ตอนที่ 1
เมื่อเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมกลับบ้านที่ขอนแก่นครับ ทุกครั้งที่กลับบ้านประโยคข้างบน จะกระตุ้นต่อมความจำขึ้นมาทุกครั้ง เจ้าของประโยคคำพูดข้างบนคือ เด็กหญิงธัญพิชชา ซึ่งกล่าวไว้ในวัย 3 ขวบเมื่อเดือนตุลาคม 5 ปีที่แล้ว
เมื่อปี 2000 (พ.ศ.2543 สุขภาพดีถ้วนหน้า) ผมออกจากบ้านขอนแก่นมาทำงานที่กรุงเทพฯตั้งแต่ต้นปี ช่วงกลางๆเดือนตุลาคมผมกลับบ้านเนื่องจากมีวันหยุดติดต่อกัน 3 วันคือวันเสาร์ที่ 21 ถึงวันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม ซึ่งปรกติเวลากลับบ้านผมจะกลับคืนวันศุกร์ และกลับเช้าวันจันทร์โดยรถประจำทาง ยกเว้นบางครั้งรีบด่วนหรือในช่วงเทศกาลสำคัญ จะหารถโดยสารลำบาก ผมถึงจะนั่งเครื่องบิน
ช่วงเวลาที่ผมอยู่ที่บ้านจะเป็นเวลาที่ลูกใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด แต่ละคนจะดูลิงโลดจนทำอะไรไม่ค่อยถูก ส่วนวันหยุดที่บ้านสำหรับผมจะหมายถึงวันที่ผมได้นอนดูหนัง และรายการถ่ายทอดสดฟุตบอลช่วงสุดสัปดาห์ทางเคเบิ้ลทีวี ซึ่งอยู่กรุงเทพฯจะไม่ค่อยได้ทำอะไรแบบนี้ วันเสาร์ช่วงหัวค่ำขณะกำลังเตรียมตัวดูฟุตบอลทีมรัก เตะกับทีมฟุตบอลทีมเกลียดที่โอลด์แทรฟฟอร์ด เห็นพี่กะน้องสองคนกระซิบกระซาบกัน แล้วคนพี่ก็ผลักน้องมาเป็นตัวแทนการเจรจา คนน้องเดินมาหาแล้วบอก "ปะป๋า น้องเน็ตกับพี่ซอฟต์อยากไปเที่ยวแฟรี่" (1) โอย....เอาหละสิ อยากไปเที่ยวอะไรตอนนี้ ผมเลยบอก
"ครับ แต่ให้ป๊าดูบอลจบก่อนนะ" ....สองพี่น้องช่วยกันส่ายหน้า "งั้นป๊าดูครึ่งเดียวนะ" ผมต่อรอง "ไม่...ก็ไหนป๊าบอกว่าจะพาไปตอนแดดไง"(2) คนน้องตอบ ยังไงโดนสองรุมหนึ่งไม่นับรวมแม่เขาอีกคน ผมไม่มีทางต่อรองชนะแน่ จึงจำใจพาลูกไปเที่ยว เด็กสองคนดีใจวิ่งชนหน้าชนหลัง ส่วนผมก็อมยิ้มดูลูก
หมายเหตุ (1) แฟรี่ - ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่(หรือเปล่า)ที่สุดในขอนแก่น เดี๋ยวส่งบิลไปเก็บค่าโฆษณา (2) ตอนแดด/ตอนมืด - ศัพท์ส่วนตัวของ ด.ญ.ธัญพิชชา หมายถึงกลางวัน/กลางคืน
ตอนที่ 2
ถึงเช้าวันที่ 24 ตุลาคม ผมต้องกลับกรุงเทพฯ ซึ่งก็เหมือนกับทุกครั้ง สะพายกระเป๋าแล้วบอกลูก "ป๊าไปนะลูก ทำงานหาตังค์ให้น้องกะแม่นะ" แทนที่จะได้ยินคำว่า "จ้า" เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา คราวนี้เงียบครับ เงียบอยู่ได้ซักครู่ก็เดินไปหาแม่ที่นั่งอยู่แล้วก้มบอกแม่ว่า "แม่ บอกปะป๊าอย่าไปกรุงเทพฯ" ทุกคน(ตายายและแม่)พากันหัวเราะในความไร้เดียงสา แต่ผมสิแค่ยิ้มปลอบลูกยังทำไม่ได้ หันหลังเดินไปเอารถ จากนั้นผมและภรรยาก็มาถึงที่สถานีรถปรับอากาศ ตอนมาตลอดทางสมองผมทำงานวุ่นวายไปหมดกับคำพูดของลูกสาว ผมยืนอยู่นานจนภรรยาถามว่าจะไปรถเที่ยวเวลาไหน อีกอึดใจผมถึงทำลายความเงียบขึ้นว่า "ป๊าจะไปพรุ่งนี้" แล้วก็พากันกลับบ้าน พอถึงบ้านคนพี่มองเห็นพ่อเลยถามขึ้นว่า "ทำไมป๊ากลับมาหละ" ผมตอบ "ก็น้องไม่ให้ป๊าไป วันนี้ป๊าก็จะอยู่กับน้องสิครับ" เท่านั้นแหละ สองคนพี่น้องวิ่งกระโดดไชโยไปรอบบ้าน ประมาณว่าสติแตก ผมไม่เคยเห็นลูกดีใจอะไรแบบนี้มาก่อนเลย
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมใช้โทรศัพท์กรุงเทพฯ-ขอนแก่นอยู่มากโขเอาการ และทุกครั้งที่โทรไปก็จะได้ยินเสียงลูกสาวพูดประโยคเดิมทุกครั้ง "น้องเน็ตคิดถึงปะป๊ามากสุดสุด" "แล้วน้องเน็ตไม่รักแม่เหรอลูก" เสียงจากแม่น้องเน็ต "รัก" เสียงตอบ "รักเท่าไหร่" แม่ถาม "รักเท่าฟ้าใหญ่" น้องเน็ตตอบ "แล้วปะป๊าหละลูก น้องเน็ตรักเท่าไหร่" แม่เขาซักต่อ "รักเท่าฟ้าหญ่ายยยย..สุดสุดมากเลย" "อ้าว...ทำไมรักปะป๊ามากกว่าหละ" คนนึงอุทานมาตามสาย "ก็ปะป๊าตัวใหญ่กว่าแม่น้อ.." เสียงจากน้องเน็ต คนที่ถือสายฟังที่กรุงเทพฯ "....... ????"
เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงตัวเองตอนอายุ 3-4 ขวบ คงมีไม่กี่เรื่องที่เราสามารถจำความได้ที่อายุขนาดนั้น คุณพ่อผมต้องไปสัมมนาที่ต่างจังหวัดเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ผมและพี่สาวเพียรถามแม่ทุกวันๆว่าเมื่อไรพ่อจะกลับ แม่ก็บอกเหลือเท่านั้นวันเท่านี้วัน จนถึงวันที่คุณพ่อกลับ แม่ก็พาไปรอที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน จำได้ว่าแว่บแรกที่เห็นพ่อ ผมกับพี่สาว ทั้งสองคนปล่อยโฮลั่น ไม่รู้ว่าตัวเองดีใจเพียงไร ผมถึงรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้สองคนพี่น้อง(ซอฟต์กะเน็ต) ดีใจวิ่งกระโดดไปรอบบ้าน
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2548 22:42:44 น. | | 11 comments |
|
เราเพิ่งแวะมาทักทายจ้า