรกไปเริ่มที่ตลาดผลไม้ เฮอทอยเรียตก่อน (Hörtorget)




แล้วก็เดินไปตามถนนช็อปปิ้ง Drottninggatan หรือ Queen street ในภาษาอังกฤษ ซึ่งถนนเส้นนี้มีความน่าสนใจมาก เพราะสามารถเดินไปได้เรื่อยๆจนถึงเขตเมืองเก่า ( Gamlastan )




ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นทางประวัติศาสตร์ของสต็อกโฮล์ม โดยถนนนี้จะผ่ากลางอาคารรัฐสภาด้วย เมื่อทะลุออกอาคารรัฐสภาแล้วก็จะเป็นพระราชวังหลวง หรือ Kungliga Slottet และเมื่อเดินขึ้นไปเรื่อยบริเวณกลางเนินของเกาะ Gamlastan จะเห็นโบสถ์ Storkykan ซึ่งเป็นโบถส์หลวง เทียบได้กับวัดพระแก้วบ้านเรา และเดินไปอีกนิดหนึ่งจะมีลานโล่งๆ ซึ่งหลายร้อยปีก่อน เป็นสถานที่สังหารขุนนางสวีเดน 84 โดยกษัตริย์เดนมาร์ก









ซึ่งบริเวณนั้นก็รายรอบด้วยอาคารเก่าแก่ที่ยังคงมชีวิตชีวาอยู่จนมาถึงปัจจุบัน เมื่อเดินรอบๆบริเวณนั้นจะมีร้านขายของที่ระลึกเยอะแยะเลยทีเดียว ทีนี้ตอนเราเดินกลับมานี้สิ พวกคนผิวดำเริ่มก่อนตัวกัน ปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆข้างอาคารรัฐสภา เข้าใจว่าพวกเขาคงประท้วงเรียกร้องอะไรบ้างอย่างจากรัฐบายสวีเดน เพราะคนพวกนี้เป็นผู้อพยพที่มีจำนานมาก และก็ก่อปัญหามากเช่นเดียวกัน พวกเราได้เดินย้อนกลับไปทางถนน Drottninggatan ชมเมืองไปเรื่อยๆ ซึ่งก็ใช้ระยะเวลามากพอสมควรจนได้เวลาอาหารเย็นจึงไปรับประทานอาหารแล้วกลับโรงแรม




ทีนี้จุดสนุกสุดมันของเราก็เริ่มขึ้นหลังจากที่กลับโรงแรมแล้ว เมื่อถึงโรงเรียนพวกเราก็ประชุมสรุปการดูงานเมื่อวานนี้ และในขณะนั้นพวกเราเหนือยล้า ตาก็แทบจะปิดอยู่แล้ว แต่หลังจากเลิกประชุมแล้ว เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มบอกว่าวันนี้ตรงกับวันสำคัญของสวีเดนที่เขาจะมีขบวนพาเหรด และประดับไฟสวยงามที่ใจกลางเมือง ผมได้ยินก็หูผึ่ง ถึงแม้จะเหนือยหล้าเต็มทน แต่ใจมันบอกว่าสู้ อิอิ ยังไงก็จะไปดูให้ได้ พวกเราเลยชวนกันไป แต่พอลงมารอที่ล็อบบี้ของโรงแรมนี้สิ ไม่รู้ข่าวนี้มันไปเร็วได้ยังไง มีผู้ร่วมสนใจไปกันเยอะมากประมาณ 9 คน ด้วยความที่พวกเราไม่กล้าขึ้นแท็อกซี่เพราะ รู้มาว่าแพง รถเมล์ก็นั่งไม่เป็นอีก จึงตัดสินใจเดินไปตามแผนที่ถามชาวบ้านเขาไปเรื่อยๆ ตอนนั่งรถนี้ก็รู้ว่ามันไม่ได้ไกลเท่าไหร่แต่พอเดินนี่สิมันไกลลลมาก แต่ยังไงก็ต้องเดิน พวกเราเดินไปนั่งพักไปโดยเฉพาะผมอิอิ เดิน เดิน เดินได้แต่เดิน ดังนั้นด้วยความที่กลังหลงจึงมีพี่คนหนึ่งในกลุ่มถามสาวสวีดิชสุดสวยคนหนึ่งว่า จุดหมายของพวกเรานี้มันอยู่ไกลแค่ไหน สวยสาวก็ตอบมาว่า 1 กิโลเมตร แต่เอ๊ะ กิโลสวีดิชนี้เหมือนกิโลแม้วเลย ไม่ถึงซักที แต่ยังไงพวกเราก็ไม่ถอยอยู่แล้ว ระหว่างทางซึ่งใกล้จะถึงจุดมุ่งหมายแล้ว เพื่อนคนหนึ่งผ่านส้วมสาธารณะที่เป็นรูปถังสีเขียวๆ ตั้งอยู่ทั่วไปกลางเมือง ด้วยอากาศที่หนาวเย็นทำให้เกิดอาการปวดฉี่ได้ง่าย ดังนั้นจึงได้หยอดเหรียญ เพื่อเข้าใช้ห้องน้ำ แต่ปรากฏว่าเปิดไม่ออก แล้วไงล่ะ ยังหรอกครับ เอาไว้ตอนกลับจะเล่าให้ฟัง จำส้วมไว้ให้ดีนะครับ ระหว่างทางก็มีร้านเบอเกอร์คิง และมีห้องน้ำด้วยแต่ที่สวีเดนนี้ห้องน้ำฟรีในศูนย์กบางเมืองนี้หาฟรีไม่ได้ครับ หลายๆคนจึงยอมหยอดเหรียญเข้าห้องน้ำในร้านโดยหยอดครั้งหนึ่ง 5 โครนแต่เข้าไปครั้งละ 2 คนเพื่อความประหยัดว่างั้น พวกเราถึงจุดมุ่งหมายใจกลางเมืองบริเวณซารีเกลส์ (Sergels) ขณะนั้นเป็นเวลา 4 ทุ่มแล้วทุกอย่างเงียบงัน แสงไฟที่ว่าสวยๆงามๆน่ะไม่เห็นมีอะไรเลย ทุกอย่างปกติ นึกมาแล้วสุดเซ็งเลยเดินมาออกเหนือย ทุกคนคิดหาทางกลับโรงแรม มีบางคนพยายามหาแท็กซี่ ซึ่งถามแล้วได้ความว่านั่งได้ 4 คนราคา 90 โครน รู้สึกว่าแพงเลยไม่มีใครนั่งเพราะถ้านั่งจะต้องเหลือเศษอีก 1 คนเลยตัดสินใจเดินกลับ เมื่อพยายามคำทางกลับมาตามเส้นเดิมเรื่อยๆก็พบส้วมสีเขียวที่แห่งเดิม สีนี้เพื่อนสาวในกลุ่มคนหนึ่ง เกิดความฮึดจะต้องเปิดไอ้ส้วมนี้ให้ได้ ด้วยความแค้นที่เสียตังค์ไปแล้วแต่ไม่ได้เข้า เพราะฉะนั้นเธอก็ได้พยายามเขย่าๆประตูอยู่พักหนึ่ง และแล้วเธอก็ทำได้สำเร็จ แต่เธอได้ของแถมมาด้วยอย่างหนึ่ง นั้นก็คือฝรั่งหัวล้านเปิดประตูออกมาจากห้องส้วมนั้นด้วย ฝรั่งคนนั้นทำท่าทางเชื้อเชิญเพื่อนสาวให้เข้าไปข้างในห้องส้วม เล่นเอาเพื่อนๆในกลุ่มขำแตกกันเลยทีเดียว สุดท้ายก็คลำทางกันไปเรื่อยๆจนถึงโรงแรมตอน 6 ทุ่ม เล่นเอาอ่อนแรงกันไปตามๆกัน แต่ก็ดีที่นอนได้หลับสบาย




วันที่ 3 จากสต็อกโฮล์ม ถึงคาลสตัด
ทุกคนเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางครั้งต่อไป เก็บข้าวของลงมาที่ล็อบบี้และรับประทานอาหารเช้า พวกเราออกจากสต็อกโฮล์มตอนแปดโมงเศษๆ รถได้มารอรับตั้งแต่เมื่อคืนโดยคนขับจอดรถนอนรอที่หน้าโรงแรมกันเลย




พอขึ้นรถเหตุการณ์เมื่อคืนก็เป็นที่กล่าวขวัญกัน พี่ในกลุ่มคนหนึ่งได้แชร์เหตุการณ์ให้เพื่อนๆฟัง วันนี้ช่วงเช้าได้แต่นั่งรถ โดยรถจอดแวะแค่ครั้งเดียวเพื่อให้เข้าห้องน้ำ




พอถึงช่วงพักเที่ยงก็ถึงเมืองคาลสตัด (Karlstad) รถได้วิ่งเข้าไปในเมืองเพื่อรับประทานอาหาร วันนี้เป็นวันแดดออก เช่นเคย ดังนั้นชาวเมืองจึงออกมานั่งทานอาหารนอกร้านกลางแสงแดด ด้านนอกร้านใกล้กับศูนย์กลางเมืองที่ประชาชน กำลังเดินขบวนเนื่องในวันแรงงาน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีทุกๆเมือง ฝรั่งนั่งนอก คนไทยนั่งในร้านเพราะอากาศมันเย็นๆ ทานข้าวเสร็จก็มุ่งหน้าที่ยังโรงแรม เพื่อเช๊คอิน




โดยวันนี้พวกเราตั้งใจว่าจะออกล่าเหยื่อตามเคย จริงๆแล้ว โปรแกรมดูงานในครึ่งเช้าวันนี้ได้ถูกยกเลิก เพราะโรงเรียน Cancel สาเหตุไม่ทราบเหมือนกัน ดังนั้นไกด์นำทางจึงได้หากิจกรรมให้ทำ ซึ่งก็คือไป ช็อปปิ้งนั้นเอง กิจกรรมนี้ถูกอกถูกใจสาวเหลือน้อยทั้งหลาย แต่สำหรับพวกเราเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก มาเมืองนอกถ้ามาเดินห้างจะมาทำไม เพราะห้างที่ไหนๆในโลกก็แทบจะไม่ต่างกันเลย




ว่าแล้วก็ไปรอที่รถเพื่อกลับโรงแรมและเตรียมตัวออกไปชมเมือง พอช็อปเสร็จก็ไปกินข้าวตามสเต็ป จากนั้นก็กลับโรงแรม เพราะฉะนั้นพวกเราจึงต้องออกล่าตอนเย็นอิอิ




เนื่องจากที่นี้พระอาทิตย์ตกช้าเกือบ 4 ทุ่มในช่วงต้นเดือนพฤษาคม ดังนั้นการเดินออกตอนเย็นๆจึงไม่น่ากลัว ดังนั้นจึงเดินออกชมเมือง Karlstad จึงไม่น่ากลัว เมืองนี้เป็นเมืองที่สวยด้วยเมืองหนึ่ง โดยเฉพาะพระอาทิตย์พลบค่ำแบบนี้ส่องแสงสีทองอย่างสวยงาม




เพราะเราเดินไปเรื่อยๆจนเกือบจะเข้าไปในตัวเมืองแล้ว แต่ผู้มีบารมีในกลุ่มสั่งให้กลับโรงแรมเสียก่อน นึกมาแล้วไม่น่าให้มาด้วยเลย อิอิ จึงต้องเลี้ยวกลับโรงแรมอย่างเสียไม่ได้ ระหว่างเดินเที่ยวมีกลุ่มวัยรุ่นใจแตกกลุ่มใหญ่ นั่งรถมากันเป็นกลุ่มแต่งรถแสนจะแปลก เข้ามาแซวและโห่ร้องใส่พวกเรา ซึ่งปกติไม่ค่อยมีอะไรแบบนี้เลย เพราะพวกเราเจอแต่คนใจดียิ้มให้ตลอด




เมืองนี้อยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองสต็อกโฮล์ม สวีเดน และเมืองออสโล นอร์เวย์ เพราะฉะนั้นจึงต้องแวะพักที่เมืองนี้ เนื่องจากคนขับรถไม่สามารถขับเกินกว่า ชั่วโมงที่กฏหมายกำหนดได้ พูดถึงรถบัสเช่าของที่นี้เขาทันสมัยมาก นอกจากคนขับจะมีวินัย และใจดีแล้ว ขับยังใช้ GPS ในการนำทางด้วย และที่สำคัญเขามีการ์ดบันทึกการขับรถด้วย ซึ่งรูปร่างคล้ายๆกับ ซีดี แต่เป็นแป่นบางๆ เวลาตำรวจตรวจก็เพียงแค่ ถอดการ์ดจากรถมาเช็คแค่นั้นเอง ไม่จำเป็นต้องถามให้มากความว่างกันอย่างนั้น วันนี้กิจกรรมน่าตื่นเต้นแทบไม่มี เพราะฉะนั้นจึงผ่านวันนี้ไปแบบเซ็งๆนิดๆ







 

Create Date : 20 พฤศจิกายน 2554
2 comments
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2554 18:06:40 น.
Counter : 2341 Pageviews.

 

อ่านเรื่องประเทศสวีเดนอย่างคร่าว ๆ แล้วค่ะ ถ้ามีโอกาสไปประเทศนี้จะต้องมาอ่านอย่างละเอียดหนอ่ย เขียนเล่าเรื่องได้เป็นกันเองดี ไม่วิชาการเกินไป ทำให้เพลิดเพลินดีค่ะ ภาพสวยค่ะ ถ่ายได้มุมได้จังหวะดี
เด็ก ๆ ของเขา ก็ "เฮี้ยว" เหมือนเด็กไทยเราเหรอ คะ

 

โดย: อาจารย์สุวิมล (อาจารย์สุวิมล ) 25 พฤศจิกายน 2554 10:21:06 น.  

 

เด็กที่ไหนก็ธรรมดาชาติไม่ต่างกันเลยครับ

วิธีเขียนก็จะเป็นการเล่าเรื่องไปเรื่อยๆน่ะครับ

 

โดย: Zabby 26 พฤศจิกายน 2554 0:57:43 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Zabby
Location :

Thailand

Sweden

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




หากผ่านเข้ามาที่บล็อกนี้ก็ทักทายกันได้ครับ ยินดีตอบคำถามข้อสงสัยที่พอจะช่วยได้ ปกติอาศัยอยู่ประเทศสวีเดน ส่วนตัวเป็นคนรักในการเดินทาง สนใจธรรมะ พลังจิต คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีต่างๆ การพัฒนาเมือง ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม การตกแต่งบ้านและสวน เขียนบล็อก
free counters
Free counters
Friends' blogs
[Add Zabby's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.