ร้าน 100 Yen
ร้าน 100 Yen
100 Yen Shop ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2520 โดย นายฮิโรตาเก ยาโน ประธานบริษัท ไดโซ อินดัสเตรียล จำกัด ที่สามารถพัฒนาธุรกิจร้านค้าปลีก ราคาเดียว จนเติบโต
ยอดขายทั่วโลกในสิ้นปี 2548 ประมาณ 120,000 ล้านบาท(อ่านว่า หนึ่งแสนสองหมื่นล้านบาท) มีสาขารวมทั้งสิ้น 3,100 สาขา แยกเป็นอยู่ในญี่ปุ่น 2,700 สาขา และเป็นสาขาในต่างประเทศรวม 16 ประเทศ จำนวน 400 สาขา
สาขาในต่างประเทศ เฉพาะเอเชีย ตอนนี้มี 6 ประเทศ ได้แก่ ไต้หวัน เกาหลี สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง และประเทศไทย
ซึ่งตอนนี้มีอยู่ 7 สาขา ภายใต้ชื่อ ร้านไดโซ ตัวอย่างเช่น
ร้านไดโซ สยามสแควร์
ร้านไดโซ เซ็นทรัลพระราม2
ร้านไดโซ เซ็นทรัลปิ่นเกล้า
และร้านไดโซ เซ็นทรัลบางนา เป็นต้น
ร้านไดโซ จะอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท ไดโซ ซังเกียว (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ ด้วยทุนจดทะเบียน 160 ล้านบาท มีผู้ถือหุ้นทั้งหมด 7 ราย ประกอบด้วย ไดโดมอน กรุ๊ป(ซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารไดโดมอน) ถือหุ้น 35% ไดโซ ซังเกียว ประเทศญี่ปุ่น 30% เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น 20% บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง 2% บริษัท สหพัฒนพิบูล 2% บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล 3.5% และ บริษัท อีโตชู แมนเนจเมนท์ ไทยแลนด์ 7.5%
นายชิซิโร ฟูคูด้า ประธานบริษัท ไดโดมอน กรุ๊ป เปิดเผยว่า ถ้าร้านไดโซประสบความสำเร็จ อนาคตก็จะขยายในรูปแบบของแฟรนไชส์ ไปยังต่างจังหวัด
ตอนนี้สินค้าที่วางจำหน่ายมีไม่ต่ำกว่า 5,000 รายการ เช่น เครื่องเขียน อุปกรณ์สำนักงาน ของใช้และเครื่องประดับกุ๊กกิ๊กของวัยรุ่น สินค้าในร้านจะเป็นสินค้านำเข้าทั้งหมด โดยมาจากญี่ปุ่นเป็นส่วนมาก
แต่จะมีบางรายการที่เป็นสินค้านำเข้าจากจีนและอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตที่ผลิตสินค้าส่งให้เฉพาะร้านเรา แต่สินค้าทุกชิ้นเรารับประกันความมีคุณภาพอย่างแน่นอน"
นายฟูคูด้า กล่าวต่อว่า สาขาแต่ละแห่ง บริษัทจะวางสินค้าให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายในทำเลนั้นๆ เช่น สยามสแควร์สินค้าที่ขายในร้าน ก็จะเกี่ยวกับวัยรุ่น แต่ถ้าเป็นห้างสรรพสินค้าจะมีความหลากหลายมากกว่า เพื่อจับกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพ่อบ้าน แม่บ้าน คนทำงาน โดยสินค้าที่นำมาจำหน่ายจะเป็นประเภทสินค้าเครื่องครัว เครื่องใช้สำนักงาน เป็นต้น
ทางด้านแผนการตลาด นางกานต์ชนก ลิขิตศิริทรัพย์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไดโซ ซังเกียว (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยเพิ่มเติมว่า
ไดโซจะเพิ่มหมวดสินค้าประเภทเครื่องสำอาง และขนมขบเคี้ยวให้มีมากขึ้น เพราะเป็นสินค้าที่ขายดีมาก และเพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มวัยรุ่น
และไดโซมีแผนการที่จะขยายตลาดเข้าไปในบริษัทต่างๆ ในฐานะผู้ส่งสินค้าพรีเมียมให้กับบริษัท เพราะเท่าที่ผ่านมา มีหลายบริษัทสั่งสินค้าในร้านไดโซ เพื่อจัดเป็นสินค้าแจกแก่ลูกค้าหรือพนักงาน ซึ่งสร้างยอดการจำหน่ายในกลุ่มนี้ได้ค่อนข้างมาก
"ที่จริงไดโซมีสินค้าแปลกๆหลายรายการ แต่คนยังไม่ค่อยรู้จัก เช่น เครื่องวัดครั้งการเดิน เราจึงมีนโยบายที่จะทำมุมสาธิตการใช้สินค้าต่างๆขึ้นในร้าน รวมทั้งจะทำแมกกาซีนรายละเอียดของสินค้าเพื่อแจกฟรี ซึ่งคาดว่าจะสร้างการรู้จักสินค้าให้กับลูกค้าและกระตุ้นยอดขาย
และยังมีแผนการที่จะวางเครื่องกระป๋องในร้านไดโซ ในอนาคตต่อไปด้วย"
สำหรับร้านไดโซในประเทศไทยที่ไม่สามารถขายราคาเดียว 100 เยนหรือ 60 บาท ได้นั้น เนื่องจากติดปัญหาเรื่องภาษีนำเข้าสินค้าที่มาจากหลายประเทศ จึงจำเป็นจะต้องตั้งราคาใหม่เพื่อให้สมเหตุผลกับต้นทุนที่แท้จริง แต่ก็ยังคงคอนเซ็ปต์เดิม คือมีหลายๆสินค้าราคา 60 บาท นางกานต์ชนกกล่าวส่งท้าย
รูปแบบการบริหารของ ร้านไดโซ โดยทั่วไปก็จะคล้ายกับร้านเซเว่นอีเลฟเว่น หรือร้านซูเปอร์สโตร์ทั่วไป ที่จะมีสินค้าใหม่พร้อมจะเข้าอยู่ตลอดเวลา และสินค้าที่ขายไม่ดีก็ต้องนำออกไป โดยปัจจุบันมีสินค้าที่พร้อมกระจายเข้าร้านอยู่ประมาณ 85,000 รายการ
สำหรับสินค้าไทยก็นับเป็นสินค้าใหม่ที่จะเข้าสู่กระบวนการคัดสรร ภายใต้คุณสมบัติ 3 ประการอย่างที่รับรู้กัน คือ คุณภาพ ปริมาณ และราคาถูก โดยฝ่ายจัดซื้อของไดโซ
หลายฝ่ายมองว่าเป็นเรื่องยาก ที่ศักยภาพของโอท็อป จะเข้าไปในร้านที่มีสาขามากๆอย่างนี้ได้ หน่วยงานรัฐไม่ว่าจะเป็น สสว. กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรมการพัฒนาชุมชน กรมส่งเสริมการส่งออก เอสเอ็มอีแบงค์ ต่างพร้อมใจกันเดินหน้าขับเคลื่อนสินค้าโอทอปอย่างเต็มกำลัง ไม่ว่าจะยากสักแค่ไหน? เพราะโอกาสมาแล้ว โดยพัฒนาทั้งในเรื่องดีไซน์ คุณภาพ และมาตรฐาน
"เมื่อก่อนปัญหาสำคัญของโอท็อป คือ ไม่มีตลาด มีความสามารถในการผลิตแต่ไม่รู้ว่าจะขายใคร ขายที่ไหน แต่ปัจจุบันเรารู้แล้วว่าตลาดเราอยู่ที่ไหน ต้องการอะไร เขาบอกมาเลย ว่าเขาต้องการสินค้าแบบนี้ คือ มีคุณภาพ ปริมาณสูง และราคาถูก เมื่อเรารู้ความต้องการของผู้ซื้อชัดเจนเช่นนี้ หน้าที่ของเราคือ ถ้าอยากขายสินค้าก็ต้องพัฒนาและต้องทำให้ได้"
แวน สาระสินธุ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท International Business Alliances ผู้บริหารคนหนึ่งของโครงการโอทอป กล่าวเสริมและกล่าวต่อว่า
โอกาสที่โอทอปไทยจะโกอินเตอร์น่าจะเห็นเป็นรูปธรรมในเร็ววันนี้
"ร้านไดโซเกิดมานานแล้ว แต่ซื้อสินค้าไทยมูลค่านิดเดียว ที่ผ่านมาอาจจะเป็นเพราะผู้ผลิตของไทยเข้าไปไม่ถึงผู้ซื้อ แต่ตอนนี้เรารู้จักเขาแล้ว ถ้าปรับวิธีคิด วิธีทำ นำเอาเรื่องดีไซน์เข้ามาช่วย ก็มีโอกาส และที่สำคัญการส่งสินค้าเข้าร้าน100 เยน ไม่จำเป็นจะต้องขาย 100 เยนเสมอไป ในร้าน 100 เยน มีขายสินค้าตั้งแต่ราคา 100 เยน ไปจนถึง 1,000 เยน" แวน สาระสินธุ์ กล่าว เพราะฉะนั้น อย่ามองเรื่องราคาเป็นปัจจัยสำคัญ แต่ให้มองที่โอกาสทางการตลาด ตลาดมันมาถึงมือแล้ว ควรจะรีบคว้าเอาไว้
Create Date : 07 มีนาคม 2549 |
|
44 comments |
Last Update : 7 มีนาคม 2549 18:09:57 น. |
Counter : 4525 Pageviews. |
|
|
|
|
เทรนด์ของขวัญวัยรุ่นในปีนี้ มีสีสันกระจุ๊กกระจิ๊กตามวัยใสๆวัยทีนส์ ซึ่งนักการตลาดต่างฟันธงว่า นี่คือกลุ่มทำเงินรายได้ใหญ่สุด ไม่ใช่พวกผู้ใหญ่วัยทำงาน หรือพวกหนุ่มสาวววัย 30 อัพ
ชิ้นที่ขายได้ตลอดกาล หนีไม่พ้นเจ้า "ตุ๊กตาหมี" ถามใครๆก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าชอบ ถามร้านค้าก็ตอบว่าพวกนี้ขายได้เรื่อยๆ รองลงมาก็เป็นการ์ดสวยๆข้อความดีๆ ต้นไม้กระถาง ของตกแต่งบ้าน เครื่องประดับน่ารักๆ กระเป๋าสตางค์ เสื้อ และหนังสือ ซึ่งจะขายชิ้นใดมากน้อยก็ขึ้นกับเทศกาลด้วย ทุกร้านจึงต้องมุ่งสรรหาของอินเทรนด์ให้ทันสมัยตลอดเวลา
อย่างร้านไดโซ "ร้อยเยน" แถวสยามสแควร์จะรวบรวมสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่น กุ๊กกิ๊กอะโนเนะกว่า 5,000 รายการ ทุกชิ้นราคา 60 บาท อันนี้เป็นกลยุทธ์การขายเพื่อเรียกร้องความสนใจของกลุ่มวัยรุ่นด้วย
ผู้จัดการร้านไดโซบอกว่าในช่วงคริสต์มาส ต้นคริสต์มาสและอุปกรณ์ตกแต่งต้นคริสต์มาสขายดีสุดๆ ตามด้วยตุ๊กตาผ้ารูปถุงเท้า ตุ๊กตาแม่มด ตุ๊กตาเซรามิคนำโชค และการ์ดอวยพรต่างๆ ซึ่งก่อนช่วงปีใหม่ ทางร้านได้เตรียมสินค้าเพื่อให้เข้ากับเทศกาลเข้ามาจำหน่ายเพิ่มขึ้นอีกกว่านับร้อยรายการ
ของขวัญอีกประเภทที่กำลังฮิตฮอตมากก็คือ การถ่ายภาพแฟชั่นในสตูดิโอเพื่อเก็บไว้เป็นคอลเลคชั่นส่วนตัว ซึ่งสตูดิโอที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญและมีแรงดึงดูดลูกค้ามากสุดๆ ในย่านสยามสแควร์ คงหนีไม่พ้นร้าน "SHE @ MOOD" ของหนุ่มโอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายคนเดียวของท่านนายก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะเพิ่งเปิดให้บริการได้ไม่นาน แต่กระแสการตอบรับของวัยกรี๊ดล้นหลาม ต้องต่อคิวขอใช้บริการกัน
อัตราราคาค่าถ่ายรูปเริ่มต้น 370 บาท จะมีทั้งหมด 6 แอค หรือ 6 ท่า มีทั้งรูปจัมโบ้ 2 พี, 4 พี และ 8 พี ซึ่งถ้าต้องการอัดเพิ่มก็อยู่ที่ใบละ 15 บาท นอกจากนี้ยังแถมอินเด็กซ์ไว้ให้ดูเล่นอีกต่างหาก ส่วนสตูดิโอถ่ายภาพมีให้เลือกทั้งหมด 4 ห้อง เช่น ห้องลิฟวิ่งรูม ห้องบาร์ ห้องแฟนซี เป็นต้น ใครชอบบรรยากาศห้องไหนก็เลือกถ่ายที่ห้องนั้น เลือกบรรยากาศได้ตามความชอบ
น้องสา สาวน้อยหน้าใส บอกว่า ถ้าถามถึงของขวัญที่จะให้คนรู้ใจ เธอนึกถึงหมอนเพนต์ก่อนอื่น เพราะได้ทั้งดูและทั้งกอด ทำให้คิดถึงกันตลอดเวลา หรืออาจเป็นรูปเพนต์ในกระจก เด็กวัยรุ่นรุ่นเธอ ล้วนชอบมาก
จากการสอบถามร้านเอิงเอย ซึ่งเป็นร้านที่รับเพนต์รูป วาดภาพเหมือน และวาดการ์ตูนล้อเลียนในห้างบิ๊กซี ย่านรามคำแหง บอกว่า ช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่ จะมีออเดอร์สั่งทำสินค้ามาก แต่อย่างไรก็ตามถ้าเปรียบเทียบกับช่วงเวลาที่มีการรับปริญญาและช่วงวันวาเลนไทน์ ช่วงนั้นยอดของลูกค้าจะล้นหลามกว่า ราคาค่าจ้างเริ่มต้นที่ 99บาท - 4,000 บาท ระยะเวลาทำประมาณ 2-4 วัน แล้วแต่ความยากง่ายของชิ้นงาน.