แม่ชีศันสนีย์



แม่ชีศันสนีย์




เรื่องนี้ยาวหน่อย ..หากอ่านไม่จบ ก็ไม่เป็นไรนะครับ
ลองเลือกอ่านเฉพาะข้อความที่เพื่อนๆชอบ ..หรือจะเซฟไว้อ่านวันหลังก็ได้






คำแม่ชีสอน


ที่จริง อยากจะเรียก”คำแม่ชีสอน” ว่า “คำแม่สอน” มากกว่า ..เพราะแม่ชีศันสนีย์ มีน้ำคำ มีกิริยา และมีน้ำใจ เพียบพร้อมกับการถูกเรียกขานว่า .. “แม่” มาก แต่ที่ไม่อาจจะเรียกเช่นนั้นได้ เพราะเกรงจะเป็นการลบหลู่ผู้ทรงศีล ดูจะเป็นการอุกอาจไป ..คล้ายกับที่ไม่กล้าเรียก "คำพระสอน" ว่า "คำพ่อสอน" นะครับ


“คำแม่ชีสอน” เป็นธรรมะที่เข้าใจได้ง่าย ภาษาสละสลวย บอกถึงความใจดี ความใจเย็น และความรู้แจ้งของผู้สอนต่อความทุกข์ของมนุษย์ และมีคุณค่าเพียงพอที่ทุกคนไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด จะมีภูมิลำเนาอยู่ที่ไหน ควรจะได้คิดพิจารณาและนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน




002



# 01

“ทุกคนพยายามดิ้นรนเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่ว่าจะได้สิ่งนั้นหรือไม่ ได้มากหรือน้อย คนก็ยังต้องการที่จะได้สิ่งนั้นมากขึ้นไปอีก มันไม่มีความพอในสิ่งนั้น …แต่ความสุขที่ได้จากการเห็นแก่ตัวเอง มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง และแม้ว่าเรามีสิ่งนั้นเพียงนิดเดียว ถ้าเราแบ่งปันสิ่งนั้นให้กับคนอื่น เราจะทำให้คนอื่นนั้นมีความสุข สายตาที่เขามีความสุขนั้น จะทำให้เรามีความสุขด้วย และนี่คือความสุขที่แท้จริง ถึงแม้ว่ามันจะเล็กน้อยนิดเดียวก็ตาม” ....ธรรมสวัสดี



# 02

“พระพุทธเจ้าตรัสว่า....เรารู้หลาย ๆ อย่างก็เหมือนกับ เราไม่รู้อะไรเลย แต่ถ้าเรารู้เพียงอย่างเดียว เราจะรู้ทั้งหมด…..นั่นหมายความว่า ถ้าเรามีความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ในแต่ละอย่างของทางโลก จะทำให้เราเกิดความกังวล แล้วความรู้เหล่านี้ก็เป็นเหมือนกับ อวิชชา เพราะเรารู้ในสิ่งที่อยู่ในระดับพื้นผิว เราไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมาจากไหน ก็เหมือนกับเราไม่รู้อะไรเลย .....แต่ถ้าเรารู้เพียงสิ่งเดียว คือ รู้ใจ รู้สภาวะของความเป็นจริงที่ขึ้นอยู่กับใจเรา สิ่งนั้นจะทำให้ เรารู้ทั้งหมด แล้ววิธีที่จะศึกษาให้ได้รู้จริงในเรื่องจิตใจ ก็มีวิธีเดียว คือ การภาวนา...” ....ธรรมสวัสดี



# 03

“การภาวนา จะทำให้เราเห็นสภาวะจิตใจที่แท้จริงเป็นอย่างไร ซึ่งเราก็จะรู้ว่า มันไม่มีตัวตนอยู่ในนั้น ....เมื่อเรารู้จริงๆแล้วว่า เราไม่มีตัวตน จิตใจไม่ได้เป็นตัวตนอะไร มันก็จะเหมือนกับว่า เราเปลี่ยนความคิดของเรา จากสิ่งที่มีตัวตน เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน แล้วสิ่งที่ไม่มีตัวตนนั้น ก็คือธรรมชาติที่อยู่รอบตัวเรา .....และเราก็จะเห็นความสวยงามของธรรมชาติที่เป็นอยู่ และนั่นคือ ความเมตตา กรุณา ....การที่เราสามารถทนได้ต่อสิ่งต่างๆได้นั้นก็เพื่อความเมตตา กรุณา และหนทางที่เราจะปฏิบัติกันได้ดีนั้น ก็คือการที่เราแบ่งปันในสิ่งที่เรามี ในเรื่องของความเมตตา กรุณา ซึ่งกันและกันนั่นเอง” ....ธรรมสวัสดี



# 04

“วิธีปฏิบัติในการเจริญเมตตา กรุณา ก็คือเรามองว่า ทุกสิ่งที่มีชีวิต เป็นเหมือนกับพ่อแม่ของเรา ที่เขาควรจะได้รับในสิ่งที่พ่อแม่ของเราหรือเราเองควรจะได้รับ และด้วยวิธีนี้จะทำให้ เรามีความรักและเมตตาต่อทุกสรรพสิ่ง ไม่ใช่แค่เพียงกับคนที่เรารู้สึกใกล้ตัวหรือว่าคนที่เรารู้สึกผูกพันเท่านั้น แต่ความรักและความเมตตา จะแผ่กระจายไปกับทุกสรรพสิ่งที่อยู่รอบข้างเราด้วย และด้วยวิธีการนี้ ก็เป็นเหมือนกับการแลกเปลี่ยนความคิด แลกเปลี่ยนความรู้สึกระหว่างเรากับสรรพสิ่งรอบข้าง ไม่ว่าเราจะเรียกในสิ่งที่ดี ๆทั้งหลายว่าเป็นความสุขหรืออะไร เราก็ไม่เพียงจะเอามาให้กับตัวเองเท่านั้น แต่เราจะแบ่งปันสิ่งเหล่านี้ให้กับคนรอบ ๆ ข้างด้วย” ....ธรรมสวัสดี



003



# 05

“การยิ้มอย่างอ่อนโยนเป็นอีกหนึ่งวิธีการ ที่ทำให้วิถีชีวิตของเราผ่อนคลายขึ้น เวลาที่เรายิ้ม เราจะเห็นว่ากล้ามเนื้อบนใบหน้าของเราผ่อนคลาย จิตใจของเราเบิกบาน การฝึกที่จะกลับมาดำรงชีวิตอย่างคนที่อ่อนโยนและผ่อนคลายไปกับรอยยิ้มนั้น จะทำให้คนอื่นมีความสุขด้วย สันติสุขในใจของเรามาจากความเข้าใจในการใช้ชีวิตของเราที่ชัดเจนขึ้น เราจะไม่เก็บงำความโกรธ หรือความเกลียดชังหรือความพยาบาทเอาไว้ เมื่อเราเห็นว่าชีวิตของเรากำลังเร่าร้อนไปด้วยความโกรธ เราควรจะยิ้มให้กับความโกรธและจัดการกับความโกรธนั้นให้ระงับไปพร้อมกับลมหายใจที่มีสติของเรา การปฏิบัติการอย่างคนที่รู้จักคิดและคมในการใช้ชีวิต เป็นปัญญาอย่างหนึ่ง ปัญญาคือการจัดการให้ชีวิตของเราไม่ทำเหตุด้วยความประมาท เราเห็นว่าการฝึกยิ้มในแต่ละวันอย่างอ่อนโยนกับความไม่ประมาทการในการใช้ชีวิตของเราเพราะมีสติปัญญา เป็นเรื่องเดียวกัน จงมีความสุขกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนและผ่อนคลาย และตั้งมั่นไม่หวั่นไหวกับการที่จะใช้ชีวิตอย่างไม่ทุกข์ให้ได้” ....ธรรมสวัสดี



# 06

“คำสอนของพระพุทธเจ้านั้นหลากหลาย มีทั้งเรียบง่ายและซับซ้อน แต่สิ่งที่เป็นแก่นแท้ก็คือ ความรักและความกรุณา จุดหมายของนักปฏิบัติธรรมก็คือ การเอาชนะสิ่งที่เรายึดติดให้ได้ ซึ่งการจะเอาชนะในสิ่งที่ยึดติดให้ได้นั้น เราจะต้องฝึกในเรื่องของการเจริญเมตตา และกรุณา เพราะเป็นการเน้นในเรื่องของการให้ความสำคัญต่อผู้อื่น มากกว่าการให้ความสำคัญกับตัวเอง” ....ธรรมสวัสดี



004



# 07

“เมื่อเราได้รับความสงบที่นี่และเดี๋ยวนี้ เราจะพบว่า การมีอริยทรัพย์ก็คือการสติปัญญาที่เท่าทันปัจจุบันขณะ และปล่อยวางมันได้ ...ความสงบอย่างนี้เกิดขึ้นได้ เพราะเรารู้เท่าทันต้นตอของเรื่อง เป็นความสงบเพราะมีปัญญา ความชื่นบานเพราะความทุกข์ตามมาไม่ถึง ..นั่นจึงเป็นปัจจุบันขณะที่ทันสมัยที่สุด ...เวลาที่เรามีชีวิตอย่างคนที่สงบชื่นบาน เราจะร่าเริง ว่องไว รู้ตื่นกับการทำหน้าที่ ความตื่นตัวทั่วพร้อมที่จะทำให้เกิดกำลังของจิต ที่เรียกว่าสมาธิ เวลาที่เรามีความแข็งแรงตั้งมั่นไม่หวั่นไหว เราจะเห็นว่า เราจะไม่กลัวอะไรเลย ในความกลัวที่เราระแวงและมีชีวิตอย่างคนที่ไม่กล้าหาญนั้น มันมาจากความประมาทของเรานั่นเอง แต่เวลาที่เราไม่กลัว เพราะว่าเราไม่มีความประมาทนั้น นั่นแสดงว่าการทำหน้าที่ของเราได้สมบูรณ์แล้ว” ....ธรรมสวัสดี



# 08

“ท่านลองมองดูธรรมชาติรายรอบตัวท่าน เขากำลังสอนให้ท่านเห็นถึงความไม่เที่ยง นั่นเป็นการเตือนให้เราใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทขาดสติ ที่นี่และเดี๋ยวนี้คือ การเรียนรู้ของเราที่จะดำรงอยู่อย่างมั่นคงที่สุด ทันสมัยที่สุด เบิกบานอยู่กับความทันสมัยอย่างนี้ แล้วท่านจะเป็นอิสระอย่างแท้จริง แล้วหน้าที่การงานของท่านก็จะเป็นประโยชน์อย่างกว้างขวาง เพราะความสงบเย็นนั้นมาจากความยึดมั่นถือมั่น เป็นความสงบของปัญญา ขอให้ท่านมีความสุขเพราะมีปัญญา” ....ธรรมสวัสดี



# 09

“ทุกวันเมื่อเราตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เราจะมีเวลาทั้งวันเพื่อการฝึกฝนชีวิตของเราให้มีความสงบเย็น เราจะรู้ว่าดอกไม้ที่กำลังร่วงหล่นอยู่ กำลังบอกเราถึงความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ เวลาที่เรามีความสุขอยู่กับความรู้ตื่นและเบิกบานในการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาตินั้น จะทำให้เรามีชีวิตอยู่ที่นี่ตรงนี้ อย่างคนที่มีคุณค่าที่สุด เวลาที่เราตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เราอาจจะกลับมาอยู่กับลมหายใจของเรา เข้า... ออก อย่างอ่อนโยนสักสองสามครั้ง จากนั้นเราจะมองไปยังสรรพสิ่งทั้งหลาย อย่างคนที่รู้ว่าสิ่งที่กำลังเห็นนั้น มันเป็นมายา เราอยู่ในโลกของมายา เวลาที่เรารู้ว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลง เราจะไม่เอาจริงเอาจังกับสรรพสิ่งทั้งหลายที่กำลังเกิดขึ้น แต่เราจะเรียนรู้กับมัน เติบโตไปกับมัน ถ้าพรุ่งนี้ ไม่มีเรา เราก็ไม่เสียใจ เราต้องร่วงโรยเหมือนดั่งดอกไม้ที่กำลังร่วงโรย แต่เราจะเห็นว่าในความร่วงโรยนั้น ก็จะมีความงดงามอยู่ด้วย ขอให้ท่านงดงามอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง” ....ธรรมสวัสดี



005



# 10

”เมื่อลมพัดอ่อนๆมากระทบกายของเรา เราจะรู้สึกเย็น เรารู้สึกได้ถึงความเย็นโดยไม่ผ่านความคิด เวลาที่เราปฏิบัติภาวนาก็เหมือนกัน เราจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของการติดตามลมหายใจ โดยไม่ผ่านการคิด เมื่อหายใจเข้าและออกนั้นเป็นกระบวนการของการปฏิบัติที่ไม่ผ่านความคิด เมื่อเรามีปัจจุบันขณะที่ติดตามลมหายใจเข้าออก อย่างอ่อนโยนและผ่อนคลาย เราจะเห็นว่าชีวิตของเรามีความสงบเย็น ความเย็นในมิติของการปฏิบัติอย่างนี้ เป็นความเย็นที่มาจากความสงบ เมื่อเราเห็นว่าชีวิตของเรามีความสุขกับความสงบ นั่นเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งของการปฏิบัติเท่านั้น ยังไม่ใช่ที่สุดของการปฏิบัติ เราจะต้องยกความสงบนั้นมาพิจารณาความไม่เที่ยงทั้งหลาย ที่ปรากฏขึ้นในชีวิตของเรา จะเห็นว่าอารมณ์ต่าง ๆที่ปรากฏขึ้นนั้นก็ไม่เที่ยง ความเบื่อ ความเหงา ความเศร้า ความรัก ความยินดีและความไม่ยินดีทั้งหลาย ก็อยู่ในกระแสแห่งความไม่เที่ยงทั้งสิ้น” ....ธรรมสวัสดี



# 11

“ถ้าเราสามารถที่จะเปิดใจของเราให้กว้างและเรียนรู้กับสิ่งที่จะเกิดขึ้น แล้วทำความเข้าใจกับสิ่งนั้นอย่างคนที่ไม่ทุกข์กับมัน นั่นแสดงว่าเรากำลังปฏิบัติการในขั้นของปัญญา ปัญญาก็คือการจัดการที่จะเรียนรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วก็ใช้สิ่งนั้นให้เป็นประโยชน์ ในการที่จะรักษาความเบิกบานในจิตใจของเราเอาไว้ สิ่งเหล่านี้จะเป็นดั่งร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับชีวิตของเรา ความเบิกบานเป็นของจริงที่มีอยู่แล้วในใจของเรา เราควรจะรักษาแล้วก็หล่อเลี้ยงเมล็ดพันธ์แห่งปัญญาอย่างนี้ไว้ ให้ต่อเนื่องในทุก ๆการกระทำ การเรียนรู้ก็เหมือนกับหินลับมีด ที่จะทำให้เราคมขึ้น การที่เราได้เรียนรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นข้างหน้า แล้วเราคมขึ้นนั้น แสดงว่าเราใช้มันเป็น จงฝึกฝนที่จะมีตัวเองหนักแน่นมั่นคง หยั่งรากแห่งสติปัญญาในชีวิต ให้มีชีวิตที่คมขึ้น ตัดลงไปในกระแสแห่งโซ่ตรวนแห่งความยึดมั่นถือมั่น เราจะเห็นว่าปัญญาก็คือคมมีดที่ตัดลงไปในอาศวะต่าง ๆ กิเลสก็จะไม่ตามเข้ามาในชีวิตของเราได้อีก” ....ธรรมสวัสดี



# 12

“บ่อยครั้งที่เรามักจะโกรธแค้นบุคคลอันเป็นที่รักของเรา เรารักเค้ามากเท่าไร เวลาที่เราโกรธเขา เราก็มักจะโกรธรุนแรงมากเท่านั้น จะเห็นว่าความโกรธกับความรักจะอยู่ใกล้กันมากเลย เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะเราเข้าไปยึดมั่นถือมั่น บุคคลที่เรารักว่าเป็นของของเรา เราต้องการจะให้เค้าเป็นดั่งใจเรา เวลาที่เราเข้าไปเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอะไรก็ตาม เรามักอยากจะมีอำนาจของเรา ที่อยากจะเปลี่ยนแปลงเขา สิ่งนี้เป็นอันตราย ...เวลาที่เราเห็นความตายก็คือเป้าหมายสุดท้ายของชีวิตที่เราจะกล้าหาญที่สุดที่เราจะคืนชีวิตสู่ธรรมชาติ เราควรจะเดินทางไปกับบุคคลที่เรารัก อย่างคนที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เกื้อกูลกัน และให้อภัยกัน” ....ธรรมสวัสดี



006



# 13

“เมื่อเราเห็นความตายเข้ามาเยือน โดยเฉพาะความตายกับคนที่เรารัก เราจะเริ่มทบทวนตัวเราว่า เราไม่ควรจะตำหนิติเตียนหรือเพ่งโทษกัน เราจะเห็นว่าเวลาที่เราใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันนั้นมันมีค่าเหลือเกิน ในการใช้ชีวิตแต่ละขณะ ความตายเป็นที่สุดรอบของชีวิตที่มนุษย์สุดจะเลี่ยง เราควรจะคำนึงอยู่เสมอว่า ขณะนี้เราได้ใช้ชีวิตอย่างถูกต้องกับบุคคลที่เรารักแล้วหรือยัง เราเอาใจใส่และดูแลเธอ บุคคลที่เป็นที่รักนั้น อย่างคนที่เป็นหนึ่งเดียวกับเธอแล้วหรือยัง เราเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กับเธอแล้วหรือยัง อย่ามัวตำหนิติเตือนกันอยู่เลย” ....ธรรมสวัสดี



# 14

“เมื่อเรามีความสุขอย่างเรียบง่ายเป็นธรรมชาติมากขึ้น ชีวิตของเราก็จะเป็นอิสระจากวัตถุ เราจะเห็นว่าเราจะพึ่งตัวเองได้อย่างแท้จริง การรู้จักพึ่งพิงตัวเราเองได้อย่างนี้ เราจะมีความกล้าหาญมากขึ้น เราจะเป็นบุคคลที่มีความสุขได้ในทุก ๆ ที่ ในทุก ๆ การกระทำ โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมภายนอก หรือวัตถุภายนอกที่จะให้ความสะดวกสบายแก่เรา แต่เราจะรู้ว่าสิ่งแวดล้อมภายนอก จะเกื้อกูลให้เรามีสติปัญญาที่จะใช้มัน เพื่อชีวิตของเราจะได้เป็นประโยชน์ .... การฝึกหายใจอย่างมีสติจะส่งผลอย่างมหาศาลต่อชีวิตของเราในวิถีแห่งการดำรงอยู่ เราจะเห็นว่าการพึ่งตัวเองนั้น เป็นโอกาสที่เราได้เกิดมา แล้วเราควรจะไปให้ถึง มีความสุขที่เป็นอิสระที่จะได้ทำหน้าที่ของเรา อย่างคนที่เป็นอิสระจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง มีชีวิตอย่างคนที่ตระหนักรู้เท่าทันว่า สิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร ปัญญาคือการจัดการ ถ้าเราสามารถจัดการให้ชีวิตของเรา มีความสุขได้ในทุก ๆ การกระทำ เราจะเห็นว่าชีวิตของเราจะเบิกบานเพราะความทุกข์ตามมาไม่ถึง ขอให้ท่านมีความสุขกับการที่จะเบิกบาน เพราะความทุกข์ตามมาไม่ถึง เป็นความทันสมัยอย่างแท้จริง” ....ธรรมสวัสดี



007



# 15

“ธรรมชาติสอนอะไร ธรรมชาติสอนให้เราเห็นถึงความไม่เที่ยงอยู่ตลอดเวลา เพราะมีดอกไม้บาน มีดอกไม้ร่วง มันจึงเกิดความสวยงามของธรรมชาติอย่างที่เราเห็นอยู่ในขณะนี้ ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง เราก็อาจจะไม่เห็นความสวยงามอย่างนี้ เพราะการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ธรรมชาติกำลังสอนให้เรารู้ว่า เราควรจะแกะโซ่ตรวนแห่งความยึดมั่นถือมั่นในทุก ๆ การกระทำของเรา ในทุก ๆสิ่งที่เรากำลังยึดถืออยู่ และถ้าเราเห็นว่าสิ่งที่เรายึดถืออยู่นั้น มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ เราควรจะหน่ายออกมา การฝึกหายใจอย่างมีสติจะทำให้ เราเห็นว่าการมองสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราหน่ายออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น จะไม่ผ่านกระบวนการคิด แต่จะเป็นการพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง ทนอยู่ได้ยาก แล้วก็จบลง ธรรมชาติเหล่านี้กำลังสอนให้เราได้เห็นถึงความเป็นจริงอย่างนั้น และเราควรจะกลับไปสู่ความเป็นธรรมชาติภายในตัวตนของเรา เราจะเห็นว่าสภาวะจิตที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน ถ้าเราไปถึงภาวะของ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานได้ เราจะเห็นว่าทุกๆ การกระทำนั้น เป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้เราละ หยุด ทำให้เราจางคลาย จากการยึดมั่นถือมั่น ขอให้มีความสุขจากการเฝ้าสังเกตและมีชีวิตที่จางคลายจากความยึดมั่นถือมั่น และพบกับความสุขที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง” ....ธรรมสวัสดี






วอนแม่ชีช่วยแนะนำทางออก



แม่ชีศันสนีย์ นอกจากจะช่วยเหลือสตรี วัยรุ่น เด็ก และบุคคลทั่วไป โดยไม่เกี่ยงเพศ วัย ศาสนา การแต่งกาย และอารมณ์


008




ทั้งที่เป็นโครงการที่เห็นชัดแจ้ง เช่น แสดงธรรมและสนทนาตอบปัญหาธรรม ที่เสถียรธรรมสถาน เขียนคำสอนลงในหนังสือ สาวิกา, พูดในรายการวิทยุ สาวิกา, โครงการบ้านสายสัมพันธ์, โครงการเยี่ยมผู้ต้องขังหญิงมีครรภ์, จัดตั้งกองทุนแจกของส่องตะเกียง, รวมทั้งเป็นวิทยากรรับเชิญ ถูกสัมภาษณ์ในนิตยสาร ได้รับเชิญออกรายการโทรทัศน์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศแล้ว ...แม่ชีศันสนีย์ยังช่วยตอบปัญหาคลายทุกข์ ให้กับผู้ที่เขียนมาถามในเว๊บธรรมะอื่น ด้วย เพื่อมุ่งจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
ด้วยทุกกำลังและทุกเวลาที่มีอยู่




009



# 16

ถาม : ทำอย่างไรที่จะให้คนที่อยู่รอบ ๆ ตัว สนใจธรรมะอย่างง่าย ๆ เพื่อคนจะได้เป็นทุกข์น้อยลง และมีการสนทนาธรรมะมากขึ้น

ตอบ : วิธีการเผยแพร่ธรรมะที่ดีก็คือ เราต้องปฏิบัติให้เค้าดู แล้วมีความสุขให้เค้าเห็น ถ้าเราคิดว่าอะไรที่มันไม่ควรแล้ว มันผิดศีลผิดธรรมแล้ว เราก็ไม่ทำ แล้วก็มีความสุขอยู่ในการที่ไม่ทำนั้น การปฏิบัติที่ดูมีความสุขให้เห็น เป็นการสอนธรรมะที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด



# 17

ถาม : เจ็บป่วยบ่อยๆ เป็นเพราะกรรมเก่าหรือเปล่าคะ แล้วมีวิธีการแก้กรรมอย่างไร เคยป่วยหนักแบบเดินไม่ได้ แล้วคุณแม่ไปบนเอาไว้ว่า ถ้าลูกหายจากโรคนี้แล้ว จะแก้บนด้วยการบวชชี 7 วันแต่ไม่ได้ระบุช่วงเวลา และไม่ได้ระบุว่าใครจะบวชชี แต่ดิฉันคิดจะบวชเอง แต่จนบัดนี้ 2 ปีมาแล้ว ถ้าปล่อยเวลาให้นานไป จะเป็นอย่างไรหรือเปล่าคะ (ไม่ได้จะไม่แก้บนนะคะ แต่ยังติดงานอยู่ แต่จะบวชแน่นอน) รบกวนถามแค่นี้ค่ะ

ตอบ : ถ้าคุณรู้สึกว่าไม่สบายใจ กับสิ่งที่คุณไปสัญญาเอาไว้ ก็ควรจะหาโอกาสที่จะทำเสีย เรื่องนี้ก็จะได้ไม่ต้องมาติดค้างหัวใจคุณ



# 18

ถาม : ถ้าวันหนึ่งหนูอยากจะตัดวงจรชีวิตจากทางโลก เพื่อศึกษาพระธรรม แต่พ่อแม่ไม่เห็นด้วย แบบนี้หนูจะบาปไหมคะ

ตอบ : เราก็ใช้วิธีการปฏิบัติธรรมในบทบาทที่เรายังเป็นลูกอยู่ ดีไหม เพื่อให้พ่อแม่ได้เห็นว่า เรามีความสุขได้ กับการมีธรรมะที่จิตวิญญาณของเรา จนกระทั่งวันหนึ่ง เราไม่มีภาระหน้าที่อะไรแล้ว ถ้าเราอยากจะออกมาถือเพศพรหมจรรย์ มันก็ไม่ต้องมาเริ่มต้นใหม่ เพราะเราได้เริ่มมาตั้งแต่ต้นแล้ว การออกบวช ก็คือการรักษาใจของเราให้ออกจากความคับแคบของความคิดแบบชาวบ้าน อันนั้นเป็นเรื่องที่หนูทำได้เลย แล้วพ่อแม่ก็จะอนุโมทนาด้วย



# 19

ถาม : ทุกวันนี้ ดีใจที่ได้มีโอกาสดี ๆ อยู่ดูแลคุณยายที่เลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เกิด รู้สึกดีมากและยินดีที่สุดทุกครั้งที่ได้ทำอะไรๆ ให้คุณยาย ไม่ว่าจะอาบน้ำ ตัดเล็บ ป้อนข้าว ป้อนขนม พูดคุยเล่น ห่มผ้าให้เมื่อตอนนอน ฯลฯ เหมือนๆที่คุณยายเคยทำให้เรามาเมื่อเรายังเด็ก ๆ ได้เห็นคุณยายยิ้ม หัวเราะกับเรา กับสัตว์เลี้ยง นั่นหมายถึงความสุขของเรา คิดเสมอว่า จะทำให้คุณยายเป็นคนที่โชคดีคนหนึ่งที่มีหลานที่เลี้ยงมา คอยอยู่ดูแลใส่ใจในบั้นปลายชีวิต แต่ในใจลึกๆ เราเองเต็มไปด้วยความกลัว กลัวว่า วันหนึ่งคุณยายจะจากไป แล้วเราจะทำยังไง จะรับความจริงข้อนี้ได้มั้ย ทั้งๆ ที่รู้ว่า คือธรรมชาติ แล้วควรทำยังไงดีคะ ...ขอบคุณในคำแนะนำล่วงหน้าค่ะ

ตอบ : ที่จริงเราได้การตายมาพร้อมๆกับการเกิด ไม่มีการเกิดที่ไม่มีการตายเป็น package เดียวกัน เพราะฉะนั้นการที่เรารู้ว่า ที่สุดยอดของชีวิตก็คือ การตายอย่างคนที่ไม่กลัวตาย นั่นก็หมายความว่า เราต้องใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์และเต็มที่แล้ว ขอให้ใช้ชีวิตที่เหลือของคุณ กับคุณยายอย่างมีความสุขที่สุด คุณจะไม่เสียดายวันเวลาที่มีคุณยายอยู่ ถ้าถึงวันหนึ่งที่คุณยายเดินจากไป คุณก็จะไม่โทษตัวเองเลย มาชวนกันเป็นคนที่มีความสงบเย็นกับคุณยายเถิด ถือเป็นการช่วยคุณยายมีชีวิตที่ไม่ฝืนไว้ แล้วนั่นก็เป็นการใช้ชีวิตอย่างเป็นอภิชาตบุตรด้วย



010



# 20

ถาม : ถ้าเกิดว่าเราเป็นคนโกรธง่าย จะทำอย่างไรให้หายง่ายเหมือนตอนโกรธดีคะ หรือหายขาดไปเลยก็ดี

ตอบ : ถ้าเราเห็นทันความโกรธ แล้วเราคิดว่า ความโกรธทำให้เราไม่งดงาม ความโกรธทำให้เราน่าเกลียด เราก็จะเริ่มเห็นโทษของการถูกโกรธ แล้วในที่สุดเราก็จะเป็นอิสระจากการโกรธ ความโกรธมาแล้วความโกรธก็ไป ในหัวใจของเราไม่มีที่ว่างสำหรับความโกรธ



# 21

ถาม : คุณพ่อเสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 พ.ค.48 อายุ 69 ปี คุณแม่อายุ 67 ปี ตอนนี้อาการไม่ดี พูดจาวนไปวนมา และระแวงลูกทุกคน จะมีวิธีช่วยให้สภาพจิตใจดีขึ้นได้อย่างไร

ตอบ : เราคงจะต้องระลึกถึงคนที่จากไปแล้ว หรือคนที่ตายไปแล้วอย่างคนที่ทำตัวเราให้ไม่ชั่วเลย ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เรารำลึกถึงคนที่อยู่เบื้องหลังการเติบโตของเรา ด้วยการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อานิสงค์อันนี้ก็จะส่งไปถึงผู้เสียชีวิตไปแล้ว เพราะฉะนั้นควรชวนคุณแม่ให้ลุกขึ้นมาทำกุศลเถอะค่ะ เพราะกุศลของคุณแม่ก็จะไปถึงคุณพ่อที่จากไป พวกเราคงต้องให้กำลังใจคุณแม่ด้วยการชักจูงให้เกิดกุศลในคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อที่จะทำให้คนที่ตายไปแล้ว ยังได้อานิสงค์ในกุศลของเราด้วย



# 22

ถาม : กราบเรียนถามค่ะ …ชีวิตประจำวันที่ต้องทำงาน ติดต่อเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า บางครั้งก็ยากต่อการรักษาศีลให้ครบ ให้บริสุทธิ์ได้ บางครั้งอาจมีเรื่องขัดแย้งกันในงาน ก็ต้องหงุดหงิด บ่น โต้เถียง หรือวิจารณ์(นินทา)กัน ….งานเลี้ยงสังสรรค์ ถ้าเราถือศีล คนก็จะมองแปลก ๆ ไม่เที่ยว ไม่พักผ่อน ไม่เสวนากับเพื่อน โดยเฉพาะผู้ชายก็อาจโดนว่ามากกว่า ถ้าไม่ดื่มเหล้า …. ในกลุ่มผู้หญิง อาจมีการพูดคุยเรื่องไร้สาระ หรือพูดคุยเฮฮา มีคำไม่เหมาะสม ไม่ไพเราะ ทำให้รู้สึกว่า ยากที่จะทำใจให้สงบได้ตลอดค่ะ และบางครั้งคนอื่นที่ไม่เข้าใจ ก็ว่าเราแปลก ๆ ไม่เหมือนเดิม มีปัญหาค่ะ ….เรียนขอคำแนะนำจากท่านด้วยค่ะ ว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไร ถึงจะรักษาศีลได้ครบ และเข้ากับเพื่อน ๆ ได้

ตอบ : ศีลคือความเป็นปกติ ให้คุณรักษาความเป็นปกติของจิต คุณคบเพื่อนในสังคมโลกได้ด้วยความเป็นปกติ ถ้าจิตของคุณไม่เศร้าหมอง ไม่ขุ่นมัว แล้วคุณก็อยู่ในสังคมได้อย่างรู้ตื่น และเบิกบาน คุณก็จะเป็นผู้ปฏิบัติธรรมอยู่ในขณะที่คุณกำลังทำหน้าที่การงานอยู่กับโลก แต่ความเป็นปกติในใจของคุณนั้น จะทำให้คุณผ่องแผ้ว คุณรักษาความเป็นปกติที่หัวใจของคุณเถิด สำรวมใจของเรา อย่าให้มันมีความอึดอัดคับข้องใดๆ ความเป็นปกตินี้ก็จะทำให้คุณรู้จักกาลเทศะในสังคมที่คุณต้องไปเกี่ยวข้อง แล้วคุณจะวางตัวอย่างไร ที่จะให้คุณไม่รู้สึกแปลกแยก แต่ว่าคุณก็ยังมีความเป็นปกติอยู่ได้



# 23

ถาม : หนูรู้ว่ามีคนไม่ชอบหนู เค้าคอยประชดประชันหนูตลอดเวลา หนูก็มานั่งเสียใจ เกลียดเค้ามากๆ และบางครั้งหนูก็จะอิจฉาริษยาเค้าด้วย ที่เค้าทำไม่ดีกับหนู แต่เค้าไม่เห็นทุกข์ร้อนในสิ่งที่เค้ากระทำไม่ดีต่อหนูเลย หนูไม่อยากมีเรื่องกับเค้า แต่เค้าก็มาจองเวรหนูตลอด เพราะเค้าอยู่ข้างบ้านหนูเองละค่ะ หนูเป็นคนไม่มีเพื่อน เพราะหนูคุยไม่เก่ง คนหัวเดียวกระเทียมลีบนี่ลำบากนะคะ เจอคนมาประชดหน้าบ้าน หนูก็ตอบโต้ไม่ได้ เรื่องทั้งหมดไม่ใช่หนูก่อนะคะ เกิดจากเค้าริษยาหนู แล้วไม่พูดกับหนู พาคนอื่นมาเกลียดหนูด้วย จะให้หนูทำอย่างไร นอกจากปล่อยวาง หนูรู้ว่ามันเหมือนพูดง่ายแต่ทำยาก ค่ะ

ตอบ : หนูดูความริษยาในใจหนูดีกว่า อย่าเอาใจของเราไปดูความหยาบคายของคนอื่นเลย เอาใจเรามาดูความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นในชีวิตของเรา ถ้าเรารู้สึกอึดอัดด้วยความเกลียดชังหรือความริษยา ลองดูความรู้สึกอันนี้ว่า มันมามันไปอย่างไร ดีกว่าที่จะเอาใจของเรามุ่งไปดูว่า ใครทำอะไรแล้วปล่อยให้ใจของเราขุ่นมัว กลับมาเมตตาตัวเอง เห็นความรู้สึกมาความรู้สึกไป แล้วใจของเราก็จะให้อภัยคนอื่นได้ง่ายขึ้น



011



# 24

ถาม : หนูมีเรื่องทุกข์เรื่องแฟน ตอนนี้แยกกันอยู่ เพราะว่ามีผู้หญิงเข้ามาในชีวิตไม่เว้นแต่ละวัน เกิดการทะเลาะกันทุกวัน แยกกันอยู่มาได้ 1 ปีแล้ว แต่อนาคตยังไม่รู้จะเป็นอย่างไร เพราะยังตัดใจไม่ได้เลยค่ะ

ตอบ : ก็ต้องรักตัวเอง มีความรักที่ยังมีต่อชีวิตของคุณนะคะ คุณอื่นจะรักคุณหรือไม่ มันไม่สำคัญ ถ้าคุณรักตัวเองได้ คุณก็จะไม่เหงาหรอกค่ะ เราก็อาจจะต้องเรียนรู้กับความรักในมิติของการ ยกความรักให้อยู่เหนือการได้มา มันจะทำให้เรายังมีความสุขที่จะรัก แม้ว่าความรักมันจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ตาม



# 25

ถาม : แม่ชีคะ หนูมักจะคิดไม่ดีอยู่เสมอ ไม่รู้เป็นอะไร แต่ไม่เคยทำหรือแสดงออกมานะค่ะ แล้วแบบนี้จะบาปไหมค่ะ หนูควรแก้ไขอย่างไรคะ

ตอบ : แค่เราคิดไม่ดี หมายถึงมโนกรรมของเรา มันก็ทุจริต ถ้ามโนกรรมมันทุจริต กายกรรมหรือวจีกรรมในการทุจริต มันก็จะเกิดขึ้นง่าย แค่เพียงเรารู้ว่าเราเริ่มคิดไม่ดี เราก็ตามดูความคิดของเราสักหน่อย ระมัดระวังที่จะให้ความคิดของเราไม่ไหลไปสู่ความเสื่อม แล้วก็ตามดูว่าความคิดที่มันเกิดขึ้น มันก็เปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเราเฝ้าสังเกตความคิดของเรา เราก็จะสนุกที่จะเห็นความคิดของเรามันจะถูกควบคุมได้ กระบวนการของการเจริญสติ มีความตระหนักรู้เท่าทันความคิด ความคิดก็จะไม่หลอกเรา ก็ขอให้มีบททดสอบที่จะเรียนรู้กับการตามดูความคิด ดูจิต รู้จิตให้ติดต่อในขณะที่คิด เราก็จะเห็นว่าถ้าจิตเรามั่นคงดีอยู่ ความคิดดีมันก็จะเกิดขึ้น



# 26

ถาม : ทำไมลูกไม่คิดเหมือนเรา เราพยายามที่จะทำให้ลูกเลือกทางเดินที่ดี เพื่อจะได้มีชีวิตที่เติบโตมาใช้ชีวิตได้ดี เหมือนกับคนอื่น แต่ลูกกลับคิดว่าแม่ไม่พยายามเข้าใจ แม่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำบางอย่างของลูก ขอรบกวนท่านแม่ชีช่วยให้คำแนะนำด้วยค่ะ

ตอบ : เราเลี้ยงลูกเหมือนคนปลูกต้นไม้ดีไหม เรามีความสุขที่เราได้ปลูกต้นไม้ ส่วนการเติบโตเป็นหน้าที่ของต้นไม้ ถ้าคุณแม่มีความสุขที่จะเรียนรู้ไปกับลูกนะคะ การเติบโตเป็นหน้าที่ของลูก คุณแม่จะต้องมีความสุขไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างที่คุณแม่อยากให้เป็นหรือไม่ แต่ความสุขที่คุณแม่ได้รักนั่นแหละจะช่วยทำให้ลูกเป็นอย่างที่เค้าเป็น แล้วเป็นอย่างมีตัวเองเป็นเพื่อน เป็นอย่างอาจหาญที่จะมีชีวิตที่ดำเนินอยู่ อย่างคนที่พึ่งตัวเอง ซึ่งอันนั้นน่าจะเป็นผลดี เราจะนอนตายตาหลับได้เลย อย่าเลี้ยงลูกให้เค้าเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น แต่จงมีความสุขและให้เค้าเป็นอย่างที่เค้าพึ่งตัวเองได้ เราก็จะไว้วางใจเค้าได้



012



# 27

ถาม : ช่วยแนะนำหลักธรรมหรือคำพูดใดก็ตาม ที่จะช่วยเพิ่มความเข้มแข็งและศรัทธาต่อการทำกรรมดี ให้แก่ผู้ที่ท้อแท้และไม่ค่อยมีความภาคภูมิใจในตนเองเท่าไหร่นัก ต้นเหตุมาจากว่า มีทัศนคติที่ผิดพลาดจากแนวทางธรรมะ ทำให้จิตใจอ่อนแอและไม่เชื่อถือต่อผลของกรรมดี ถ้าจะพูดให้ง่ายขึ้นก็คือ ผู้นั้นไม่มีความมั่นใจในตัวเองอย่างเหมาะสม และทำอย่างไรจะให้ผู้นั้นรู้จักการรอคอยอย่างอดทนที่จะพบกับความสุขในชีวิต

ตอบ : ความมั่นใจจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อเราต้องเห็นผลของการทำ เพราะฉะนั้นลองตรวจสอบว่า คุณได้ทำเหตุอย่างมากแล้วหรือยัง แม้สิ่งนั้นจะเรียกว่าทำดี ถ้าทำเหตุอย่างมาก คุณก็ปล่อยวางในผลได้เลย เพราะว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่พูดถึงการจัดการที่เหตุอย่างชัดเจน เหตุเป็นอย่างไร ผลเป็นอย่างนั้น ถ้าเราทำเหตุอย่างคนมีปัญญาที่รอบคอบที่สุด เราจะเห็นว่าทำทันทีก็ได้ทันที ไม่ต้องรอคอย การที่เรายังไม่ลงทุนในเหตุอย่างมาก แล้วรอคอยและคาดหวังว่า ผลจะเป็นอย่างที่เราคิด จึงอาจจะนำมาซึ่งความผิดหวังได้ ขอให้คุณกลับไปมีศรัทธาในสิ่งที่คุณจะต้องทำอย่างมากในเหตุ แล้วทำอย่างเต็มที่ ปัญญาที่คุณลงทุนทำอย่างเต็มที่ในธรรม มันปฏิเสธผลของสิ่งนั้นไม่ได้หรอก ทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ก็ขอให้กำลังใจ มีความเพียรให้มากขึ้นในสิ่งที่เป็นเหตุเป็นปัจจัย และนอกจากจะมีศรัทธาแล้ว ยังต้องมีปัญญาด้วย.




013






สื่อนอกขอสัมภาษณ์

BBC World ขอสัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2548



014



# 28

คำถาม ขอให้ท่านแม่ชีกรุณาแนะนำตัว สั้น ๆ ครับ ว่าเป็นใคร ชื่ออะไร ทำอะไร

ท่านแม่ชี ธรรมสวัสดีค่ะ แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุตค่ะ เป็นแม่ชีที่อยู่ ณ เสถียรธรรมสถาน ชุมชนเล็ก ๆ ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย เราทำหน้าที่ในวิถีชีวิตประจำวัน คือ มีชีวิตที่จะต้องฝึกฝนให้อยู่ในปัจจุบันขณะ ที่มีย่างก้าวของสติปัญญา และทำงานเพื่อจะจาริกไป เพื่อประโยชน์และความสุขของมหาชน เราถูกสอนให้ทำงานเพื่อลดตัวตน เพื่อให้ได้งานที่กว้างขวางอย่างไม่เลือกปฏิบัติมากขึ้น



# 29

คำถาม อะไรคือสิ่งบันดาลใจให้ท่านตัดสินใจบวชเป็นแม่ชี

ท่านแม่ชี ด้วยคำถามที่ว่า ทำไมชีวิตของเราจึงต้องกระเสือกกระสน แสวงหามากเพียงนี้ ไม่ว่าชีวิตของเราจะได้อะไร เป็นอะไร สิ่งที่ได้ที่เป็น ก็ไม่ได้บอกว่าเราจะเป็นสุขได้ เพราะสิ่งนั้นสิ่งนี้ทำให้เราสงสัย และก็เริ่มต้นตั้งคำถามว่า แล้วชีวิตของเราคืออะไร



# 30

คำถาม ถ้าตอบเช่นนี้ก็คงต้องเรียนถามต่อว่า ในชีวิตของท่าน ในช่วงที่ประสบความสำเร็จท่านทำอะไรอยู่ครับ

ท่านแม่ชี เราเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในสปอตไลท์ มีคนเห็นเราอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะหยิบจับอะไรในงาน มันจะประสบความสำเร็จ เราเป็นบุคคลที่นำเสนอสิ่งที่จะทำให้คนใช้เสื้อผ้าเหล่านั้น แล้วจะรู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สวย ซึ่งจะเหมาะกับเขา เพราะฉะนั้นเราก็เป็นเหมือน presenter ที่จะนำเสนอเสื้อผ้า เป็นนางแบบ และสิ่งที่เราทำ มันก็จะดูเป็นที่นิยมไปหมด เพราะฉะนั้นเราจึงเป็นนักธุรกิจคนหนึ่งที่หาเงินได้จากการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการประชาสัมพันธ์เรื่องสุขภาพ หรือประชาสัมพันธ์เรื่องเกี่ยวกับเสื้อผ้า เราก็ประสบความสำเร็จ



# 31

คำถาม ตอนที่ท่านตัดสินใจบวชเป็นแม่ชี เพื่อนและครอบครัวคิดอย่างไร

ท่านแม่ชี ทุกคนตกใจมาก เพราะเป็นสิ่งที่เขาไม่เชื่อเลย ทุกคนสงสัยว่าเราทิ้งสิ่งที่สวยที่สุด ดีที่สุดได้อย่างไร แล้วทุกคนก็เฝ้าดูว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป



# 32

คำถาม ท่านบอกว่าเพื่อนและครอบครัวตกใจ สำหรับท่านล่ะครับ การมาบวชนี้เป็นการตัดสินใจทันที หรือมีการวางแผนเอาไว้แล้ว

ท่านแม่ชี เราตัดสินใจในระยะเวลาที่สั้นมาก และก็ตัดสินใจรวดเร็วมาก เพราะเมื่อเริ่มตอบคำถามตัวเองไม่ได้ เราจึงคิดว่าสิ่งนี้มันอยู่ในตัวเรา ฉะนั้นเราต้องหยุด แล้วดู ดูสิ่งที่เราเป็นอยู่ในขณะนี้ เพื่อที่จะถามว่า แล้วตัวเราเกิดมาทำไม



015



# 33

คำถาม ท่านบวชมากี่ปีแล้วครับ

ท่านแม่ชี เราบวชมา 25 ปีแล้วค่ะ



# 34

คำถาม อยากให้ท่านเล่าว่าชีวิตประจำวันของท่าน ท่านทำอะไรบ้างครับ ตั้งแต่ท่านตื่นจนท่านเข้านอน

ท่านแม่ชี เราตื่นเช้ามาก เพราะเป็นการฝึกมาว่า จะต้องตื่น คือจะตื่นประมาณตี 3 หลังจากตื่นแล้ว เราก็จะทบทวนว่าชีวิตในวันใหม่ของเราใน 24 ชั่วโมงนี้ เราจะมีทุนอะไรในการที่จะดำเนินชีวิต และเราจะดำเนินชีวิตของเราอย่างไร เพราะฉะนั้นเราจะมีสัจจะกับตัวเองว่า ทุนของชีวิตคือจิตที่ไม่ขุ่นมัว หลังจากนั้นแล้วเราจะทำธุระส่วนตัว ซึ่งเป็นเรื่องที่เราจะต้องดูแลสุขภาพของเราให้แข็งแรง เพราะเน้นจิตอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูถึงร่างกายด้วย เราก็จะออกกำลังกายก่อน เพื่อที่จะได้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ราวตี 4 จะเริ่มทำภาวนา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีมาก เพราะเป็นเวลาที่จะได้เห็นโลก ออกมาจากความมืดไปสู่ความสว่าง ช่วงนี้จะเป็นความสดชื่นของโลก เป็นช่วงที่ธรรมชาติมีความเป็นชีวิตชีวามากขึ้น ก่อนหน้านี้ ซึ่งเรามีงานไม่มากเท่านี้ ตอน 6 โมงเช้าเราจะออกบิณฑบาต ซึ่งถือเป็นการเดินออกไปเยี่ยมชาวบ้าน ออกไปพูดคุยกับชาวบ้าน ไปชวนเด็ก ๆ มาเรียนหนังสือ แล้วก็ให้ความรู้กับพ่อแม่ที่ออกมาใส่บาตร ที่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกคนงานก่อสร้าง



016



# 35

คำถาม ท่านหมายความว่า ปัจจุบันไม่มีเวลา ใช่ไหมครับ

ท่านแม่ชี ระยะหลังนี้เราเดินทางบ่อยครั้ง และที่เสถียรธรรมสถานก็มีกิจกรรมใหญ่อยู่เนือง ๆ ผู้คนก็จะเข้ามาใส่บาตร โดยเราไม่ต้องเดินออกไป



# 36

คำถาม ท่านตื่นและเริ่มกิจกรรมแต่เช้ามาก ผมคิดว่าในแต่ละวัน ท่านต้องพบปะกับผู้คนด้วย ท่านเริ่มต้นพบปะกับผู้คนตั้งแต่กี่โมง

ท่านแม่ชี เราเริ่มต้นตั้งแต่การบิณฑบาต ทุกวันนี้แม้เราจะงดออกบิณฑบาต แต่แม่ชีเด็ก ๆก็ยังทำอยู่ เพราะถือเป็นวิถีชีวิต ถือเป็นวินัยที่ต้องฝึก เรามีกติกาของบ้านเลยว่า ถ้าหากมีคนมาเคาะประตูต้องการความช่วยเหลือ บ้านเราจะไม่ปฏิเสธใครเลย ซึ่งอันนี้ขึ้นอยู่กับว่า คนที่เข้ามามีความเดือดร้อนจำเป็นเพียงใด ถ้าเป็นปกติ ไม่ได้มีเรื่องทุกข์ร้อนก็เข้ามาได้ ตอน 9 โมงเช้าจะมีการสวดมนต์ใหญ่ครั้งหนึ่ง ผู้คนจะทยอยเข้ามาตั้งแต่ 7 โมงบ้าง 8 โมงบ้าง อาจจะมาใช้สวนแห่งนี้นั่งพิจารณาตัวเอง แล้วพอ 9 โมงก็เข้าไปสวดมนต์ร่วมกัน



# 37

คำถาม กิจกรรมในแต่ละวัน ถูกกำหนดตายตัวหรือเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมครับ

ท่านแม่ชี ส่วนใหญ่ถ้าเป็นวิถีชีวิตประจำวันก็จะเป็นเช่นนี้ แต่ส่วนหนึ่งที่จะเปลี่ยนไปก็จะขึ้นอยู่กับกิจกรรมในขณะช่วงที่มีความสำคัญ อย่างเช่นช่วงวิสาขบูชา ก็จะต้องมีคนหมู่มากเข้ามาอยู่กับเรา เป็น 100 - 200 คน หรือว่าช่วง 3 วัน 4 วัน หรือว่าช่วงศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ จะมีโอกาสที่มีคนมาพักค้างกับเราเป็น 100 คนแบบนี้ ก็จะเปลี่ยนไปตามกิจกรรมของคนหมู่ใหญ่



017



# 38

คำถาม ท่านตื่นเช้ามาก ผมอยากทราบช่วงเวลาการทำงานของท่านครับ

ท่านแม่ชี ถ้าเป็นช่วงวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ซึ่งเป็นช่วงที่มีคนมาปฏิบัติมากซึ่งมีเป็นประจำนั้น จะเป็นเรื่องที่มีพลังมาก เวลานั้นที่นี่มีเสียงของการสวดมนต์ของการปฏิบัติ มันจะมีความชุ่มชื่น ซึ่งทุกคนที่อยู่ที่นี่เขาภาวนามาก แต่ทุกคนก็สดมาก เพราะว่ามีกิจกรรมต่อเนื่อง อย่างเช่นถ้าตอนเย็นเราจะลงสอน ชั่วโมงสุดท้ายของเราประมาณ 2 ทุ่มถึง 3 ทุ่ม ประมาณสัก 1 ทุ่ม 45 นาทีนี่เราลงแล้ว พอ 3 ทุ่มทุกคนเข้าที่พักแล้ว เราก็จะทบทวน โดยจะเดินสมาธิอยู่อีกประมาณ 20 ถึง 30 นาทีเพื่อสรุปวัน แล้วเราก็จะพักจริง ๆตอน 4 ทุ่ม เราไม่ควรนอนดึกกว่านั้นแล้ว



# 39

คำถาม ขอย้อนกลับนิดหนึ่ง ท่านได้เล่าแล้วว่าตอนเป็นแม่ชีทำอะไรบ้าง แล้วในวันแรกเลยที่ท่านเป็นแม่ชีล่ะครับ ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง

ท่านแม่ชี มันมีเรื่องตลกอยู่เหมือนกันนะคะ ในคืนแรกที่เราปลงผมแล้วต้องเข้านอนในฐานะที่เราเป็นนักบวช เราสังเกตจิตของเราว่าเรารู้สึกอย่างไร เราเป็นผู้หญิงใจเหล็ก คือ เราไม่รู้สึกเสียดายเลย วันที่เราปลงผมนั้น เป็นความรู้สึกที่เรายังจำได้ว่า ถ้าสิ่งนั้นมันไม่มีค่า มันก็ต้องถูกทิ้ง เราเข้ามาสู่อารมณ์นี้เลยทีเดียว เราไม่มองเลยว่าสิ่งที่เรามีอยู่นั้น มันยากที่เราจะทิ้งมัน กลับรู้สึกเบาใจมาก ที่เราได้ทิ้งมัน แล้วเราก็เข้ามาเป็นแม่ชี



# 40

คำถาม เท่าที่ผมเข้าใจ หน้าที่อันหนึ่งของแม่ชี คือ เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ คอยช่วย คอยนำทางให้คน ทางด้านจิตวิญญาณ ท่านได้มีการศึกษาหรือการฝึกอบรมอะไรทางด้านนี้บ้าง ในช่วงเวลาที่เป็นแม่ชีแล้ว

ท่านแม่ชี เมื่อเราบวชเรียน เราก็มีครูอาจารย์ เมื่อท่านบวชให้เรา ท่านก็ต้องดูแลเรา เราต้องเรียนรู้จากครูอาจารย์ในฐานะเป็นผู้บวชใหม่ เราบวชแล้วเรียนรู้จากครูอาจารย์ถึง 7 ปี เพราะเราเห็นว่าคำสอนของท่านงดงามมาก ท่านสอนอะไร ท่านทำอย่างนั้น เราเรียนรู้กับท่านถึง 7 ปี แล้วก็ฝึกฝนด้วยตัวเอง




โดย yyswim



Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2550
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2550 14:06:46 น. 49 comments
Counter : 11676 Pageviews.

 


# 41

คำถาม เวลาที่ท่านพูดว่า ท่านศึกษากับครูอาจารย์ ผมสงสัยว่าก่อนที่ท่านจะบวช ท่านมีงานต้องทำมากมาย แล้วเมื่อท่านเป็นแม่ชี ท่านต้องติดต่อกับผู้คนมากมาย ซึ่งการติดต่อกับผู้คนของท่าน ในสองลักษณะนี้ไม่เหมือนกันแน่นอน ในจุดนี้ท่านต้องเรียนรู้ไหมว่า จะต้องทำอย่างไรกับการทำงานที่ต่างลักษณะกัน

ท่านแม่ชี คุณเก่งมากที่ถามคำถามนี้ เพราะมันเป็นความจริง สมัยก่อนที่เราจะบวช เวลาที่เราติดต่อกับคน เราจะมองว่าเขาคือเหยื่อ เราต้องการได้อะไรจากเขา และเราก็จะทำทุกอย่างเพื่อที่จะทำให้เขาทำให้เรา แต่หลังจากที่เราบวชมา 7 ปี เราก็จะมาพบสติปัญญาว่า คนทุกคนที่อยู่ข้างหน้าเรา เป็นคนพิเศษสำหรับเรา เราจะไม่ทำให้คนข้างหน้าเรา เจ็บปวดเพราะเรา ความสุขในการที่เราได้ทำให้คนที่อยู่ข้างหน้าเราเป็นสุข เพราะเราไม่ทำให้เขาเจ็บปวด มันกลายเป็นทำให้เราได้ แต่มันเป็นการได้ โดยที่เขาไม่ได้เป็นเหยื่อเรา



# 42

คำถาม จากที่ท่านบอกว่าท่านมองคนข้างหน้าเปลี่ยนไป คำถามต่อมาก็คือ แล้วคนข้างหน้าท่าน เขามองท่านเปลี่ยนไปหรือไม่ จากการที่ท่านเปลี่ยนจากชีวิตนางแบบมาเป็นแม่ชี

ท่านแม่ชี แค่เป็นแม่ชีเขาก็เปลี่ยนแล้ว ตอนแรกเขาก็มองอย่างสงสัยว่า เราจะบวชนานไหม เราจะบวชเพื่อหนีอะไรหรือไม่ ก็แล้วแต่เขา แต่ทุกวันนี้เขามองเราเปลี่ยนไป เขามองเราด้วยสายตาที่ไม่ได้มองเราว่า เราสวย แต่เขามองเราด้วยหัวใจที่ศรัทธา และการที่เราทำงานอย่างนี้ มันงดงามอยู่ภายใน มันเกิดขึ้นเพราะการที่ต้องหยุดและทบทวน เพื่อสละนิสัยที่ไม่ดีต่าง ๆ ออกไป ทุกวันนี้เราก็รู้ว่าเราเป็นแรงบันดาลใจของผู้หญิงหลายคน ที่อยากจะมีชีวิตที่งดงามอย่างที่เรากำลังทำอยู่



018



# 43

คำถาม ในงานที่ท่านทำอยู่ประจำ ในฐานะที่เป็นงานทางจิตวิญญาณ ท่านคิดว่าท่านมีส่วนที่ได้เข้าไปสัมผัส หรือเข้าไปมีส่วนในการเป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณ ให้คนประมาณสักเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นคนที่เดินเข้ามาที่นี่ หรือคนที่อยู่ในชุมชนนี้ก็ตาม

ท่านแม่ชี สักกี่คน มันนับเป็นคนไม่ได้หรอกค่ะ แต่ว่าถ้าถามว่า ทำทุกวันไหม เราทำทุกวัน แล้วใครก็ตามที่อยู่ข้างหน้า ก็เป็นครูที่ยิ่งใหญ่ของเราทั้งสิ้น ที่จะสอนให้เรารู้ว่า เรารักษาจิตของเราให้ทรงไว้ซึ่งความเป็นปกติได้ไหม เพราะฉะนั้นการที่มีคนคิดว่า เรากำลังช่วยคนอื่น เรากลับคิดว่าคนอื่นกำลังเป็นครูของเรา ทำให้เราเก่งกาจและวัดใจของเราว่า เราผ่านไหม ธรรมะศักดิ์สิทธิ์ไหม การใช้ชีวิตของเรานั้น ตัวเราเล็กลงและงานของเราใหญ่ขึ้นจริงหรือไม่ เพราะฉะนั้นถ้าถามเป็นปริมาณ เราตอบยาก แต่ถ้าถามว่าเป็นความสุขไหม ก็เป็นความสุขอย่างมาก



# 44

คำถาม ถ้ามีคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากท่าน ท่านเริ่มต้นการให้ ตรงนั้นอย่างไรครับ

ท่านแม่ชี เราจะมองคนข้างหน้าอย่างคนที่เป็นเพื่อน เรียนรู้ด้วยกัน เหมือนเป็นพี่น้องกัน เหมือนเราอยู่ตรงหน้าคุณ คุณก็คือพี่น้องของเรา สิ่งหนึ่งที่ต้องทำ ก็คือ เราจะต้องเคารพหัวใจของเราเอง ที่จะไม่ขุ่นมัวกับคนข้างหน้า เพราะนั่นคือโอกาสที่คนข้างหน้าให้เรา คุณเป็นคนพิเศษ เราจะไม่ขุ่นมัว และถ้าหากเราสามารถที่จะใช้ชีวิตเรียนรู้กับคุณ ที่จะทำให้คุณไม่ขุ่นมัว หรือถ้าหากคุณกำลังมีความทุกข์ และเราเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ และทำให้คุณได้มองชีวิตลึก ๆ ด้านในแล้วเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ เราคิดว่าการพบกันของเรา 2 คน ไม่ได้พบกันครั้งแรก ไม่มีใครที่พบกันครั้งแรก แต่เป็นการได้พบกันนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งเราอาจจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่ก็ทำให้การพบกันคราวนี้ ได้เดินทางอย่างคนที่จะเป็นอิสระจากความทุกข์ร่วมกัน มันจึงพิเศษมากจริง ๆ สำหรับเรา ในเวลาที่เราจะทำงานกับใครสักคนที่อยู่ข้างหน้า และเราจะถอดความรู้สึกอคติหรือเพ่งโทษได้ง่ายมากถ้าหากเรามีสัจจะอย่างนั้น



# 45

คำถาม คำถามนี้จะขยายคำถามที่ถามมาเมื่อสักครู่นี้ ยกตัวอย่างว่า ถ้าคนมีความทุกข์เดินเข้ามา ท่านจะเริ่มอย่างไร เช่นท่านเชิญเขามานั่งตรงหน้าท่าน ชวนเขาคุย หรือว่าปฏิบัติกับเขาหรือทำอย่างไร และท่านทำเช่นนี้กับทุกคนที่เข้ามาเหมือนกันหมด หรือว่าแตกต่างกันเป็นกรณี ๆ ไป

ท่านแม่ชี มีคนที่อยู่ข้างหน้าเราหลายคนบอกว่า เราชอบรู้ใจคนที่อยู่ข้างหน้า แต่จริง ๆ แล้วเรารู้ใจเรา เราจึงเข้าใจคนข้างหน้า เพราะฉะนั้นเราจะดูแต่ละคน คนที่เข้ามาล้วนมีลักษณะที่ต่างกัน มีความเฉพาะตัวที่ต่างกัน เราจึงใช้หลากหลายวิธีมากกับคนข้างหน้า บางคนเราก็เดินเล่นด้วย บางคนเราก็นั่งคุยด้วย บางคนเราก็ใช้วิธีการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมโดยการทำงานร่วมกัน เราใช้หลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับคนข้างหน้ามีจริตอย่างไร แต่อย่าลืมว่า ทุกวิธีต้องทำด้วยความเข้าใจคนข้างหน้า



019






โดย: yyswim วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:14:08:40 น.  

 


# 46

คำถาม งานที่ท่านทำทุกวันนี้มันเหมือนหรือแตกต่างอย่างไร กับสิ่งที่คาดหวังไว้ก่อนที่จะเข้ามาบวช

ท่านแม่ชี ตอนก่อนบวช เราคิดจะเอาแต่ตัวเองเท่านั้นเลย คือจะเอาตัวเองข้ามไป รอดไป ไม่คิดเลยที่จะมาทำอะไรอย่างนี้ แต่พอบวชแล้ว เราได้เข้าถึงความสงบเย็น พอมาถึงความสงบเย็น ก็มาคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์อย่างไร บอกตรง ๆ ว่า ตอนแรกที่บวช มันไม่ได้สงบเย็น และเราก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรอย่างนี้เลย แต่พอเรียนรู้ ได้ 7 ปี เราเข้าไปถึงบ้านหลังใน เข้าไปสู่ความสงบภายใน สู่กิจกรรมต่าง ๆ เราก็เริ่มมองออกไป ซึ่งต้องขอบคุณอย่างมาก พอสงบเย็นแล้วมันก็เป็นประโยชน์ คือได้ออกมาจากความทุกข์ มาอยู่ในความสงบเย็น



# 47

คำถาม ต้องขอโทษด้วย ถ้าคำถามนี้มันจาบจ้วง แต่มันเป็นคำถามมาตรฐานที่จะถามผู้หญิงทั้ง 3 ท่าน เพราะฉะนั้นก็จะต้องขอถามท่าน เพื่อนำคำตอบไปเทียบกัน คำถามคือ งานแม่ชีมีค่าจ้างหรือไม่ แล้วถ้ามีค่าจ้างคือเงิน เท่าไร ใครจ่าย แล้วในกรณีที่ท่านไม่มีเงินเดือน ท่านเอาเงินที่ไหนมาทำงาน

ท่านแม่ชี เราเป็นคนที่ใช้การงานเป็นฐานแห่งการภาวนา เราไม่ได้เป็นลูกจ้าง และเราก็ไม่ใช่สินค้าชั้นดีที่จะให้คนอื่นมาซื้อเรา เพื่อที่จะเอาเราไปทำอะไรให้เขา แต่เราเรียนรู้จากการทำงาน และเราต้องขอบคุณงานจริง ๆ นี่เป็นความรู้สึกของเรา จริง ๆ ว่าเวลาที่เราทำงาน เราจะรู้สึกถึงความเป็นอิสระ เรารู้สึกได้ว่าเรากำลังได้โอบกอดตัวเรา เพราะฉะนั้นเราทำงานอย่างคนที่น้อมใจเข้าไปรับใช้ผู้อื่น มันจึงทำให้เราได้รางวัลที่ยิ่งใหญ่มากกว่าเงิน มันได้เป็นอริยทรัพย์ คือได้เป็นสติปัญญา ในการแก้ปัญหางาน ถ้าเราไม่มองว่าปัญหาเป็นความทุกข์ แต่เรามองว่าปัญหาสร้างปัญญาได้ รางวัลของเราก็คือ อริยทรัพย์



020



# 48

คำถาม เมื่อมองไปรอบ ๆ เสถียรธรรมสถานแล้ว ที่นี่เป็นที่ที่สวยงามมาก แล้วก็คงจะต้องใช้เงินมาก จึงอยากจะถามว่าเงินที่นำมาใช้ในนี้มาจากไหน

ท่านแม่ชี เราเป็นเศรษฐีนะ เป็นเศรษฐีที่มีความสุขตรงที่คิดจะให้ เราไม่ใช่คนรวย เราไม่ได้มีเงินมาก เราเริ่มต้นมาจากการไม่มีเงิน เรามีคนเป็นทุน เรามีหัวใจของคนที่มีความกตัญญูต่อพระธรรมมาเป็นทุน เมื่อเรามาเริ่มก่อตั้งที่นี่ เรามีแต่แผ่นดินว่าง ๆ แต่เรามีใจที่กตัญญูมาก แล้วเราก็เริ่มทำงาน แล้วใจที่มันกตัญญูและการใช้การงานเป็นฐานแห่งการภาวนา มันจึงกลายเป็นสนามแม่เหล็กที่ดึงดูดความช่วยเหลือเข้ามา ก็จะมีผู้คนที่ให้ความช่วยเหลือ โดยเริ่มต้นจากคนในครอบครัวก่อน เรามีกองทุนที่เป็นเงินลงทุนก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งจากครอบครัวของเรา ที่ยินยอมให้เรามาบวช



# 49

คำถาม จากข่าวที่ผมได้มา นับได้ว่าท่านเป็นนักบวชสตรี ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในเมืองไทยคนหนึ่งในเวลานี้ ผมขอถามคำถามมาตรฐานอีกคำถามหนึ่ง ในอีก 2 ศาสนาที่ผมจะไปสัมภาษณ์นักบวชสตรี คือ อิสลามและคาทอลิกนั้น เรามองเห็นชัดได้ว่าเป็นศาสนาที่บังคับบัญชาโดยผู้ชาย แต่ผมไม่ทราบว่าศาสนาพุทธเป็นอย่างไร จึงขอถามว่า การที่ท่านแม่ชี เป็นนักบวชสตรีที่มีชื่อเสียง มีอิทธิพล ท่านคิดว่าการที่ท่านเป็นผู้หญิงนั้น มีส่วนช่วยในการทำงานของท่าน หรือการทำงานร่วมกับนักบวชผู้ชายหรือไม่

ท่านแม่ชี เรามีความกตัญญูต่อพระธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าใจ พิสูจน์ได้ เมื่อมีครูอาจารย์ท้าทายให้เราเข้าไปพิสูจน์ ว่าสิ่งนี้มันศักดิ์สิทธิ์ได้ไหมในวิถีชีวิตของเรา เราก็เริ่มเข้าใจเลยว่า เวลาที่พูดถึงคำสอนจริง ๆ มันไม่มีเพศเลย มันไม่ได้เป็นผู้หญิง ผู้ชาย มันเป็นความตั้งใจจริงที่จะเข้าไปให้ถึงว่า ศักยภาพสูงสุดของมนุษย์ต้องพ้นทุกข์ได้ และเราก็พิสูจน์เรื่องนี้อยู่ เวลาที่เราพิสูจน์เรื่องนี้จริง ๆ เราจะทำงานหนักมาก ทั้งงานปฏิบัติภายในและการทำงานเกี่ยวข้องภายนอก เมื่อเราทำงานเกี่ยวข้องภายนอกมากขึ้น ก็เห็นว่าธรรมะศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น มันก็เป็นเหตุเป็นผลให้คนเข้ามาสนับสนุน และเห็นการปฏิวัติการทำงานของผู้หญิง ซึ่งโดยปกติแล้วก็ไม่ค่อยมีแม่ชี ที่ออกมาทำงานอย่างนี้ แต่เพราะเราเป็นผู้ที่เห็นว่า ธรรมะช่วยผู้หญิงให้ก้าวหน้าได้ มันจึงทำให้มีแรงบันดาลใจในนักบวชผู้หญิงอีกหลาย ๆ คนที่จะทำอย่างนี้ และมันทำให้ดูเหมือนมีการเปลี่ยนแปลง แต่เราไม่ได้คิดว่าเป็นการปฏิวัติหรอก แต่มันเป็นการเปลี่ยนแปลงเพราะการถ่อมตนของเราต่างหาก



# 50

คำถาม ผมเข้าใจว่าการทำงานไม่ใช่เรื่องของผู้หญิงกับผู้ชาย แต่ว่างานที่ท่านทำนี้ เป็นการช่วยเหลือทางด้านจิตใจ แต่ท่านคิดว่าเป็นไปได้ไหมว่า การที่ท่านเป็นผู้หญิงนั้น มีส่วนทำให้คนไว้ใจและพร้อมที่จะเปิดหัวใจพูดมากกว่าที่จะพูดกับผู้ชาย

ท่านแม่ชี สำหรับคนที่อยู่ข้างหน้า เราคิดว่าทั้งผู้หญิงผู้ชายที่อยู่ข้างหน้าเรา จะอบอุ่นเวลาที่ให้คำปรึกษากัน เราคิดว่าอันนี้มีส่วน แต่ถ้าถามเราว่าในตอนแรก ๆ ที่เราลุกขึ้นมาทำงาน เราถูกมองอย่างไร เราก็ถูกมองมากจากสังคม หรือแม้แต่ในขบวนการการทำงานของคณะสงฆ์ ครูบาอาจารย์หรือว่าพระสงฆ์ต่าง ๆ ท่านก็มองเรา แล้วในปัจจุบันนี้ เรารู้เพราะการมองของท่านที่มองเรา ซึ่งมันไม่เคยมีมาก่อน มันก็เป็นความรู้สึกชื่นชม อนุโมทนา เราคิดว่าคณะสงฆ์ไทยเอง ก็อยากจะสนับสนุนอยากจะเข้ามาช่วยเหลือ ให้มีผู้หญิงอย่างเราเข้ามาทำงานมากขึ้น ท่านเคยเรียกเราเข้าไปคุยแล้วก็บอกว่าผู้หญิงมีไม่มากนัก ขอให้ช่วยกันสร้างโอกาสให้ผู้หญิงได้มาทำงานในวิถีของการช่วยเหลืออย่างนี้มากขึ้น เพราะฉะนั้นเราจึงคิดว่าการมองมันถูกปรับเปลี่ยน เป็นการสนับสนุนไปในที่สุด




021




โดย: yyswim วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:14:09:43 น.  

 


# 51

คำถาม คราวนี้ถึงคำถามที่ผมอยากถามมากที่สุด ท่านแม่ชีเป็นคนดังมาตั้งแต่ก่อนบวช การเป็นคนดังมีส่วนช่วย หรือขัดขวางการทำงานของท่านเมื่อบวชแล้วอย่างไร

ท่านแม่ชี เราคิดว่ามันเป็นการสนับสนุนเรา การที่เราเป็นคนที่ถูกมอง เราเห็นว่าเป็นการบอกให้รู้ว่า เราจะต้องท้าทายตัวเราและไปให้สุด มันเหมือนกับเป็นแรงสนับสนุนตัวเราอยู่พอสมควร มันไม่ใช่ถูกมองแล้วทำให้ตัวตนหรืออัตตาของเราใหญ่ แต่มันเหมือนเป็นการตีเหล็กในขณะที่ร้อน เราตัดสินใจจะเข้ามาเป็นนักบวชให้มันได้อาวุธ เพราะฉะนั้นความมีชื่อเสียงของเรา ถ้าหากเรายึดติดว่า นั่นคือชื่อเสียงของเรา เราจะไปไม่ถึงไหนเลย เราพูดประโยคสุดท้ายเลยก็ได้ว่า เราใช้ตัวตนเพื่อลดตัวตน เราใช้การมีชื่อเสียงเพื่อลดตัวตน งานเราจึงใหญ่



# 52

คำถาม ไม่มีคนหมั่นไส้หรืออิจฉาท่านบ้างหรือ ที่ท่านเป็นคนดัง

ท่านแม่ชี เราไม่สนใจหรอกว่า จะมีหรือไม่มี เพราะว่าสิ่งนั้นไม่ได้เป็นประโยชน์สำหรับเรา แต่สิ่งที่เราระมัดระวังตัวเรา คืออย่าทำตัวให้มันผิดไปจากความตั้งใจในวันแรกที่บวชว่า การเกิดมาเป็นมนุษย์ นี่พ้นทุกข์ได้ไหม เราจับ concept อันนี้ของเราไว้ชัดว่า เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราจะเป็นมนุษย์ที่มีอิสรภาพจากความอึดอัดคับข้องในใจได้ไหม เพราะเราให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ชัดเจน เราจึงไม่สนใจคนอื่นว่าจะคิดอย่างไรกับเรา แต่เราจะเดินทางไปถึงคำตอบของคำถามได้ไหม



# 53

คำถาม ท่านแม่ชีพูดถึงความทุกข์ ผมขอถามว่า อะไรคือความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ของท่านในตอนนี้ หรืออะไรเป็นเรื่องที่ท่านวิตกกังวลมากที่สุด

ท่านแม่ชี เราทำงานมาก แต่ในความมากนั้น เราก็ได้รางวัลอยู่ตลอดเวลา ก็คือเราเคารพตัวเองมากขึ้น เรายกมือไหว้ตัวเองได้ชัดเจนขึ้น เพราะเรามีงานมากเราจึงไม่มีโอกาสได้ชั่ว ไม่มีเวลาไร้สาระ ทำให้เราใช้ชีวิตอย่างไม่มีเวลาเปิดให้ความเสื่อมเข้ามาได้เลย เพราะฉะนั้นถ้าถามว่า ในขณะที่ทำงานเรามีอะไรเป็นความกังวลหนักหนา มันก็มีเรื่องที่จะทำอย่างไรที่จะให้งานที่มากมาย และเพื่อนร่วมงานที่เข้ามามากมาย เหมือนมีคนที่มารับไม้ผลัด คือเมื่อเราสตาร์ท เริ่มวิ่ง ก็ต้องมีคนวิ่งไปกับเราด้วย และเรากำลังจะส่งไม้ผลัดนี้ ให้กับคนรุ่นหลังเรา ที่เรียกว่าเยาวชนคนหนุ่มสาว ซึ่งระยะหลังนี้เราทำงานเรื่องเยาวชนมากมาย เราปรารถนาอย่างยิ่ง ที่จะให้มีเพื่อนร่วมงานที่เป็นคนหนุ่มสาวมากขึ้น แต่ก็ไม่ถึงว่าจะเป็นความวิตกกังวล เราพยายามคิดว่า ในขณะที่คนหนุ่มสาวยังชอบ ยังต้องการความสนุกสนานอยู่นี้ เราจะทำให้ความสนุกสนานนั้น เป็นความสนุกสนานทางปัญญาได้อย่างไร ทำให้ entertainment เป็น spiritual entertainment ได้ไหม อันนี้เป็นความคิดที่ตอนนี้ ปีนี้ เราพยายามคิดให้ชัด



022




# 54

คำถาม ผมฟังแล้วเข้าใจว่า งานที่ท่านทำ คืองานช่วยเหลือคน เพราะฉะนั้นก็จะมีคนมาพึ่งพาท่านเวลาที่เขามีปัญหา แล้วท่านแม่ชีพึ่งอะไร เวลาที่ท่านมีปัญหา

ท่านแม่ชี เราพึ่งตัวเอง เรามีพระธรรมเหมือนเป็นแม่อยู่ในหัวใจ เราถูกสอนเสมอว่า มนุษย์พ้นทุกข์ได้เพราะการพึ่งตัวเอง ทุกครั้งที่เรากำลังเผชิญกับสิ่งที่เป็นอุปสรรค เราจะกลับมาทบทวนวิธีการคิด วิธีการดำริแล้วก็วิธีการกระทำของเรา แล้วก็พยายามสื่อสารกับตัวเราเอง เพื่อจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มันเป็นปัญหานั้น ให้เป็นขบวนการของการเรียนรู้ที่จะยุติปัญหา ซึ่งก็คือปัญญา เราเรียนรู้ด้วยปัญญามากขึ้น เราจะมีท่าทีต่อการคิดในเรื่องนั้น ๆ อย่างรอบคอบและชัดเจน โดยมีหลักเกณฑ์ง่าย ๆ ว่า เราจะไม่มุ่งร้าย เราจะไม่คิดร้าย แต่เราจะใช้สิ่งที่กำลังท้าทายนั้น เป็นการทบทวนธรรมะในหัวใจของเรา เราเชื่อว่าธรรมะจะศักดิ์สิทธิ์ก็ต่อเมื่อ เราต้องใช้ธรรมะแก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหา ไม่ให้เป็นปัญหาได้



# 55

ถาม ในชีวิตนักบวช อะไรหรือเวลาไหน เป็นสิ่งที่ยากหรือเวลาที่ยากลำบากที่สุด สำหรับท่านในการตัดสินใจ

ท่านแม่ชี เรานึกไม่ออก เพราะเราไม่มองว่าสิ่งที่มันทำไม่ได้ในตอนนี้ เป็นความยุ่งยาก แต่เรามองว่า...เพราะความที่สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี ถ้าสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จะมีได้อย่างไร นี่เป็นหลักการทางธรรมที่เราจะต้องมองว่า เพราะเหตุปัจจัยมันเปลี่ยน ผลมันก็เปลี่ยน ถ้าเหตุปัจจัยมันไม่เปลี่ยน ผลมันก็ไม่เปลี่ยน เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจธรรมชาติอันนี้แล้ว อะไรมันก็ไม่เป็นปัญหา เราก็มีหน้าที่เปลี่ยนแปลงเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้นถ้าเราประมาท เราก็ทุกข์ เราจึงต้องใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท เพื่อที่เราจะพ้นทุกข์ได้




# 56

คำถาม ท่านบวชมานานแล้ว งานของท่านในฐานะเป็นแม่ชี หรือความเป็นแม่ชี เป็นสิ่งที่ท่านจะแนะนำให้คนอื่นทำหรือไม่

ท่านแม่ชี เราคิดว่าทุกคนทีสิทธิ์ที่จะเลือกหนทางของตัวเอง เราคิดว่าเราไม่มีสิทธิ์ที่จะปรารถนาให้ใครต้องมาเป็นอย่างที่เรากำลังเป็นอยู่ จริง ๆ แล้ว เราไม่เคยชวนผู้หญิงคนไหนเข้ามาบวชเลย แต่ถ้าผู้หญิงคนไหนตัดสินใจเลือกที่จะมีชีวิตเป็นนักบวช เรายินดีที่จะสนับสนุน เราคิดว่าการเริ่มต้นที่ดี ก็คือการที่คุณตัดสินใจ เรามีตัวเลือกเอาไว้ให้ แต่คุณต้องตัดสินใจแล้ว เราถึงจะสนับสนุน ที่จริงแล้วสิ่งนี้มันเกิดขึ้นกับเรา เราตัดสินใจที่จะมาเรียนรู้ในหนทางของการเป็นนักบวช เมื่อเราตัดสินใจ เราจึงได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ เราคิดว่านี่เป็นบทเรียนจากชีวิตของเราเอง



# 57

คำถาม ท่านเคยบอกว่าในชีวิตของท่าน ท่านมีงานมากจนไม่มีเวลาที่จะชั่ว แต่มีบ้างไหมครับ ในชีวิตท่านที่มีเหตุการณ์มีการงานมากมายที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้ท่านอยากจะลืมความเป็นแม่ชี เช่นอย่างบางคน ก็จะใช้วิธีไปฟังเพลง อ่านหนังสือ เพื่อให้ลืมเรื่องเฉพาะหน้า

ท่านแม่ชี เรามี spiritual entertainment เรามีความสนุกสนานทางปัญญาในการทำงานของเรา เวลาที่เราสอนเด็ก ๆ เราก็มีการร้องเพลงที่จะทำให้เด็กๆ มีกายเคลื่อนไหวและใจตั้งมั่น ทำให้เรามีความบันเทิงอยู่ในงานตลอดเวลา และสิ่งหนึ่งที่เรามักจะพบเสมอก็คือ ถ้าเราต้องการความอิ่มเอมทางจิตใจของเรา เราก็จะเข้าวิเวก เรามีวิธีการปรับขั้นตอน เช่นจิตวิเวกอยู่ในงาน แล้วในบางครั้งเราก็ต้องมีกายวิเวกด้วย คือปลีกตัวเองออกไปอยู่ในที่อันสงบ เพื่อให้เราได้มีโอกาสได้ทบทวน ได้หยุดสำรวจสิ่งที่ทำ อย่าให้มันหลงทาง เพราะงานมันตรวจสอบอารมณ์เราอยู่แล้ว ไม่ให้หลงอารมณ์ ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นความก้าวหน้าของเรา



023




# 58

คำถาม งานที่ท่านแม่ชีทำ ฟังแล้วดูเป็นงานที่หนัก และก็ทำทั้งวัน ท่านแม่ชีเคยมองเห็นด้านตลกหรือด้านขบขันในการทำงานบ้างหรือไม่

ท่านแม่ชี เราไม่ได้อยู่กับคนที่มีความทุกข์ตลอดเวลา หรือแม้แต่คนที่มีความทุกข์บางคน ก็ทำความชื่นใจให้กับเรา เมื่อเขามีการเปลี่ยนแปลงความคิดจากหน้าคว่ำเป็นหน้าหงาย ก็นับเป็นความอิ่มเอมของเราด้วย แล้วบางครั้งเราก็มีอารมณ์ขัน เวลาที่เราคุยกับเด็ก ๆ เด็ก ๆ ก็จะหัวเราะกับพวกเรา เราคิดว่าเรื่องอย่างนี้ มันเป็นชีวิตธรรมดา เราไม่คิดว่า เราจะถูกกดทับอยู่ด้วยระเบียบหรือข้อปฏิบัติเลย เรารู้สึกว่าเราเป็นอิสระมากในการทำงาน เราหัวเราะได้ เรายิ้มได้ บางที่เราก็ตบหัวไหล่ผู้ชายบางคนเพื่อที่จะบอกเขาว่า นี่ เธอต้องรักตัวเองมากขึ้นกว่านี้นะ อันนี้ก็เป็นวิถีชีวิตของเรา ซึ่งเราคิดว่าเราเป็นคนธรรมดาที่ทำได้ แต่ว่ามันต้องไม่ธรรมดาอยู่บนพื้นฐานของความชั่วเท่านั้น



# 59

คำถาม เนื่องจากบทสัมภาษณ์นี้จะมีนักบวชสตรี 3 ท่านคือในพุทธศาสนา อิสลาม และก็คาทอลิก ท่านคิดว่าจากงานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ เป็นบทบาทหรือหน้าที่ที่ต่างจากนักบวชผู้สตรีอีก 2 ท่านอย่างไร

ท่านแม่ชี เราเดินทางมากมายไปในโลกนี้ เราเคยไปอิหร่าน และเราก็มีเพื่อนที่เป็นนักบวชในศาสนาคริสต์มาเยี่ยมเยียนพวกเราอยู่บ่อยครั้ง เรามองว่าจริง ๆ แล้ว ชีวิตก็ไม่ต่างกัน ทุกชีวิตมีศักยภาพในการเข้าถึงความสงบเย็นได้ แต่วิธีการอาจจะต่างกัน เพื่อนนักบวชผู้หญิงในศาสนาอื่น ๆ ท่านก็ใช้วิธีการของท่าน เพื่อให้เข้าถึงชีวิตที่มีความสงบเย็นตามสิ่งที่ท่านศรัทธา แต่เป้าหมายของพวกเราเหมือนกัน และเราเป็นเพื่อนกัน ผู้หญิงเป็นเพื่อนกัน เป็นพี่น้องกันได้ง่ายกว่า และจะไม่มองกันด้วยสายตาที่ริษยา แต่มองด้วยสายตาของคนที่อยากจะเดินทางไปด้วยกันอย่างมีความสุข และเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งมนุษยชาติ เพราะว่าการเดินทางของเราบอกเราว่า เวลาที่ผู้หญิงเจอกันนั้น จะไม่มีเรื่องว่าใครก่อน ใครหลัง แต่มันเป็นเรื่องที่ว่าความสุขจะเกิดขึ้นได้ ใครจะให้ใครได้ทำหน้าที่ในบทบาทนั้น ๆ ที่ตัวเองรับมอบหมายอย่างเข้าถึงธรรม ซึ่งเรามองว่าเราทำงานง่ายเพราะเราเป็นผู้หญิงที่เข้าถึงใจกัน เป็นผู้หญิงที่เข้าถึงหัวใจของมนุษยชาติร่วมกัน



024



เราจะขอเล่าให้คุณฟังสักเล็กน้อย เราเป็น co-chair ของ Initiative of Women ในบรรดาคณะกรรมการทำงาน เรามีประธานเป็นคาทอลิก Joan Brown แล้วก็มีเพื่อนมุสลิม มีเราเป็นพุทธ มียิว แต่เราทำงานได้อย่างมหัศจรรย์มากเลย ในการที่เราเป็นผู้หญิงจากหลาย ๆ ศาสนา แล้วมาทำงานเพื่อสันติภาพ พวกเรารู้สึกได้ว่า เราเป็นพี่น้องกันจริง ๆ เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันจริง ๆ เวลาเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น อย่างเช่น เกิดสึนามิในประเทศไทย พี่น้องของเราก็จะส่งความช่วยเหลือเข้ามาอย่างไม่แยกศาสนาไหนเป็นศาสนาไหนเลย ด้วยความเป็นผู้หญิงหรือเปล่าเราไม่ทราบ แต่ด้วยความที่เรารักกันมาก ในฐานะของชีวิตต่อชีวิต ทำให้การทำงานนั้นกว้างขวาง และไม่มีขีดขั้นของการแบ่งชั้นวรรณะ เพศ หรือแม้แต่ศาสนาเลย.





โดย: yyswim วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:14:12:23 น.  

 



เป็นตัวแทนศาสนาเข้ารับรางวัล



# 60

รางวัลแห่งเสียงอันศักดิ์สิทธิ์


025



“กับรางวัลที่ได้รับ ข้าพเจ้าเชื่อเหลือเกินว่า ถ้าเราเชื่อในกฎของกรรม เชื่อในกฎของธรรมชาติ ว่าทำอะไรได้อย่างนั้น รางวัลของการทำงานจริง ๆ ก็ย่อมจะเป็นความสุขที่ได้จากการทำงาน ส่วนการได้รับรางวัลที่ผู้อื่นมอบให้ ก็เป็นเหตุปัจจัยที่ควรอนุโมทนาในการทำงานอย่างมีความสุขของคนแต่ละคน”


“ข้าพเจ้าเชื่อว่า การให้รางวัลชีวิต ก็คือการรักษาความสุข สนุกอยู่ในงานของเรา และนั่นก็เท่ากับว่า เราได้รางวัลทุกวันอยู่แล้ว”


“รางวัล Spiritual Leadership Award ที่ข้าพเจ้าได้รับในครั้งนี้ ไม่ใช่ของผู้หนึ่งผู้ใด หากแต่เป็นของชาวพุทธทุกคน เพราะรางวัลนี้จะถูกนำไปสนับสนุนการทำงาน ‘สาวิกาสิกขาลัย’...ขอให้โลกนี้ มีธรรมเป็นมารดา...ซึ่งเป็นการศึกษาที่ใช้การทำงานเป็นฐานแห่งการภาวนา ใช้อริยมรรคมีองค์แปด เป็นหนทางที่จะทำให้เราเดินอย่างไม่หลงทาง โดยมีปัญญา ศีล และสมาธิ ประคองใจให้เราไปถึงเป้าหมาย”


“ซึ่งก็คือการมีชีวิตที่สงบเย็น มีวิถีชีวิตประจำวันที่เดินทางไปกับคนข้างหน้าเรา อย่างคนที่มีมรรคจิต มรรคภาวนา ทำให้ทั้งเราและเขาพ้นทุกข์ร่วมกัน และมีชีวิตอยู่อย่างสงบเย็นและเป็นประโยชน์”



026



“และด้วยเหตุที่วิถีชีวิตอันจะได้มาซึ่งรางวัลนี้ คือ วิถีชีวิตของชาวพุทธ หน้าที่ของชาวพุทธ คือการดูแลจิตใจ ขัดเกลากิเลสในจิตใจของเรา ให้เรา รู้ตื่นและเบิกบาน ในขณะที่ทำหน้าที่”


“โลกกำลังต้องการวิถีชีวิตเยี่ยงนี้ เพราะปัญหาของโลกนี้นับวันจะทวีขึ้น การเริ่มต้นขัดเกลาตัวเองให้สามารถอยู่กับโลกนี้ ได้อย่างสงบเย็นและเป็นประโยชน์...จึงเป็นหน้าที่ของพวกเราชาวพุทธทุกคน”





โดย: yyswim วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:14:14:06 น.  

 



ร่วมแรงปั้นคนดีของชาติ



# 61

โครงการ Real Hero Searching Camp แคมป์ปั้นเหล่าฮีโร่ของชาติ


027



เป็นโครงการเฟ้นหาเยาวชนแกนนำของประเทศ มาร่วมกันเรียนรู้และแสดงออกถึงความสามารถเชิงสร้างสรรค์ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อร่วมเทิดพระเกียรติในวโรกาสฉลองครบรอบครองราชย์ 60 ปี


โดยจัดกิจกรรมเข้าค่ายฝึกอบรมพัฒนาต้นแบบเยาวชนสร้างสรรค์ ณ เสถียรธรรมสถาน เพื่อให้เยาวชนต้นแบบ นำความสามารถพิเศษมาพัฒนาตนเองให้ประสบความสำเร็จและเพื่อทำประโยชน์ต่อสังคม ทั้งนี้จะมีบุคคลต้นแบบในดวงใจ (My Idol) ที่มีชื่อเสียงมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์


เยาวชนที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ จะได้รับความรู้ในเชิงเนื้อหาและหลักการ เช่น การพัฒนา IQ / EQ, การมีจิตสำนึกใฝ่สร้างสรรค์ ใฝ่พัฒนาตน, การมีแรงบันดาลใจ, การมีจิตสาธารณะรับใช้สังคม, การพัฒนาภาวะผู้นำ, การเป็นเพื่อนที่ดี การให้คำปรึกษาเพื่อน, การสร้างค่านิยมใหม่ในหมู่เพื่อนให้อยากทำกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์, และการทำให้สังคมเข้าใจและเปิดพื้นที่ทางสังคมให้กับเยาวชน


กิจกรรมในโครงการนี้ เยาวชนจะได้พูดคุยเรียนรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างใกล้ชิด กับบุคคลต้นแบบในดวงใจ (My Idol) ที่มีชื่อเสียงทั้ง 5 สาขา


สาขากีฬา : คุณลีซอ นักฟุตบอลทีมชาติ และคุณสืบศักดิ์ ผันสืบ นักตะกร้อทีมชาติ


028




สาขาศิลปะ / วรรณกรรม : คุณเป้-สีน้ำ ศิลปินสีน้ำชื่อดัง, คุณอรสม สุทธิสาคร นักเขียนรุ่นใหญ่ชื่อดัง และคุณภัทริดา ประสานทอง นักเขียนวัยรุ่นชื่อดัง


029




สาขาวิทยาศาสตร์ / เทคโนโลยี / สิ่งประดิษฐ์ : คุณหญิงหมอพรทิพย์ โรจนสุนันท์ และอาจารย์จากสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา


030




สาขาอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม / เกษตรพอเพียง / สังคม / ศาสนา : คุณครูหยุย – สมาชิกวุฒิสภา, คุณโสภณ สุภาพงษ์ – สมาชิกวุฒิสภา และเจ้าของรางวัลแม็กไซไซ, ดาบวิชัย – นักอนุรักษ์ และแม่ชีศันสนีย์ แห่งเสถียรธรรมสถาน


031




สาขาดนตรี / การแสดง / สื่อสารมวลชน : คุณวรเชษฐ์ วงสไมส์บัฟฟาโล่ นักร้อง นักดนตรี และคุณศุ บุญเลี้ยง นักร้อง นักสื่อสารมวลชน



โดยกิจกรรมจะแบ่งเป็น 3 ช่วง ครั้งที่ 1 จัดฝึกอบรมในวันที่ 20 – 22 เมษายน 2549 ครั้งที่ 2 ได้เรียนรู้ดูงานเพื่อสร้างแรงบันดาลใจกับ Idol ในดวงใจ ระหว่างวันที่ 24 เมษายน – 4 พฤษภาคม 2549 ซึ่งขึ้นอยู่กับวันและเวลาที่สะดวกทั้งฝ่าย Idol ในดวงใจและผู้เรียน ส่วนในครั้งที่ 2 จะจัดฝึกอบรมและสรุปผลในวันที่ 8 – 10 พฤษภาคม 2549 ทั้งหมดจะดำเนินการ ณ เสถียรธรรมสถาน



เยาวชนชายหญิงทั้ง 105 คน ที่จะได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการ เป็นเยาวชนไทยที่มีอายุระหว่าง 15 – 18 ปี, สามารถร่วมกิจกรรมได้ตลอดโครงการ, มีประสบการณ์ทำกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์, และมีแนวคิดที่มีต้องการจะทำประโยชน์ต่อสาธารณชน


และเมื่อจบโครงการ “Real Hero Searching Camp” จะได้รับใบประกาศนียบัตรผ่านการฝึกอบรมเป็นเยาวชนต้นแบบของประเทศ จากสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กระทรวงสาธารณสุข





032


033






โดย: yyswim วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:14:15:20 น.  

 


ศิษย์พร้อมใจประกาศส่งเสริมธรรม



034




# 62 เสียงจากศิษย์คนหนึ่ง

ผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเล่าว่า เธอได้มีโอกาสเข้าไปบวชที่ เสถียรธรรมสถาน ของแม่ชีศันสนีย์ …แม่ชีบอกว่า มีหลายสิ่งที่อยากจะสอนมนุษย์ที่เกิดมาทุกคน แต่ไม่มีโอกาสได้สอนทั่วถึง ..ผู้หญิงคนนั้นจึงขอนำคำสอนที่แม่ชีอยากจะเผยแพร่ นำมาส่งเป็นอีเมล์ และส่งต่อให้เพื่อนๆรับรู้ …เธอบอกว่า ลองอ่านดูซิเป็นสิ่งที่ดีมีคุณค่าทั้งนั้น



-1-


ใครที่โดนกลั่นแกล้ง เกลียดเจ้านายเป็นบ้าเป็นหลัง ….หยุดซะเถิดความโกรธ ความเกลียด ปล่อยให้เขาเป็นอย่างนั้นไปคนเดียว เพราะถ้ามีเจ้านายเฮงซวยจริงๆ ก็ถือว่าเจ้านายของเรามีทุกข์เยอะ ที่ชีวิตของเขามาเจอลูกน้องเกลียด และเขาก็กำลังไม่มีความสุขในสิ่งที่เขาเป็น



-2-


ใครที่ชอบใช้เงินเกินตัว ใช้ของที่ล้วนแล้วแต่แบรนด์เนม เป็นของที่ราคาเกินคุณค่า ….เราจงคิดซะเถิดว่า เขาเหล่านั้นเกิดมามีกิเลศเยอะ มีทุกข์เยอะ เพราะของนอกกายเหล่านี้เป็นแค่สิ่งปิดบังความอายของตนเอง อย่างใครที่ชอบซื้อเสื้อราคาตัวละเป็นพัน แล้วนำมาอวดเพื่อน พวกนี้อยากจะซื้อมาปิดบังความอายของตนเอง โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเป็นทุกข์ เพราะเสียเงินไปเพียงแค่อยากจะบ่งบอกอิทธิพลของตนเองว่ามีปัญญาซื้อของแพงๆ เท่านั้นเอง ใครที่ทำอยู่หรือมีเพื่อนที่ทำอยู่ ก็อย่าส่งเสริมเพื่อน หยุดทำซะเถิด เพราะมันแค่เป็นสิ่งสวยงามภายนอกกายเท่านั้น



-3-


ใครที่ถูกแย่งแฟนหรือสามี แล้วกินไม่ได้นอนไม่หลับ อยากจะตาย คิดหาหนทางจะเอาเขากลับคืนมายังไง ยกให้เธอไปเลยผู้หญิงคนนั้น เพราะเธอก็ได้ของใช้แล้วจากเราไป คิดจะไปแย่งคืนมาทุกข์เปล่าๆ ควรจะหันกลับมารักตัวเองมากๆ มาทำตัวเองให้มีคุณค่า เพราะเธอที่มาแย่งของๆเราไป เธอก็จะมาทุกข์แทนเราที่จะไม่ทุกข์อีกแล้ว ก็เป็นกรรมของเธอ



-4-


ใครที่ชอบเห็นแก่ตัว ชอบว่าร้ายผู้อื่น ไม่เคยเห็นใครดีกว่าตัวเองสักคน พวกนี้ทำบาปไว้เยอะ ไม่เคยมองดูตัวเองในกระจกว่า ขณะเห็นแก่ตัว ว่าร้ายผู้อื่นนั้น หน้าตาตัวเองเป็นอย่างไร ไม่ยอมรับรู้สถานภาพชีวิตของตนเองว่าสุดท้ายก็ตายเช่นเดียวกัน คิดแต่ว่าตัวเองดีเลิศกว่าทุกคน แปลกไหม ส่วนใหญ่พวกนี้จะไม่มีเพื่อนที่แท้จริง ซึ่งพวกนี้ก็จะได้ความเห็นแก่ตัวจากเพื่อนกลับคืนมาเช่นเดียวกัน



-5-


ใครที่ชอบโอ้อวดรู้มาก โกหกผู้อื่นว่าตัวเองรู้ดี พวกนี้แหละทุกข์หนักที่สุด ทุกข์ว่าจะต้องมานั่งคิดว่า วันนี้จะต้องนำอะไรไปอวดเขาอีก….(อิอิ เหมือนใครในบล๊อกแก๊งค์มั่งหรือเปล่า) โกหกผู้อื่นนั้นบาป แต่ที่บาปกว่า ร้อนกว่า ก็คือต้องมานั่งโกหกตัวเอง วันทั้งวันต้องมานั่งคอยทำร้ายตัวเอง แบบนี้ใจจะไม่เป็นสุขเลย แถมบางคนยิ่งมีทุกข์มากไปอีก เพราะกลัวจำไม่ได้ว่าเคยโกหก อวดรู้อะไรเขาไปบ้าง ก็เลยต้องคอยท่องจำและต้องคอยระแวงว่าจะมีใครเข้ามาสอบถาม และต้องคอยหาข้ออ้างต่างๆนานา



-6-


ใครที่ชอบโมโห เถียงพ่อเถียงแม่ คนพวกนี้ นรกจะมาหาตัวแน่ๆ เพราะพ่อแม่เป็นดั่งพระ เป็นสิ่งประเสริฐของชีวิต ที่รักเราทุกวันไม่เคยเปลี่ยน ใครที่ชอบเถียงพ่อเถียงแม่และทำให้ท่านเป็นทุกข์ใจ หยุดทำเสียเถิดมันเป็นบาป จะทำอะไรมันจะไม่คล่องตัวไปซะทุกเรื่อง เพราะบาปมันจะติดตัวไป



-7-


ใครที่ชอบโกรธคนง่าย คนพวกนี้เป็นพวกที่ระงับความทุกข์ของตัวเองไม่ได้ เพราะยิ่งตนโกรธหรือโมโห ตัวเรานี่แหละ จะเป็นทุกข์ …พึงระงับความโกรธด้วยการไม่โกรธเถิด




035



ผู้หญิงคนนั้น เธอบอกว่า ....สิ่งนี้แหละคือคำสอนของแม่ชีศันสนีย์ที่เธอได้ยินมา แต่เป็นเพียงคำสอนส่วนย่อยๆ แต่ก็สำคัญมากนะคะ ….เพราะในชีวิตประจำวันของเรา เราจะเจอพวกความทุกข์เหล่านี้ละทุกวัน…..ใครที่มีความทุกข์อย่างที่เล่ามา ลองนำไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงตัวเองซิ จะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์ ...ลองทำดูนะคะ ...แล้วช่วยส่งต่อๆไปให้คนอื่นอ่านด้วย มันเป็นบุญและความสุขของเราเองนะ…..





036





ครับ….ช่วยบอกเล่ากัน ต่อๆไปด้วย

ว่ามีคำสอนของแม่ชีศันสนีย์ รอให้เพื่อนๆได้อ่าน …อยู่ที่บล๊อกแห่งนี้





โดย yyswim



โดย: yyswim วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:14:26:17 น.  

 
ไม่ได้อ่านท้งหมดนะครับ (ยาววว จัด )

แต่เท่าที่ลองอ่านๆดู ก็คิดว่า ให้แง่คิดต่อการมองโลกมองชีวิตตามหลักพุทธ ได้ดีทั้งนั้นเลยคัรบ

ปกติผมตื่นเช้าอยู่ทุกวันอยู่แล้วสำหรับวันทำงาน
รายการทีวีรายการหนึ่งที่ผมดูเสมอตอนเช้ามืดก็คือ ธรรมสวัสดีกับแม่ชีศันสนีย์ ครับ


โดย: กุมภีน วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:14:32:48 น.  

 
ยาวจริงๆๆๆ คงต้องเซพไว้ก่อน


โดย: ปลายปัญญา วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:14:33:00 น.  

 
แม่ชีท่านยิ้มได้สวยจริงๆครับ
ผมหนักไปทางดูรูปน่ะครับ .. ฮิๆ


โดย: merf1970 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:15:02:20 น.  

 
ยาวจริงๆคะ เคยอ่านบทสัภาษณ์แม่ชีท่านคะ อ่านแล้วได้ข้อคิดอะไรดีๆมากเชียวคะท่านเคยมีหลายสิ่งหลายอย่างที่หลายๆคนในโลกนี้แสวงหา แต่ท่านก็ละทิ้งมาออกบวช และทำงานเพื่อสังคม เป็นสิ่งที่หาได้ยากในสังคมไทยปัจจุบันคะ


โดย: Lilly (supremeking ) วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:15:45:18 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณสิน

ขอบคุณมากนะคะ ที่แบ่งปันสิ่งดีๆ ดีใจที่ทำงานวันนี้ เริ่มต้นที่ธรรมะ ของแม่ชัศันสนีย์ค่ะ อ่านไล่มาเรื่อยๆ แตต่ไม่จบค่ะ

ข้อ 5 โดนใจมาก ค่ะ เป็นสิ่งที่ฉันพยามทำค่ะ บางทีเครียดมากๆ มันก็ยิ้มแบบเครียดๆ จนถูกเพื่อนฝรั่งล้อว่า เป็น fake siamese smile มีอะไรเกิดขึ้น ก็พยามยิ้มสู้นะคะ แต่มันคงปลงไม่ตกมั้ง ยิ้มมันเลยไม่อ่อนโยน สุดท้ายก็กลายเป็น ยิ้มสยามปลอมๆ ไป

ข้อ 9 กำลังพยายามทำทุกเช้าที่เดินมาทำงานค่ะ แต่รู้สึกว่าลมหายใจมันสั้นๆ ถี่ๆ พิกล รีบๆๆๆ

ข้อ 12 อันนี้พยายามทำใจมาปีหนึ่งแล้ว บางทีก็เฉยๆ บางทีก็กลับมาปี๊ดอีก เรื่องเดิมๆ ไม่รู้เมื่อไหร่จะเลิกจำ


ขอ แอดนะคะ จะได้แวะมาอ่านง่ายๆ


วันนี้ เเริ่มวันทำงาน วันนี้ด้วยธรรมมะขอ


โดย: O_Sole_mio วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:15:50:10 น.  

 
เรื่องราวธรรมะแบบนี้ น้อมรับไปปฏิบัติครับ

แม่ชีท่านเป็นคนที่ยิ้มสะอาดมากๆเลย...ช่างดูงดงามจริงๆครับ


โดย: หลานยายจุล วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:16:33:02 น.  

 
ธรรมสวัสดีค่ะ


โดย: ฟอ รอ ฟัน..โช๊ะๆ (ฟ้าคงสั่งมา ) วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:16:33:47 น.  

 
อ่านครั้งเดียวไม่ไหว ยาวมาก มากครับ
ไว้จะค่อยๆ แบ่งมาอ่านก็แล้วกันครับ


โดย: P Q BOY วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:17:20:03 น.  

 
เคยได้ยินแต่ชื่อท่าน วันนี้ได้มาอ่านสัมภาษณ์ได้ทราบแง่คิดและอะไรดีๆ อีกหลายอย่างเลยครับ

ขอบคุณที่้รวบรวมมาให้ได้อ่านกันครับ


โดย: กะได วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:18:56:06 น.  

 



ฝนเคยได้ยินเรื่องแม่ชีศันสนีย์มาคร่าวๆ เหมือนกันค่ะ ท่านเป็นผู้ที่เสียสละมากๆ

วันนี้อ่านไม่จบนะคะ ไว้จะมาอ่านใหม่ค่ะ แต่ยังไงก็ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ ที่เอามาแบ่งปันนะคะ


โดย: Malee30 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:21:06:49 น.  

 
เนื้อหาบล็อกของคุณน่าสนใจมากครับ
ขออนุญาติเก็บข้อเขียนของคุณไว้อ่านนะครับ


โดย: กะว่าก๋า (กะว่าก๋า ) วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:8:19:02 น.  

 
สาธุ อนุโมทนา


โดย: นายเจย์-JaYGUY (JaYGUY ) วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:8:56:56 น.  

 
โหยเยอะมาก แต่จะพยายามอ่านให้หมดครับ..


ครั้งนึงแม่ชีฯเป็นนางแบบที่สวยมาก..


โดย: smartman หล่อสุดๆ วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:11:19:58 น.  

 
ปรัชญาแห่งธรรม...
ปฏิบัติได้ถือว่าหลุดพ้นจากทุกข์..


โดย: biggg วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:12:57:31 น.  

 
ผมไม่เคยรู้ว่าแม่ชีศันสนีย์เป็นคนมีชื่อเสียงมาก่อนเลยครับ เห็นครั้งแรกก็บวชเป็นแม่ชีแล้ว

อ่านดูเห็นว่าท่านบวชมา 25 ปีแล้ว ก็สมควรอยู่หรอกครับที่ผมจะไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้น ท่านเคยทำอะไรมาก่อน

ตอนนั้นยังเรียนประถมอยู่เลย


อ่านแล้วรู้สึกดีครับ พูดคุยเรื่องธรรมะด้วยภาษาง่ายๆ สบายๆ ไม่ยุ่งยาก


โดย: คนทับแก้ว วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:15:33:36 น.  

 
อื้ม..พี่สินไปเสถียรธรรมสถานมายัง เงียบ สุขสงบดี ชอบครับ
ไว้น้องมาอ่านละเอียดอีกทีนะ ตระเวณทักทายเพื่อนๆก่อนครับ


โดย: เงือกลม วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:16:48:03 น.  

 
จำได้ว่าดูแม่ชีไปช่วยคนที่เป็นมะเร็งใกล้ตายให้หายจากควมเจ็บปวด ฟังคำพูดของท่านแล้วประทับใจมากครับ รูสึกดีมากจริงๆ ครับ บทความพี่สินคราวนี้ยาวจริงๆ อ่ะ อ่านไม่ครบทุกอันอ่ะคร้าบ


โดย: Due_n IP: 125.24.240.210 วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:23:21:43 น.  

 
เราชอบท่านมากค่ะ
ดูเป็นคนใจดีจังเลยค่ะ
สงบนิ่งเยือกเย็น
สาธุค่ะ

วันนี้คือวันพระค่ะ
วันนี้คือวันหนึ่งที่เราระลึกถึงค่ะ
ขอนำบุญและความรู้สึกที่สำนึกมามอบสู่เพื่อน
ในวันที่ทำใจได้สงบค่ะ

ความยึดมั่นถือมั่นนั้นแหละ ให้ความเจ็บปวด
ยึดมั่นในสิ่งใด ก็มีความทุกข์ในสิ่งนั้น
โง่เขลาต่อสิ่งใด มันก็ไปยึดมั่นในสิ่งนั้น
มันก็ถูกสิ่งนั้นกัดเอา คือทำให้เกิดทุกข์

อนุโมทนา ค่ะ






โดย: catt.&.cattleya.. (catt.&.cattleya.. ) วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:10:23:06 น.  

 
รู้สึกดีมากที่ได้ข้อมูลดีๆแต่ถ้าอยากรู้มากๆกว่านี้ต้องเข้า
ไปดูที่ เวป ของเสถียรธรรมสถานได้นะครับผมอ่านประจำ
แม่ชีท่านเป็นบุคคลที่สุดยอดจริงๆครับ ทุกท่านที่ได้อ่าน
ขอให้มีความสุขมากๆนะครับเราเกิดมาโชคดีนะที่มีบุคคล
ดีๆมาแนะนำทางสว่างให้กับเราผู้มีสิ่งแวดล้อมที่วุ่นวายใน
ปัจจุบันนี้ ขอบคุณเจ้าของเรื่องนี้นะครับ


โดย: หมอแคน IP: 124.120.161.99 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:14:27:16 น.  

 
ชื่นชมท่านมานาน มาอ่านจากตรงนี้ก็ได้อะไรดีๆไปอีกเยอะ วันไหน ร้อนรน วันไหน ทุกข์ใจ วันไหน ไม่เป็นสุข ผมจะแวะมาเติมสติบ่อยๆครับ ผมอาจจะไม่สามารถนั่งภาวนาได้ครบ แต่แค่ได้อ่านข้อความข้างบน สติก็เกิดเยอะแล้วครับ จะพยายามเป็นคนดีมีสติให้ได้อย่างที่แม่ชีสอนนะครับ

ขอบคุณที่เอาบทความดีๆมาให้อ่านครับ


โดย: ป้อจาย วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:14:55:23 น.  

 
สวัสดีครับพี่สิน

พ่อผมเคยเล่าเรื่องแม่ชีศันสนีย์ ให้ผมฟัง พ่อชอบมาก ๆ ผมก็จำแต่ชื่อ แต่เรื่องราวไม่ค่อยได้จำ

ขอบคุณครับพี่สินที่เอาเรื่องของท่านมาลงอย่างละเอียดเลย

เดี๋ยวมืด ๆ พ่อกลับมา ผมจะให้พ่ออ่าน จะให้อ่านกันทั้งบ้านเลยครับ เรื่องท่านน่าสนใจมากๆ

ขอบคุณครับ
อ่า...แล้วผมเพิ่งขะขยับบล้อกวันนี้ แช่เย็นไปนานหน่อยครับพี่สิน


โดย: basbas วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:16:13:15 น.  

 
สาธุจ้ะ


โดย: วีทีอาร์ วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:16:36:04 น.  

 
ชื่นชมแม่ชีท่านค่ะ

ท่านกล่าวได้ดีมาก เข้าใจง่ายค่ะ

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ ที่นำมาบอกค่ะ



โดย: law of nature IP: 81.106.200.74 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:17:31:33 น.  

 

ป้าเอา..ชอก..โก..แล๊ด..มาฝากค่า...
พรุ่งนี้มาอ่านนะคะ
วันนี้แสบตาแว้วว
ขอพักก่อนน้า



โดย: ป้าหู้เองค่ะ (fifty-four ) วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:1:08:57 น.  

 

ยาวมาก ขอแปะ แล้วเข้ามาอ่านใหม่อีกรอบน่ะค้า อิอิ....


โดย: fluffyboy101 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:11:30:50 น.  

 
ชอบวิธีการตอบคำถามของท่านค่ะ ช่วงกลาง


โดย: MDA วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:12:13:54 น.  

 


A Walk of Wisdom



โดย แม่ชีศันสนีย์
นำมาจากคอลัมน์หนึ่ง ใน น.ส.พ.คม ชัด ลึก ประจำวันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 48







ภาพยนตร์สารคดีเรื่องหนึ่งเพิ่งจะฉายจบลงเมื่อครู่ที่ผ่านมา บรรยากาศหน้าโรงภาพยนตร์คลาคล่ำไปด้วยศิลปินนักแสดงและบุคคลสำคัญในฮอลลีวู้ดกว่า 350 คน ที่มีโอกาสได้เข้าชมซึ่งต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “คุณจะต้องดูนะ คุณจะต้องดูให้ได้นะ” กับอีกกว่า 200 ชีวิตที่พลาดโอกาสได้ดู เนื่องจากที่นั่งมีเพียงจำกัด ทำให้เกิดเสียงเรียกร้องให้เปิดรอบพิเศษ ในค่ำวันนี้ ขึ้นใหม่…ข้าพเจ้ากำลังหมายถึง วันที่ 30 มกราคม 2548 ที่ภาพยนตร์เรื่อง A Walk of Wisdom เปิดฉายครั้งแรกที่โรงภาพยนตร์เมโทร 4 ณ เมืองซานตาบาบาร่า ประเทศสหรัฐอเมริกา


ซานตาบาบาร่าเป็นเมืองที่สวยงามมาก เพราะเป็นเมืองชายทะเล แต่อีกด้านหนึ่งถูกโอบล้อมด้วยภูเขา ซึ่งเป็นผลให้เมืองนี้ติดอับดับเมืองที่มีผู้คนที่มีความพร้อมทั้งเรื่องฐานะ ความรู้ และจิตใจ ที่จะทำเพื่อสังคม และเพื่อโลก


งาน Films Festival ก็เป็นงานที่พวกเขาให้ความสำคัญ และคนจากทั่วประเทศ ก็เดินทางมาร่วมงานกันอย่างคึกคัก โดยงานในครั้งนี้ เป็นการจัดครั้งที่ 20 ในนาม Santa Barbara Films Festival 2005 และบุคคลสำคัญที่เข้าร่วมชมภาพยนตร์ ก็ล้วนแต่สนใจในภาพยนตร์ในเชิง Spiritual Entertainment ทั้งสิ้น


อาทิ สตีเว่น ไซมอน ผู้กำกับหนังเรื่อง What Dreams May come และ Somewhere in Time ซึ่งได้ให้ทัศนะว่า “หนังเรื่อง A Walk of Wisdom เป็นเรื่องราวของผู้หญิงที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่ง สร้างได้อย่างงดงาม น่าประทับใจ และมีพลังมาก โดยผู้หญิงที่น่าทึ่งชื่อ วิกตอเรีย ฮอล์ท”


(แม่ชีศันสนีย์ บอกว่า วิกตอเรีย ฮอล์ท เป็นนักข่าวสาวที่เมื่อได้สัมภาษณ์ข้าพเจ้า ในงานการประชุมที่เจนีวาแล้ว เธอใช้คำว่าเธอหลงรัก เพราะตั้งแต่นั้นมา เธอติดตามงานเรื่องจิตวิญญาณของข้าพเจ้ามาโดยตลอด และขออนุญาตที่จะทำสารคดีชีวิตของข้าพเจ้าขึ้น ซึ่งกินเวลาสร้างประมาณ 2 ปี )

“…วิกตอเรีย ฮอล์ท เธอได้นำแสงสว่างผ่านเรื่องราวชีวิตของคนๆหนึ่ง และนำเสนอในช่วงเวลาที่เหมาะสมกับเหตุการณ์โลกปัจจุบัน ราวกับได้รับการชี้นำจากอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ หนังเรื่องนี้เป็นหนังสารคดีที่ให้ความปลื้มปีติและตื้นตันใจได้มากที่สุดเรื่องหนึ่ง ซึ่งผมไม่เคยเห็นมานานแล้ว”


ในขณะที่ลารี่ ทอมสัน ผู้กำกับหนังในฮอลลีวู้ด และ ผู้จัดการส่วนตัวของดาราดังกว่า 200 คน ได้วิจารณ์สั้น ๆ ว่า “สารคดีที่เป็นแรงบัลดาลใจ เรื่อง A Walk of Wisdom กำกับโดยวิกตอเรีย ฮอล์ท ไม่เพียงแต่เข้าถึงผู้ชมทั่วโลกเท่านั้น แต่ได้เข้าไปอยู่ในใจของพวกเขาด้วย”


ลินซี่ แวกเนอร์ ดาราฮอลลีวู้ดชื่อดัง ผู้เป็นกัลยาณมิตรของข้าพเจ้า ให้คำจำกัดความภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า “เป็นหนังที่งดงามที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขที่ทุกชีวิตโหยหา โดยผ่านคนคนๆหนึ่งที่ให้ทั้งชีวิตของเธอและสละความมีตัวตน เพื่อเข้าถึงความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข”


ไม่ต่างจากทัศนะของ ลินดา เกรย์ นักแสดงหญิง และทูตสหประชาชาติ ที่ว่า “วิกตอเรีย ฮอล์ทได้นำหัวใจและจิตใจของชีวิตที่งดงามของเทวดาออกมานำเสนอ เป็นหนังเกี่ยวกับผู้หญิงที่โดดเด่นมาก ในการเป็นผู้นำที่เป็นแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตของเราทุกคน เรื่อง A Walk of Wisdom เป็นการนำเสนอที่สมบูรณ์มาก เต็มไปด้วยการถ่อมตัว และตื้นตันที่คุณอดไม่ได้ที่จะชื่นชมและเดินตามผู้หญิงที่ไม่ธรรมดาคนนี้ ในทุกย่างก้าวที่สงบและสง่างามของเธอ”


และ แอเรียส ฟอร์ด ผู้จัดการสื่อสารมวลชน ซึ่งวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่อง A Walk of Wisdom เป็นหนังที่งดงามซึ่งจะพา และนำคุณไปสัมผัสกับโลกแห่งความรัก และความเมตตาของนักบวชชื่อแม่ชีศันสนีย์ เสียงหัวเราะของแม่ชีศันสนีย์ ที่ทำให้คุณจะอดไม่ได้ที่จะหัวเราะตาม ความอบอุ่นของท่านจะกระโดดจากจอเข้าไป อยู่ในหัวใจของคุณ”


ภาพยนตร์สารคดีที่ถูกส่งเข้าประกวดในครั้งนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 150 เรื่อง โดยผ่านการคัดเลือกรอบแรก 90 เรื่อง และรอบสุดท้ายเหลือเพียง 10 เรื่อง ....A Walk of Wisdom คือ 1 ใน 10 เรื่องนั้น และเป็นเรื่องที่ถูกคาดหมายว่าจะได้รับรางวัล


A Walk of Wisdom เป็นภาพยนตร์สารคดีชีวิต ที่บรรจุเรื่องราวของความรัก ความเมตตา และการให้อภัยไว้เต็มเปี่ยม ผ่านการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายของนักบวชในพุทธศาสนา ทำให้คนอเมริกันเข้าใจคำสอนในพระพุทธศาสนา โดยการมองผ่านชีวิตของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง เรียกได้ว่า เขาสามารถเข้าใจธรรมะในการสื่อสาร ผ่านการชม A Walk of Wisdom สิ่งที่เกิดขึ้นนี้กำลังยืนยันหรือไม่ว่า คนในสังคมกำลังต้องการการเรียนรู้ชีวิต ที่จะเข้าใจโอกาสที่ตัวเองได้รับ และการให้ความรู้เรื่องชีวิตผ่านภาพยนตร์นั้นเป็น Spiritual Entertainment ที่ทำให้คนเข้าถึงธรรมในวิถีชีวิตประจำวัน ได้อย่างง่ายดายขึ้น


วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 เราก็จะรู้กันว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้จะถูกตัดสินให้ได้รับรางวัลหรือไม่ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ารู้ และไม่ต้องรอให้ใครตัดสินก็คือ ข้าพเจ้าได้เลือกแล้วที่จะเดินบนหนทางนี้ และตระหนักรู้ว่า หนทางที่เลือกนี้เป็นหนทางที่ถูกต้อง เราจะไม่หลงทาง ถ้าเราไม่หลงอารมณ์ ขอให้ท่านเลือกหนทางในชีวิตของท่าน และเคารพหนทางที่ท่านเลือก อย่าให้สิ่งที่เลือกนั้นนำความทุกข์มาสู่ชีวิตท่าน


และไม่ว่าเรื่องนี้จะถูกตัดสินไปในลักษณะใด ในความเห็นของข้าพเจ้าแล้ว...คนไทยควรจะได้ดู!!!


ธรรมสวัสดี


โดย: yyswim วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:16:19:18 น.  

 

กุมภีณ.......นายเข้ามาเยี่ยมแทบจะทันทีที่อัพบล๊อกเลยครับ ขอบคุณมาก

เรื่อง หากอ่านไม่หมด อ่านไม่จบนี่ เป็นเรื่องปกติของคนที่เข้าในบล๊อกนี้ครับ แค่เข้ามาคลิกผ่านๆ ก็ยินดีแล้วละครับ

รายการเช้ามืดที่แม่ชีศันสนีย์มาออกรายการในทีวี ผมเคยอ่านเจอครับ แต่ยังไม่เคยเปิดดู เพราะเป็นประเภทคนนอนดึก ทราบว่ามีสั้นๆไม่กี่นาที ใช่มั๊ย


คุณปลายปัญญา.....เรื่องค่อนข้างยาว จริงด้วย

การเซฟเก็บไว้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจครับ เพราะพรุ่งนี้ก็จะอัพบล็อกเรื่องใหม่ อีกเรื่อง


Merf……แม่ชีท่าน ยิ้มสวยน่ามอง ท่านใจดี มีเมตตากรุณา และพูดเพราะครับ น่าจะเป็นแบบอย่างที่กุลสตรีไทยควรจะพิจารณาท่านเป็นแม่แบบ

แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต มีชื่อนามสกุลเดิม คือ "ศันสนีย์ ปัญญศิริ" เป็นคนชาวบางปะหัน อยุธยา มีชื่อเล่นว่า "ตุ๊กตา" เป็นลูกสาวคนเล็กท่ามกลางญาติพี่น้องหญิงล้วน 5 คน เมื่อเติบโตขึ้น ก็ได้เข้ากรุงเทพฯ เพื่อมาเรียนต่อระดับปริญญาตรี และได้เข้าสู่วงการนางแบบ และได้เป็นรอง มิสออด๊าซ ควบรางวัล นางงามบุคลิกภาพ ด้วย


มีใครเคยได้ยินประกวด มิสออด๊าส ในอดีตบ้าง? ผู้เคยได้รับตำแหน่ง มิสออด๊าส ดังๆก็เช่น เพ็ญพักตรื ศิริกุล เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ คนละปีกันนะครับ


คุณศันสนีย์ ปัญญศิริ เธอโลดแล่นเป็นดาวเด่นของสังคมยุคนั้น จนได้พบรักกับหนุ่มใหญ่ เสถียร เสถียรสุต มหาเศรษฐีเจ้าของเพลินจิตอาเขต ...มีใครรู้จักเพลินจิตอาเขตบ้าง? ... ซึ่งเป็นรักแรกและรักเดียวของ คุณศันสนีย์ แต่ความรักนี้กลับไม่สมหวัง เมื่อรู้ว่าฝ่ายชาย มีครอบครัวอยู่แล้ว...




โดย: yyswim วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:16:21:20 น.  

 

คุณลิลลี่.....ผมก็กลัวว่าหลายคนจะเบื่อ ไม่อยากจะเข้าบล๊อกผม เพราะเรื่องแต่ละเรื่องจะยาว และโหลดนานครับ

บล็อกเรื่องพรุ่งนี้ ไม่ทราบคุณจะกล้าเข้ามามั๊ย? แต่พรุ่งนี้ จะมีรูปสวยครับ

....ฮั่นแน่ ชมตัวเองวู๊ยยย


คุณปอ......หวัดดีครับ คุณสนใจ ข้อ5 ยิ้ม, ข้อ9 ความเปลี่ยนแปลงกับธรรมชาติ ข้อ12 หยุดความโกรธ น่าสนใจทั้งสิ้นเลยครับ

เรื่องตอนที่ถัดจากที่คุณสนใจ คือตอน วอนแม่ชีช่วยแนะนำทางออก ...น่าอ่านนะครับ ผมชอบตอนนี้มาก


หลานยายจุล......นาย ใจตรงกะ merf เลย ที่บอกว่าแม่ชียิ้มสะอาด น่ามอง

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมบ่อยๆครับ


โดย: yyswim วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:16:44:10 น.  

 

คุณฟ้าคงสั่งมา…..ธรรมสวัสดีครับ แวะนั่งพักให้หายเหนื่อยก่อนซิครับ


คุณPQBoy……เชิญอ่านแบบทยอยอ่านนะครับ ไม่ต้องรีบเร่ง

วันหน้า หากจะค้นหาหน้าจอนี้ ..เลือกคลิกทางด้านขวา ที่เขียนว่าบล๊อกล่าสุดนะครับ


กะได…..ขอขอบคุณคุณกะไดด้วยที่แวะเข้ามาอ่าน


โดย: yyswim วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:17:50:20 น.  

 

คุณน้ำฝน……จะทยอยอ่าน ..ได้ครับ อ่านแบบใจเย็นๆ ดีครับ ไม่สำลักธรรม


คุณกะว่าก๋า……ชื่อนี้เจ๋ง แปลว่า ก๋าก๋า … หุหุ

เชิญเซฟไว้ได้เลยครับ ขอบคุณที่ชอบ

บล็อกเรื่องหน้าก็น่าเซฟอยู่ครับ … อิอิ ภาพมันสวย


นายเจย์……ธรรมสวัสดี ขอบคุณนะคร้าบ


โดย: yyswim วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:17:59:16 น.  

 

smartman……สมัยแม่ชีเป็นนางงาม และนางแบบ ผมพยายามจะหารูปในสมัยนั้นที่มีขนาดใหญ่ แต่หาไม่ได้ครับ

คุณsmartman เคยเห็นจากที่ไหนเหรอครับ โชคดีจริงครับ



Bigg……ขอบคุณที่นาย นำ “ปรัชญาแห่งธรรม ปฏิบัติได้ถือว่าหลุดพ้นจากทุกข์” ...มามอบไว้ในบล็อก


คนทับแก้ว……ในกลุ่มญาติธรรม แม่ชีศันสนีย์ท่านเป็นที่รู้จักมากครับ ผมขออนุญาตเปรียบเทียบกับระดับคุณหมอพรทิพย์ทีเดียว แม่ชีท่านแสดงธรรมและสนทนาตอบปัญหาธรรม ที่เสถียรธรรมสถาน เขียนคำสอนลงในหนังสือ สาวิกา, พูดในรายการวิทยุ สาวิกา, ท่านเป็นผู้ก่อตั้งโครงการบ้านสายสัมพันธ์, โครงการเยี่ยมผู้ต้องขังหญิงมีครรภ์, ท่านจัดตั้งกองทุนแจกของส่องตะเกียง, ท่านเป็นวิทยากรรับเชิญในที่สาธารณะต่างๆ ท่านมักถูกสัมภาษณ์ลงในนิตยสารสตรีชั้นนำ และได้รับเชิญออกรายการโทรทัศน์ทั้งในประเทศและในต่างประเทศ ...

ผมเดาเอาว่า คนทับแก้วยังไม่เคยไปเสถียรธรรมสถาน ที่ซอยวัชรพล มังครับ


โดย: yyswim วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:18:18:43 น.  

 

เงือกลม…..พี่เคยไป2-3ครั้งครับ เคยยืนใกล้ๆแม่ชีศันสนีย์ แต่แค่ไหว้ครับ ไม่มีโอกาสคุยด้วย ..ไปทุกครั้ง ก็จะไปกับคุณแม่ อิอิ เป็นคนขับรถ

ช่วงนี้ ตระเวนทักทายเพื่อนๆ เหอ ….ขอฝากด้วย ฝากทักทายด้วย


ดิว…….แม่ชีท่านเป็นผู้ปฏิบัติธรรมจริงๆ แม้พี่จะไม่ได้เห็นเหตุการณ์ที่แม่ชีไปช่วยคนที่เป็นมะเร็งใกล้ตายให้หายจากความเจ็บปวด แต่ก็เดาได้ว่า คงจะประทับใจ เพราะคำสอน และคำปลอบของแม่ชีท่าน ออกมาจากใจที่บริสุทธิ์และมีเมตตา

เรื่องนี้ยาว ใช่ครับ ดิว แต่พี่ไม่อยากจะตัดทอนตอนใดๆ คือหวังว่าจะมีเพื่อนๆ หรือนักศึกษาอาจจะเซฟแบบเต็มๆเอาไว้


คุณแคท……สาธุ ขออนุโมทนาบุญด้วย …

ความยึดมั่นถือมั่นนั้นแหละ ให้ความเจ็บปวด

ขอบคุณครับ


โดย: yyswim วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:18:34:07 น.  

 

หมอแคน……ขอบคุณนะครับที่แนะนำให้เข้าไปในเว๊บเสถียรธรรมสถาน

บางตอนบางเรื่องที่นำมาลงในวันนี้ ก็คัดมาจากในเว๊บนี้ ครับ


ป้อจาย…….ขอบคุณที่นายชอบเรื่องนี้ วันนี้ ผมเข้าตอบเมนต์บล็อกตัวเองค่อนข้างช้า เพราะที่ทำงาน เน็ตกำลังมีปัญหา จะเข้าไปเยี่ยมบล็อกของเพื่อนๆก็ไม่ได้

เรื่องจะส่งรูปไปให้นายทางเมล์ ก็ยังไม่สามารถส่งได้เหมือนกัน อิอิ มีคนรีพลายกลับมา


น้องบาส…..พี่สินยังไม่ได้ไปเยี่ยมบล็อกของน้องเลย คงจะเขียนดีตามเคย เดี๋ยวจะไปนะครับ

คุณพ่อของน้องบาสครับ จะไม่ลองร่วมเขียนความคิดเห็นสัก 5 – 6 เรื่องในบล๊อกของน้องบาสหรือครับ เขียนเรื่องในที่ทำงานก็ได้ เขียนเล่าสนุกๆนะครับ ไม่ได้ตังค์ แต่ก็สนุกตื่นเต้นดี …ผมพร้อมจะมาอ่าน


คุณวีทีอาร์…….ธรรมสวัสดีครับ


โดย: yyswim วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:18:55:43 น.  

 

คุณเน……ขอบคุณครับที่คุรเน ชอบเรื่องวันนี้


ป้าหู้…….พรุ่งนี้(วันนี้)ป้าหู้เข้ามา งั้น ผมขอขอบคุณป้าหู้สองรอบเลย

ถ้าเข้ามาพรุ่งนี้ จะเปลี่ยนบล็อกเรื่องใหม่แล้วครับ ป้าหู้


น้องบัว…..อุอุ น้องบัวจะเข้ามาอ่านธรรมะอีกรอบ น่ารักจังนะ น้องเรา


โดย: yyswim วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:19:02:06 น.  

 

คุณmda…..ช่วงตอบคำถาม “วอนแม่ชีช่วยแนะนำทางออก” #16 - # 27 เป็นหนึ่งในสองช่วง …ที่ผมชอบมากของบล็อกนี้ครับ

อีกช่วงหนึ่ง ก็คือ ช่วง “ศิษย์พร้อมใจประกาศส่งเสริมธรรม” # 62 เสียงจากศิษย์คนหนึ่ง ข้อ 1-7 ที่อยู่ส่วนท้ายสุดของบล๊อก



โดย: yyswim วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:19:10:45 น.  

 
ขอบคุณที่ไปเยี่ยมผมนะครับ

ขอให้คุณมีความสุขมากๆๆ


โดย: น้องปลายชายอ้วน วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:22:18:11 น.  

 
ขอบคุณนะครับสำหรับเรื่องราวธรรมะที่นำมาฝาก ได้อ่านแล้วทำให้ผมได้อะไรหลายอย่าง ที่สำคัญทำให้จิตใจอิ่มเอิบ ยิ้มได้ แม้นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์คนเดียวก็ตาม จะแวะมาอ่านบ่อยๆ นะครับ ธรรมสวัสดีครับ


โดย: weerapong_rx วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:23:56:10 น.  

 
สวัสดีคะ ขอบคุณที่ไปเยี่ยมนะคะ

ชีวิตเราก็ไม่มีอะไรให้เล่ามากมายหรอกคะเพียงแต่เดินทางไปตามที่ต่างๆแล้วคิดว่าน่าสนใจก็มาเล่าสู่กันฟังมากกว่าคะ

ส่วนเรื่องซื้อ PT เนี่ย ไม่ซื้อแล้วล่ะคะเพราะก็สกัดดาวรุ่งไปแล้วว่าอย่ามาขาย PT อีกนะไม่ชอบ อิอิ เรื่องติด PT ก็ติดคะ แต่เจอกันข้างนอกก็ได้คะไม่จำเป็นต้องซื้อเวลาให้เค้ามาสอนแล้วคะ เรียนมาเยอะแล้ว ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ

อิอิ มีความสุขในวันแห่งความรักนะคะ แล้วแวะมาเยี่ยมอีกนะคะ


โดย: Lilly (supremeking ) วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:9:43:50 น.  

 
เคยได้ยินชื่อของแม่ชีและสถานที่มานาน
เมื่อวานเพิ่งมีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมเวบไซต์ พอตกกลางคืนมีกลุมศิลปินไปจัดงานที่นั่นด้วย น่าสนใจค่ะ
สงสัยว่าต้องแวะไปเยี่ยมบ้างแล้ว


โดย: mda IP: 203.159.12.15 วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:10:07:24 น.  

 
ธรรมสวัสดีค่ะ

มีโอกาสได้ไปพักค้างที่เสถียรธรรมสถานมา 2 ครั้ง โดยอ่านจากหนังสือของคุณแม่ และได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยที่ไปเป็นอาสาสมัครที่เสถียรธรรมค่ะ
ไปแล้วจิตใจสงบมาก ได้เห็นด้วยตาและได้รู้สึกด้วยหัวใจ ว่าความทุ่มเทของคนทำงานอย่าง คุณแม่และคณะ ได้สร้างเสถียรธรรมสถานให้เป็นที่พักใจและสร้างความสงบสุขในชีวิตให้กับคนอีกหลายๆคนเลยค่ะ

นึกถึงครั้งใด จิตใจสงบเมื่อนั้นค่ะ


โดย: ดูดีดี ดูไม่ดีไม่ต้องดู วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:16:29:18 น.  

 
ลืมค่ะ

เพราะคุณแม่ชี แจงถึง "ยิ้มออกมาจากหัวใจได้" ค่ะ



โดย: ดูดีดี ดูไม่ดีไม่ต้องดู วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:16:30:30 น.  

 
เคยไปปฏิบัติธรรมประมาณ 4-5 วัน รู้สึกดีมากๆ ทุกคำพูดของคุณแม่แสดงถึงไมตรีจากใจอย่างแท้จริง เป็นความรู้สึกที่อบอุ่น ใจเบา สว่าง รู้สึกสบายอย่างแท้จริง บรรยากาศของธรรมชาติที่ร่มรื่นขัดกล่อมใจ ให้สบายอย่างมาก กำลังหาโอกาสไปอีก


โดย: vishnu วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:22:42:10 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

yyswim
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]





บล็อกสรรสาระนี้ จขบ.ไม่ได้เขียน-ไม่ได้ถ่ายภาพ-ไม่ได้อัพโหลดคลิปเอง หากแต่ทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการบล็อก เสาะหาเรื่องดีๆ รูปสวยๆ คลิปแปลกๆ มาไว้ในบล็อก


ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยม ขอเชิญชมหรืออ่านตามสบาย ไม่ต้องคอมเมนต์ก็ได้ จขบ.ชอบการเข้ามาเยี่ยม แบบกันเอง ง่ายๆ สบายๆ




เริ่มเขียนBlog เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2548


เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2550 เวลา 23.30 น.


เริ่มนับจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชม




Latest Blogs

New Comments
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728 
 
8 กุมภาพันธ์ 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add yyswim's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.