งาน Films Festival ก็เป็นงานที่พวกเขาให้ความสำคัญ และคนจากทั่วประเทศ ก็เดินทางมาร่วมงานกันอย่างคึกคัก โดยงานในครั้งนี้ เป็นการจัดครั้งที่ 20 ในนาม Santa Barbara Films Festival 2005 และบุคคลสำคัญที่เข้าร่วมชมภาพยนตร์ ก็ล้วนแต่สนใจในภาพยนตร์ในเชิง Spiritual Entertainment ทั้งสิ้น
อาทิ สตีเว่น ไซมอน ผู้กำกับหนังเรื่อง What Dreams May come และ Somewhere in Time ซึ่งได้ให้ทัศนะว่า หนังเรื่อง A Walk of Wisdom เป็นเรื่องราวของผู้หญิงที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่ง สร้างได้อย่างงดงาม น่าประทับใจ และมีพลังมาก โดยผู้หญิงที่น่าทึ่งชื่อ วิกตอเรีย ฮอล์ท
ไม่ต่างจากทัศนะของ ลินดา เกรย์ นักแสดงหญิง และทูตสหประชาชาติ ที่ว่า วิกตอเรีย ฮอล์ทได้นำหัวใจและจิตใจของชีวิตที่งดงามของเทวดาออกมานำเสนอ เป็นหนังเกี่ยวกับผู้หญิงที่โดดเด่นมาก ในการเป็นผู้นำที่เป็นแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตของเราทุกคน เรื่อง A Walk of Wisdom เป็นการนำเสนอที่สมบูรณ์มาก เต็มไปด้วยการถ่อมตัว และตื้นตันที่คุณอดไม่ได้ที่จะชื่นชมและเดินตามผู้หญิงที่ไม่ธรรมดาคนนี้ ในทุกย่างก้าวที่สงบและสง่างามของเธอ
และ แอเรียส ฟอร์ด ผู้จัดการสื่อสารมวลชน ซึ่งวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยรอยยิ้มว่า เรื่อง A Walk of Wisdom เป็นหนังที่งดงามซึ่งจะพา และนำคุณไปสัมผัสกับโลกแห่งความรัก และความเมตตาของนักบวชชื่อแม่ชีศันสนีย์ เสียงหัวเราะของแม่ชีศันสนีย์ ที่ทำให้คุณจะอดไม่ได้ที่จะหัวเราะตาม ความอบอุ่นของท่านจะกระโดดจากจอเข้าไป อยู่ในหัวใจของคุณ
ภาพยนตร์สารคดีที่ถูกส่งเข้าประกวดในครั้งนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 150 เรื่อง โดยผ่านการคัดเลือกรอบแรก 90 เรื่อง และรอบสุดท้ายเหลือเพียง 10 เรื่อง ....A Walk of Wisdom คือ 1 ใน 10 เรื่องนั้น และเป็นเรื่องที่ถูกคาดหมายว่าจะได้รับรางวัล
A Walk of Wisdom เป็นภาพยนตร์สารคดีชีวิต ที่บรรจุเรื่องราวของความรัก ความเมตตา และการให้อภัยไว้เต็มเปี่ยม ผ่านการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายของนักบวชในพุทธศาสนา ทำให้คนอเมริกันเข้าใจคำสอนในพระพุทธศาสนา โดยการมองผ่านชีวิตของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง เรียกได้ว่า เขาสามารถเข้าใจธรรมะในการสื่อสาร ผ่านการชม A Walk of Wisdom สิ่งที่เกิดขึ้นนี้กำลังยืนยันหรือไม่ว่า คนในสังคมกำลังต้องการการเรียนรู้ชีวิต ที่จะเข้าใจโอกาสที่ตัวเองได้รับ และการให้ความรู้เรื่องชีวิตผ่านภาพยนตร์นั้นเป็น Spiritual Entertainment ที่ทำให้คนเข้าถึงธรรมในวิถีชีวิตประจำวัน ได้อย่างง่ายดายขึ้น
# 41
คำถาม เวลาที่ท่านพูดว่า ท่านศึกษากับครูอาจารย์ ผมสงสัยว่าก่อนที่ท่านจะบวช ท่านมีงานต้องทำมากมาย แล้วเมื่อท่านเป็นแม่ชี ท่านต้องติดต่อกับผู้คนมากมาย ซึ่งการติดต่อกับผู้คนของท่าน ในสองลักษณะนี้ไม่เหมือนกันแน่นอน ในจุดนี้ท่านต้องเรียนรู้ไหมว่า จะต้องทำอย่างไรกับการทำงานที่ต่างลักษณะกัน
ท่านแม่ชี คุณเก่งมากที่ถามคำถามนี้ เพราะมันเป็นความจริง สมัยก่อนที่เราจะบวช เวลาที่เราติดต่อกับคน เราจะมองว่าเขาคือเหยื่อ เราต้องการได้อะไรจากเขา และเราก็จะทำทุกอย่างเพื่อที่จะทำให้เขาทำให้เรา แต่หลังจากที่เราบวชมา 7 ปี เราก็จะมาพบสติปัญญาว่า คนทุกคนที่อยู่ข้างหน้าเรา เป็นคนพิเศษสำหรับเรา เราจะไม่ทำให้คนข้างหน้าเรา เจ็บปวดเพราะเรา ความสุขในการที่เราได้ทำให้คนที่อยู่ข้างหน้าเราเป็นสุข เพราะเราไม่ทำให้เขาเจ็บปวด มันกลายเป็นทำให้เราได้ แต่มันเป็นการได้ โดยที่เขาไม่ได้เป็นเหยื่อเรา
# 42
คำถาม จากที่ท่านบอกว่าท่านมองคนข้างหน้าเปลี่ยนไป คำถามต่อมาก็คือ แล้วคนข้างหน้าท่าน เขามองท่านเปลี่ยนไปหรือไม่ จากการที่ท่านเปลี่ยนจากชีวิตนางแบบมาเป็นแม่ชี
ท่านแม่ชี แค่เป็นแม่ชีเขาก็เปลี่ยนแล้ว ตอนแรกเขาก็มองอย่างสงสัยว่า เราจะบวชนานไหม เราจะบวชเพื่อหนีอะไรหรือไม่ ก็แล้วแต่เขา แต่ทุกวันนี้เขามองเราเปลี่ยนไป เขามองเราด้วยสายตาที่ไม่ได้มองเราว่า เราสวย แต่เขามองเราด้วยหัวใจที่ศรัทธา และการที่เราทำงานอย่างนี้ มันงดงามอยู่ภายใน มันเกิดขึ้นเพราะการที่ต้องหยุดและทบทวน เพื่อสละนิสัยที่ไม่ดีต่าง ๆ ออกไป ทุกวันนี้เราก็รู้ว่าเราเป็นแรงบันดาลใจของผู้หญิงหลายคน ที่อยากจะมีชีวิตที่งดงามอย่างที่เรากำลังทำอยู่
018
# 43
คำถาม ในงานที่ท่านทำอยู่ประจำ ในฐานะที่เป็นงานทางจิตวิญญาณ ท่านคิดว่าท่านมีส่วนที่ได้เข้าไปสัมผัส หรือเข้าไปมีส่วนในการเป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณ ให้คนประมาณสักเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นคนที่เดินเข้ามาที่นี่ หรือคนที่อยู่ในชุมชนนี้ก็ตาม
ท่านแม่ชี สักกี่คน มันนับเป็นคนไม่ได้หรอกค่ะ แต่ว่าถ้าถามว่า ทำทุกวันไหม เราทำทุกวัน แล้วใครก็ตามที่อยู่ข้างหน้า ก็เป็นครูที่ยิ่งใหญ่ของเราทั้งสิ้น ที่จะสอนให้เรารู้ว่า เรารักษาจิตของเราให้ทรงไว้ซึ่งความเป็นปกติได้ไหม เพราะฉะนั้นการที่มีคนคิดว่า เรากำลังช่วยคนอื่น เรากลับคิดว่าคนอื่นกำลังเป็นครูของเรา ทำให้เราเก่งกาจและวัดใจของเราว่า เราผ่านไหม ธรรมะศักดิ์สิทธิ์ไหม การใช้ชีวิตของเรานั้น ตัวเราเล็กลงและงานของเราใหญ่ขึ้นจริงหรือไม่ เพราะฉะนั้นถ้าถามเป็นปริมาณ เราตอบยาก แต่ถ้าถามว่าเป็นความสุขไหม ก็เป็นความสุขอย่างมาก
# 44
คำถาม ถ้ามีคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากท่าน ท่านเริ่มต้นการให้ ตรงนั้นอย่างไรครับ
ท่านแม่ชี เราจะมองคนข้างหน้าอย่างคนที่เป็นเพื่อน เรียนรู้ด้วยกัน เหมือนเป็นพี่น้องกัน เหมือนเราอยู่ตรงหน้าคุณ คุณก็คือพี่น้องของเรา สิ่งหนึ่งที่ต้องทำ ก็คือ เราจะต้องเคารพหัวใจของเราเอง ที่จะไม่ขุ่นมัวกับคนข้างหน้า เพราะนั่นคือโอกาสที่คนข้างหน้าให้เรา คุณเป็นคนพิเศษ เราจะไม่ขุ่นมัว และถ้าหากเราสามารถที่จะใช้ชีวิตเรียนรู้กับคุณ ที่จะทำให้คุณไม่ขุ่นมัว หรือถ้าหากคุณกำลังมีความทุกข์ และเราเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ และทำให้คุณได้มองชีวิตลึก ๆ ด้านในแล้วเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ เราคิดว่าการพบกันของเรา 2 คน ไม่ได้พบกันครั้งแรก ไม่มีใครที่พบกันครั้งแรก แต่เป็นการได้พบกันนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งเราอาจจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่ก็ทำให้การพบกันคราวนี้ ได้เดินทางอย่างคนที่จะเป็นอิสระจากความทุกข์ร่วมกัน มันจึงพิเศษมากจริง ๆ สำหรับเรา ในเวลาที่เราจะทำงานกับใครสักคนที่อยู่ข้างหน้า และเราจะถอดความรู้สึกอคติหรือเพ่งโทษได้ง่ายมากถ้าหากเรามีสัจจะอย่างนั้น
# 45
คำถาม คำถามนี้จะขยายคำถามที่ถามมาเมื่อสักครู่นี้ ยกตัวอย่างว่า ถ้าคนมีความทุกข์เดินเข้ามา ท่านจะเริ่มอย่างไร เช่นท่านเชิญเขามานั่งตรงหน้าท่าน ชวนเขาคุย หรือว่าปฏิบัติกับเขาหรือทำอย่างไร และท่านทำเช่นนี้กับทุกคนที่เข้ามาเหมือนกันหมด หรือว่าแตกต่างกันเป็นกรณี ๆ ไป
ท่านแม่ชี มีคนที่อยู่ข้างหน้าเราหลายคนบอกว่า เราชอบรู้ใจคนที่อยู่ข้างหน้า แต่จริง ๆ แล้วเรารู้ใจเรา เราจึงเข้าใจคนข้างหน้า เพราะฉะนั้นเราจะดูแต่ละคน คนที่เข้ามาล้วนมีลักษณะที่ต่างกัน มีความเฉพาะตัวที่ต่างกัน เราจึงใช้หลากหลายวิธีมากกับคนข้างหน้า บางคนเราก็เดินเล่นด้วย บางคนเราก็นั่งคุยด้วย บางคนเราก็ใช้วิธีการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมโดยการทำงานร่วมกัน เราใช้หลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับคนข้างหน้ามีจริตอย่างไร แต่อย่าลืมว่า ทุกวิธีต้องทำด้วยความเข้าใจคนข้างหน้า
019