ท่าเต้นในภาพยนตร์อดีต
ท่าเต้นในภาพยนตร์อดีต
บล็อกวันนี้ นับเป็นบล็อกที่ต่อเนื่องจากบล็อกที่แล้วก็ว่าได้ แต่มองเฉพาะ ท่าเต้น ในภาพยนตร์อดีต
ภาพยนตร์ เป็นศาสตร์และศิลปที่ผ่านกระบวนการถ่ายภาพการแสดง แล้วนำมาตัดต่อและตกแต่ง แล้วจึงนำออกฉาย โดยทั่วไปจะเป็นเรื่องราว นักแสดงจะได้รับการแต่งกาย แต่งหน้า มีบทให้พูด มีการกำกับการแสดงด้านสีหน้า อารมณ์ บทบาทท่าทาง รวมทั้งท่าทางการต่อสู้ และท่าทางการเต้นรำ มีการกำกับศิลปด้านฉาก อุปกรณ์ประกอบฉาก และอาจจะเลือกถ่ายทำในโลเกชั่นจริง มีการปรับปรุงแสงเพื่อการถ่ายทำ มีการบันทึกเสียง แล้วนำมาผนวกเอฟเฟคด้านภาพและเสียง ผนวกด้านดนตรีและเพลงในภายหลัง
ท่าทางการเต้นรำนั้น จะถูกกำกับการแสดงแบบเดียวกันกับการกำกับการแสดงท่าทาง และการกำกับการแสดงการต่อสู้ เพราะจะต้องสื่อเรื่องราวและสื่ออารมณ์ด้วย
บล็อกวันนี้ ขอเปิดตัวด้วยท่าเต้นจากภาพยนตร์ดราม่าเรื่องเล็กๆ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2000 คือประมาณ 10 ปีที่แล้ว เป็นภาพยนตร์ที่ไม่มีรางวัลออสการ์การันตี แต่เพราะ จขบ.ชอบ ก็เลยขอนำมาเปิดบล็อก
ภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ Center Stage (2000) กำกับโดย Sir Nicholas Robert Hytner ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับการแสดงภาพยนตร์และละครเวทีของประเทศอังกฤษ ท่านเซอร์เคยเป็นผู้อำนวยการศิลป แห่ง London's National Theatre มาก่อนด้วย
เนื้อเรื่องของภาพยนตร์ เกี่ยวกับหนุ่มสาวหลายคนที่เดินทางมาจากหลายเมืองเข้ามาสมัครเป็นสมาชิก American Ballet Academy แห่งกรุงนิวยอร์คซิตี้ แต่ละคนก็มาจากแบ็คกราวน์ที่แตกต่างกัน เมื่อได้รับการคัดเลือกผ่านรอบแรกเข้ามาแล้ว ก็ต้องมาถูกเคี่ยวเข็ญในเรื่องการซ้อมเต้นอย่างหนัก เพื่อตัดตัวออกให้เหลือเฉพาะผู้ที่เก่งจริงๆ
โลกแห่งอาชีพนักเต้นอาชีพ มีความยาก เหน็ดเหนื่อย และมีความเครียดสูง ทุกคนจะต้องแสดงศักยภาพของตนเองให้เหนือกว่าเพื่อนๆ เพราะจะต้องแข่งขันกันเอง และจะมีผู้ถูกตัดตัวออกอย่างแน่นอนโดยคณะกรรมการ
การเต้นในฉากสุดท้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นการเต้นที่สุดยอด ผสมผสานกับเรื่องราวการชิงรักของสองหนุ่มต่อหนึ่งหญิง หนุ่มหนึ่งคือดารานักเต้นรุ่นพี่ที่เธอเคยมีสัมพันธ์รักมาแล้ว และเขากำลังมีแผนจะเปิดละครเวทีพร้อมชักชวนเธอไปเป็นดารานำ กับอีกหนุ่มหนึ่งคือเพื่อนรักนักเต้นรุ่นเดียวกัน เขาซื่อและหลงรักเธอคนเดียว แต่เธอยังลังเลใจว่าชีวิตของเธอควรจะก้าวเดินไปในทิศทางใด ควรจะรับรักในช่วงเวลาที่เธอกำลังจะก้าวเป็นนักเต้นอาชีพหรือไม่
ขอเชิญชม
#1 Center Stage : Final Show ความยาว 9.29 นาที
ผู้ชายเสื้อขาวคือเพื่อนนักเต้นรุ่นเดียวกัน ผู้ชายเสื้อดำคือนักเต้นรุ่นพี่
ภาพยนตร์เรื่อง West Side Story (1961) เป็นภาพยนตร์ที่กำกับการแสดงโดย Robert Wise and Jerome Robbins ดัดแปลงมาจากละครเพลงบรอดเวย์ที่โด่งดัง ซึ่งตัวละครเพลงบรอดเวย์เองก็ดัดแปลงมาจากละครเช็คสเปียร์ Romeo and Juliet ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดย Natalie Wood, Richard Beymer, Russ Tamblyn, Rita Moreno และ George Chakiris
West Side Story เข้าชิงรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 34 ประกาศผลในปี ค.ศ.1962 เป็นภาพยนตร์ยุคก่อน ภาพยนตร์เรื่อง Lawrence of Arabia (1963) ภาพยนตร์เรื่อง My Fair Lady (1965) และ ภาพยนตร์เรื่อง The Sound of Music (1966) .....ในการตัดสินของปี ค.ศ. 1962 นั้น ภาพยนตร์ที่เข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้แก่ The Hustler ที่ พอล นิวแมน นำแสดง, The Guns of Navarone ที่ Gregory Peck, David Niven, และ Anthony Quinn นำแสดง เป็นต้น
West Side Story เป็นภาพยนตร์เพลงเรื่องยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของออสการ์ เพราะสร้างสถิติแปลกที่ไม่เหมือนใคร สามารถคว้ารางวัลออสการ์ได้มากที่สุด ในบรรดาภาพยนตร์เพลงด้วยกันเท่าที่มีการสร้างกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ สามารถคว้ามาได้ถึง 10 ออสการ์ ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม Robert Wise, กำกับการแสดงยอดเยี่ยม Jerome Robbins และ Robert Wise, นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม George Chakiris, นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม Rita Moreno, กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม, ถ่ายภาพยอดเยี่ยม, ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม, ตัดต่อยอดเยี่ยม, ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม, และ เพลงยอดเยี่ยม
นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม George Chakiris (เสื้อแดง)
ความสามารถพิเศษอีกอย่างหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ จขบ.ชอบ คือ ท่าเต้นซึ่งดูลงตัว ไหลลื่น เข้ากับเนื้อเรื่องและเพลงเป็นอย่างมาก หากชมเพียงเฉพาะท่าเต้น ผู้ชมก็อาจจะเข้าใจเรื่องราวของภาพยนตร์ได้
นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม Rita Moreno
ขอเชิญชม
#2 West Side Story Prologue ความยาว 8.37 นาที
ผู้ชื่นชอบภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดในอดีต คงจะเคยดูภาพยนตร์เพลงเรื่องนี้ ..... Oliver!
ภาพยนตร์เพลงเรื่อง Oliver! (1968) เป็นภาพยนตร์ที่โด่งดังมากในอดีตอีกเรื่องหนึ่ง ดูแล้วจะติดใจในความน่ารักของ Mark Lester นักแสดงนำชายวัยเพียง 10 ขวบในช่วงเวลานั้น, ความไม่เกรงกลัวใครและความเอาตัวรอดของนักแสดงสมทบชาย Jack Wild (ที่จริงในช่วงเวลานั้น เขาอายุ 16 ปีแล้ว แต่เขาแสดงเป็นเด็กชายอายุประมาณ13 -14ปี ตามเนื้อเรื่อง) และความร้ายกาจไร้ความปราณีของกลุ่มตัวโกงในเรื่อง อันได้แก่ Ron Moody, Oliver Reed, และ Harry Secombe
Oliver! เข้าชิงออสการ์ 11 รางวัลในการตัดสินครั้งที่ 41 ประกาศผลในปี ค.ศ. 1969 เข้าชิงภายหลังภาพยนตร์เพลงเรื่อง West Side Story 7 ปี, ภายหลังภาพยนตร์เพลงเรื่อง The Sound of Music 3 ปี และ Oliver! คว้ามาได้ 5 รางวัล ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม - John Woolf, กำกับการแสดงยอดเยี่ยม - Carol Reed, กำกับศิลปยอดเยี่ยม, ดนตรียอดเยี่ยม, และ เพลงยอดเยี่ยม
Oliver! เป็นภาพยนตร์เพลงที่สื่อเรื่องราวออกมาได้ดี ทั้งดนตรี คำร้อง ทำนอง และท่าเต้นที่พลิ้วสวยงามและมีความหมาย การกำกับศิลปของภาพยนตร์ก็ยอดเยี่ยม เพราะต้องสร้างฉากที่สมจริงและต้องถ่ายทำภายในฉากตลอดทั้งเรื่อง สมแล้วที่คว้ารางวัลออสการ์การกำกับศิลปมาครอง การออกแบบเครื่องแต่งกายที่สามารถเข้าชิงออสการ์ ก็นับว่าดี แต่ในปีนั้นแพ้ให้แก่ภาพยนตร์เรื่อง Romeo and Juliet (1968)
Oliver! สร้างสถิติที่น่าแปลกคือ เป็นภาพยนตร์เรททั่วไป (G-rated film) ที่ได้รับรางวัลออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แต่พอปีรุ่งขึ้น ภาพยนตร์เรื่อง Midnight Cowboy ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่จัดว่าอยู่ในเรทต้องห้าม (X-rated film) กลับได้รับรางวัลออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ...และ Oliver! นับเป็นภาพยนตร์เพลงที่ครองภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอยู่นานถึง 34 ปี จากนั้นจึงมีภาพยนตร์เพลง เรื่องต่อมาที่คว้ารางวัลออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ภาพยนตร์เรื่องนั้นคือ Chicago
ขอเชิญชม
#3 Oliver! - I'd Do Anything ความยาว 4.52 นาที
#4 Oliver! - Be Back Soon ความยาว 2.53 นาที
หากจะมีใครนึกถึง Frank Sinetra ก็มักจะนึกถึงเพลง New York New York เพลงเด่นของเขาทันที และหากจะมีใครนึกถึง นักแสดงภาพยนตร์ชื่อดังในอดีตอีกคนหนึ่ง นาม Gene Kelly ก็มักจะนึกถึง เพลง "I'm Singing in the rain" เช่นกัน เพราะเป็นเพลงที่เด่นมากของเขา
ภาพยนตร์เรื่อง Singin' in the Rain (1952) ชื่อภาพยนตร์คล้ายๆกับชื่อเพลง และ โอ สร้างมานานนนนนมาก 58 ปีแล้ว นำแสดงโดย Gene Kelly, Debbie Reynolds, Donald O'Connor และ Jean Hagen กำกับการแสดงโดย Gene Kelly และ Stanley Donen
แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่ได้คว้ารางวัลออสการ์ แต่เพลงในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็ดังทะลุฟ้า อยู่ใน อันดับ 1 ของ The Top Musicals in American Cinema โดยในภาพยนตร์เรื่องนี้ Gene Kelly ทั้งร้องและเต้น ท่ามกลางสายฝนหลังจากจูบลาแฟนสาว ท่าเต้นของเขาเป็นที่ถูกอกถูกใจนักวิจารณ์และผู้ชมหลายล้านคนมาแล้วทั่วโลก
ขอเชิญกด ลิ๊งก์ ข้างล่าง ใต้อักษรสีแดง
#5 I'm Singing in the rain - Gene Kelly ความยาว 4.36 นาที
https://www.youtube.com/watch?v=rmCpOKtN8ME&feature=related
ภาพยนตร์เรื่องสุดท้าย เป็นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง White Nights (1985) นำแสดงโดยดาราบัลเล่ต์ชื่อดังชาวรัสเซีย Mikhail Baryshnikov พบกับดารานักเต้นแท็บชื่อกระฉ่อนชาวสหรัฐ Gregory Hines และยังมี Jerzy Skolimowski, Helen Mirren และดาราดังชาวฝรั่งเศศ Isabella Rossellini กำกับการแสดงโดย Taylor Hackford ถ่ายทำในหลายประเทศ ทั้งรัสเซีย ฟินแลนด์ อังกฤษ สก๊อตแลนด์ และ โปรตุเกส
White Nights สามารถคว้ารางวัลออสการ์ในการประกวดครั้งที่ 58 ประกาศผลในปี ค.ศ. 1986 ในสาขาเพลงยอดเยี่ยม "Say You, Say Me" Music and Lyric by Lionel Richie
ท่าเต้นของนักแสดงนำชายทั้งสองคน ในภาพยนตร์เรื่องนี้สุดยอด อันที่จริงเป็นคนละแนวกัน แต่พอนำมาเต้นประชันกัน นับว่าบาดตาบาดใจชนิดข่มกันไม่ลง เสียดายคลิปที่เขาทั้งสองเต้นประชันกัน ไม่ค่อยดีนัก
ขอเชิญชมฉากเปิดเรื่อง เปิดตัวนักแสดงนำของภาพยนตร์ White Nights
#6 White Nights - Opening scene ความยาว 7.28 นาที
ขอมอบของแถม...เพลงคว้าราวัลออสการ์ยอดเยี่ยม ประกาศผลปีค.ศ. 1986 (24 ปีที่แล้ว)
ไม่ได้เน้นการเต้น หากแต่เน้นการร้อง
#7 Lionel Richie - Say you Say me ความยาว 4.01 นาที
ขอขอบคุณที่ติดตาม
yyswim
yyswim@hotmail.com
Create Date : 21 เมษายน 2553 |
|
25 comments |
Last Update : 15 สิงหาคม 2553 18:39:18 น. |
Counter : 4506 Pageviews. |
|
|
|
|
ต่อจากเพลงก็เป็นการเต้นเลย
ผมดูหนังเต้นน้อยมากครับพี่
แต่ชอบเรื่องบิลลี่ เอลเลียตครับ
เป็นหนังที่เกี่ยวกับเด็กผู้ชายซึ่ีงอยากเต้นบัลเลต์