ความเดิม:แบกเป้เที่ยวกระบี่ ตอนที่ 1----------------------------------------
ตอนที่ลงเครื่องที่สนามบินนานาชาติกระบี่ เดินออกมาด้านหน้าเพื่อหาทางไปที่ท่าเรือโดยไม่ต้องนั่ง TAXI ครับ พอมาถึงด้านหน้าเห็นฝรั่งแบกเป้เดินไปทางถนนใหญ่หน้าสนามบิน ทำให้รู้เลยว่าต้องมีที่ให้ขึ้นรถประจำทางอยู่แถวนั้นแน่ๆ แต่เพื่อความแน่ใจเลยเดินไปถามผู้โดยสารคนอื่นๆที่มารอคนมารับ ถามเรื่องวิธีเดินทางไปท่าเรือ พี่ผู้หญิงคนนั้นเลยถามว่าจะไปเที่ยวเกาะพีพีเหรอ พอตอบว่าใช่ พี่แกเลยบอกเดี๋ยวพี่ไปส่งเนี่ยแฟนพี่มาแล้ว ด้วยความเกรงใจเลยถามพี่แกว่าเป็นทางผ่านของพี่หรือเปล่าครับ แกบอกก็ทางเดียวกันแหละแต่ท่าเรืออยู่เลยไปอีกหน่อย ก็เลยขึ้นรถพี่คนนั้นติดออกไปด้วย รู้สึกจะเจอความประทับใจแรกตั้งแต่เท้าแตะสนามบินกระบี่เลยครับ คนกระบี่ใจดีมั่กมาก
ถนนในตัวเมืองกระบี่ โล่งดีจัง
พอรถวิ่งออกจากสนามบินเพื่อไปท่าลงเรือไปพีพี โอ้โฮ ห่างจากสนามบินและตัวเมืองมากเลยครับ จนรู้สึกเกรงใจพี่ผู้หญิงและแฟนของแกที่มาส่ง จนลืมถามชื่อพี่แก คุยกันรู้แต่ว่าแกเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ใดที่หนึ่งในตัวจังหวัด เพิ่งกลับจากลาพักไปเยี่ยมลูกสาวที่เรียนกรุงเทพฯ ผมไม่กล้าถามเรื่องที่เรียนของลูกสาวแก กลัวแกจอดรถส่งผมแค่กลางทาง
ชายหาดสำหรับลงเล่นน้ำบริเวณอ่าวพระนาง
ตอนผมไปเที่ยวเป็นช่วงกลางสัปดาห์ นึกว่าจะไม่มีคนไปเที่ยว ที่ไหนได้นักท่องเที่ยวออกตรึม แต่เป็นฝรั่งซะมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ แย่งกันขึ้นเรือโดยสารขนาดความจุประมาณสองร้อยคนทั้ง 2 ลำ ไม่เข้าใจว่าจะแย่งกันทำไมเรือก็ลำเดียวกัน ไปก็ไปพร้อมกัน ถึงก็ถึงพร้อมกัน ตอนขึ้นเครื่องบินก็ทีแล้ว โหย..แย่งกันจัง ยังกะขึ้นก่อนได้ถึงก่อน ผมรอให้คนขึ้น(หรือเรียกว่า "ลง" หว่า)เรือกันหมดถึงขึ้นไปหาที่นั่ง โอ...เรือมีที่นั่งอย่างดีแถมติดแอร์ครับ (ไม่เหมือนคราวก่อนเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วที่ผมมา ต้องนั่งเรือประมงจากกระบี่ไปพีพี เมาคลื่นอ้วกแตกอ้วกแตน ภาษาอีสานเรียก "ฮาก..จนเหลียแต่ขี้เพี้ย ว่าซั่นเถาะ" แถมขากลับตอนค่ำเรือลำเดิมชนหินโสโครกอีก กำลังร้องรำกันสนุกสนานแต่ละคนหน้าถอดสีไปตามๆกัน)
พอเรือวิ่งไปได้สักพัก นักท่องเที่ยวฝรั่งสาวที่นั่งข้างๆเริ่มหันรีหันขวางเหมือนจะหาอะไรซักอย่าง
ผมถามแกด้วยสายตา แกเลยคุยกับผมว่า
"ได้กลิ่นอีหยังบ่?"
คือแกถามเป็นภาษาฝรั่งแหละแต่ผมแปลเป็นภาษาที่ผมเข้าใจ ผมเลยตอบว่า
"อื้อ แม่นอีหลี กลิ่นฟิวเอิ้น"
กลิ่นน้ำมันเครื่องโชยเข้ามาในห้องโดยสารครับ ตลอดเวลา 2 ชั่วโมงกว่าที่เดินทาง โอ..พระเจ้าจอร์จ มึนหัววิงเวียนจนไม่รู้จะทำไง
ฝนตกตั้งแต่วันแรกที่ไปถึงเลย ฟ้าปิดด้วยเมฆฝน ถูกใจเจรงๆ
ผมจะตัดตอนย้อนเล่าฉากก่อนหน้านี้ให้เหมือนหนังพิศวาสฆาตกรรม ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพี่ยนทรยศ มันอดที่จะเล่าไม่ได้ ก็ตอนที่แบกเป้ขึ้นเครื่องนะแหละ ก็รู้อยู่นะว่าต้องเอายาสีฟัน ยาดมยาหม่อง ที่ทาจั๊กเต่า โฟมล้างหน้ายัดใส่ซองพลาสติกปิดผนึก ไอ้เราก็ตรวจดูและจัดการเสียดิบดี แต่พอตอนที่ตรวจเขาบอกว่าโฟมล้างหน้าปริมาตรเกิน ผมก็บอกไม่เกิน โฟมล้างหน้ามันหลอดใหญ่แต่บีบใช้จนจะหมดแล้ว ไม่เกินแน่นอน เจ้าหน้าที่เลยบอกว่าไม่ได้ดูว่าเหลือเท่าไหร่แต่จะดูปริมาตรข้างหลอด สรุปคือต้องทิ้ง แค้นมากๆเลย แค้นให้ตัวเองนะที่ไม่โหลดกระเป๋าเข้าใต้ท้องเครื่อง ตั้งแต่นั้นมาผมก็เฝ้ารอดูข่าวทางทีวี อินเตอร์เน็ตว่ามันมีข่าวโฟมล้างหน้าหรือยาสีฟันที่ไหนระเบิดบนเครื่องหรือเปล่า
เดี๋ยวมาต่อตอน 3 แระ
ต้องหาเวลาไปบ้างแล้ว