ประสบการณ์รับรู้ความทุกข์ของคนรวย ณ ร้านสตาร์บั๊คส์
ก่อนจะเล่าเรื่องที่เจอมา ขอนำด้วยมุขตลกเรื่องหนึ่งก่อนนะครับ
เหตุผลที่ไม่อยากไปเยี่ยมบ้านคนรวย
(ฉาก : ห้องรับแขกโซฟาหนังแท้เครื่องเรือนเป็นประกายแสบตา) (ตัวละคร : ป๋ม กับเพื่อนเศรษฐี) เพื่อน : นายจะดื่มอะไร น้ำผลไม้ โซดา ชา โกโก้ ช็อคโกแลตหรือกาแฟ? ป๋ม : ขอชาแล้วกัน เพื่อน : เอาซีลอน หรือชาสมุนไพร หรือเอาบุช ผสมน้ำผึ้งดีมั้ยหรือเอาชาเย็น หรือชาเขียว ป๋ม : เอาซีลอน เพื่อน : เอาแบบไหนเหรอ ใส่นมหรือไม่ใส่ ป๋ม : ใส่นมด้วยแล้วกัน เพื่อน : เอานมแพะ นมอูฐ หรือนมวัว ป๋ม : นมวัวดีกว่า เพื่อน : เอานมจากวัวฟรีซแลนด์หรือวัวแอฟริกาเน่? ป๋ม : เอ่อ... ไม่ต้องใส่นมก็ได้ เพื่อน : อยากได้หวานแบบไหนล่ะ ใส่น้ำตาลหรือว่าน้ำผึ้ง? ป๋ม : น้ำตาลดีกว่า เพื่อน : น้ำตาลบีทหรือน้ำตาลอ้อย? ป๋ม : น้ำตาลอ้อย เพื่อน : เอาแบบขาว หรือแดง หรือว่าเหลือง? ป๋ม : ... นายลืมเรื่องชานี่ซะเถอะ ขอน้ำสักแก้วก็พอว่ะ เพื่อน : จะเอาน้ำแร่หรือน้ำกลั่น? ป๋ม : น้ำแร่ เพื่อน : เอาแต่งรสด้วยมั้ย? หรือว่าไม่? ป๋ม : หิวน้ำจะตายอยู่แล้วโว้ย !!! เพื่อน : ???? (ก็แค่ถาม) เพื่อน:แล้วจะใส่แก้วทรงไหนดีล่ะ แก้วใส ขุ่น / ทรงยุโรปทรงไทย หรือ ทรงแขกดี ป๋ม:เอ่อ...ที่มันใส่น้ำแล้วไม่รั่วก็ได้นะจะดีมากถ้ามีน้ำแข็งด้วย เพื่อน:อ่า เอาน้ำแข็งแบบไหนดี ทุบละเอียดหรือก้อนกลม(ยูนิค) ป๋ม:กลมๆละกัน เพื่อน:เอาแบบใหญ่ๆ หรือ เล็กๆดีล่ะ ป๋ม:เอาว่าใส่น้ำแล้วมันเย็นอ่ะ เพื่อน:จานรองแก้วล่ะ เอาเป็นไม้ หรือ สแตนเลสดี ป๋ม:สแตนเลสเนอะ เพื่อน:กลมๆ หรือ สี่เหลี่ยม ป๋ม:เดี๋ยวกูไปแดกน้ำที่บ้าน เดี๋ยวมา (อยากจะชกซัก1ที) เพื่อน:............ผิดอารายอ่า........
มุขตลกข้างบนที่ได้รับเป็น Forward Mail เรื่องนี้ขำดี จนผมต้องเก็บเอาไว้ ทั้งที่ไม่เคยมีประสบการณ์ดังกล่าว แต่เข้าใจได้ นึกถึงมุขตลกสมัยก่อนเวลาเศรษฐีใหม่ไปภัตตาคารที่มีเมนูภาษาอังกฤษทั้งเล่ม ซึ่งเศรษฐีคนนี้เขาไม่รู้ภาษาอังกฤษ แต่ด้วยมาดทำให้ต้องแกล้งทำเป็นรู้ จึงได้ชี้มือชี้ไม้รายการที่เรียงลำดับกันเป็นพรืด บอกเอานี่นะ เอานั่นนะ...ผลปรากฎเลยได้สั่งซุปมากินเสียหลายถ้วย
....จนเมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2006 ซึ่งต้องไปทำงานขายของ ขายหนังสือ ในงาน Fat Festival ครั้งที่ 6 ณ อิมแพค ชาแลนเจอร์ 2 เมืองทองธานี ก็ได้พานพบกับประสบการณ์ดังกล่าวกับเขาซะที ที่ร้านสตาร์บั๊คส์
ความเป็นจริงคนจนอย่างกระผมนั้นไม่มีปัญหาจะเยื้องกรายเข้าร้านกาแฟประเภทนี้แน่ๆ เงินเดือนรึก็ใช่ว่าจะมีมากมาย การจะซื้อกาแฟสดราคา 30-35 บาทตอนเช้า มาดูดกระตุ้นร่างกายให้ตื่นตัวนั้นยังคิดแล้วคิดอีก (คิดไปคิดมาก็ไม่ได้ซื้อนั่นเอง) แถมต่อมลิ้นยังตายด้านไม่สามารถแยกแยะคุณภาพระหว่างกาแฟสดทั่วไป กับกาแฟราคา 100 บาทขึ้นได้ อีกทั้งดูดมากเกินยังใจสั่นอีก ไม่รู้จะดูดให้เสียสตางค์ไปทำไม
แต่แฟนผมนี่สิทำให้ผมได้เข้าใจมุขตลกข้างบนได้อย่างสมบูรณ์ เพราะนอกจากเงินเดือนจะดี คนที่ทำงานเธอยังใจดีให้บัตรเติมเงินสำหรับสตาร์บั๊คส์มา 400 บาท ก็เลยต้องจำใจเข้าไปดูดกาแฟให้เงินมันหมดๆ ไปซะ
ทีแรกก็นึกว่ามันจะมีให้เลือกรายการไม่กี่อย่างเหมือนกับร้านทั่วไป เช่น เมล็ดพันธ์กาแฟ(บราซิล, จาวา ฯลฯ), หรือวิธีการชง(เอสเพรสโซ่, คาปูชิโน่, ลาเต้) ซึ่งผมก็จำเขามาแบบคร่าวๆ พอรู้ว่าชอบแบบไหน จะได้ไม่เสียเงินมาดูดน้ำแล้วต้องบ้วนทิ้ง แต่ที่นี่มีรายการเยอะมาก มีตัวหนังสือบรรยายกำกับไว้ในรายการแต่ละอย่างละเอียดลออ แต่สี-ขนาดอักษรเล็กจนอ่านไม่รู้เรื่อง จ้องอยู่นาน จนแฟนรบเร้าว่าจะเอาอะไรดี เนื่องจากต้องรีบขึ้นไปทำงานเบ๊กัน ผมก็เลยบอกไปว่าเอาคาปูชิโน่แล้วกัน(แต่เพ่งอยู่นานยังหาไม่เจอดี)
พนักงานก็ถามต่อว่าเอาแบบไหนดี ด้วยอารามตกใจเหลียวมองที่รายการเห็นว่ามี ไอซ์ ลาเต้ ซึ่งเขียนกำกับไว้ด้านล่างเป็นคาปูชิโน่(ทั้งที่โดยความเข้าใจที่รู้มาสองอย่างนี้มีวิธีการชงต่างกัน) ก็เลยบอกว่าเอาแบบนี้
หลังจากโดนต่อยแย็บเบาๆ ก็โดนหมัดตรง หมัดฮุค ตามมาไม่ยั้ง พนักงานหน้าตาสดใส ที่มองไม่เห็นความทุกข์ของผู้บริโภคอย่างผมก็ถามต่ออย่างรวดเร็ว จะรับแบบ...ไหม หรือจะรับแบบ...(ฟังไม่ทัน) ฟังรู้เรื่องตอนสุดท้ายแค่ว่า "จะได้ทานได้ทันที" ทั้งที่ยังฟังไม่รู้เรื่องนั่นแหละ ผมก็เลยรีบรับไปเลยว่า "ครับ" (ซึ่งจนบัดนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยครับว่าแบบ... กับ แบบ...ที่ว่าคืออะไร เพราะแฟนผมเธอก็ไม่ทันฟัง)
ตามต่อด้วย จะใส่วิปครีม, เฮเซลนัท , หรือคาราเมล คราวนี้ค่อยยังชั่ว ผมตอบไปว่าคาราเมล ว่าแล้วก็จ่ายเงิน ไปนั่งรอกับแฟน
แต่ระหว่างที่รออยู่นั่นเอง ก็มองไปที่สำหรับรับกาแฟอย่างใจจดใจจ่อ หันมาคุยกันบ้างถึงงานที่จะต้องทำในวันนั้น ลูกค้าแต่ละคนที่นั่งคอยอยู่ก็มารับกาแฟตามรายการของตนไปอย่างว่องไว รวดเร็ว ทั้งที่กาแฟที่ส่งออกมานั้น มีชื่อแตกต่างกันออกไป แต่ละชื่อของแต่ละคนยาวมากจนน่าตกใจ จำได้เลาๆ ว่ารายการที่ตนเองสั่งนั้นยาวประมาณ 10 พยางค์ ผสมคำระหว่างภาษาอิตาลี กับอังกฤษ จนคนโง่ๆ อย่างผมไม่มีทางรู้เรื่อง แถมระหว่างนั้นแต่ละคนหยิบกาแฟซึ่งมีชื่อที่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ผมเองเพิ่งเคยได้ยิน !
ตอนนั้นถึงกับตกตะลึงในความโง่ของตน โอ้! โลกมันเปลี่ยนไปจริงๆ เราคงจนเกินไปจะเข้าร้านแบบนี้ แถมยังไม่สามารถปรับชีวิตให้เข้ากับความทันสมัย และรสนิยมวิไลแบบคนกรุงได้อีกต่างหาก มิน่ายังจนลงๆ อยู่จนทุกวันนี้
ระหว่างที่กำลังปลงตก ซาบซึ้งในสัจธรรมแห่งชีวิตอยู่นั้น แฟนผมก็ถามขึ้นมาว่า นี่มันก็นานแล้ว(ประมาณ 10 นาที)ทำไมกาแฟที่เราจะดูดมันถึงไม่มาซักที แถมยังมีกาแฟถ้วยหนึ่งวางค้างอยู่ไม่มีใครรับอยู่นานสองนาน...คิดได้ตอนนั้นก็เดาได้ว่าไอ้ถ้วยนี้นั่นแหละ มันรอพวกผมไปหยิบมันมาดูด หรือไม่เขาต้องลืมไอ้บ้านนอกเข้าสตาร์บั๊คส์อย่างผมแน่ หรืออีกทีเขาก็กำลังจะปลูกเมล็ดกาแฟอยู่ กาแฟมันถึงยังไม่เสร็จออกมาให้รับประทาน ในขณะที่ลูกค้าคนอื่น เขารับแต่ละถ้วยกันฉับไวขนาดนั้น !
แฟนผมเลยไปถามแบบง่ายๆ ว่า "น้องคะกาแฟไอซ์ ลาเต้ที่พี่สั่งยังไม่ได้" แล้วก็ยื่นใบเสร็จให้ดู
พนักงานจ้องดูถ้วยบนโต๊ะ แล้วก็ตอบว่า "อ๋อ มีคนหยิบผิดค่ะ เดี๋ยวชงให้ใหม่"(โถ นึกว่าฉลาดกว่าเรา) ว่าแล้วก็รีบทำให้อย่างรวดเร็วมาก (ไม่น่าจะถึง 3 นาที) ก่อนจะนำกาแฟถ้วยเก่าที่วางบนโต๊ะเข้าไปข้างใน คาดเดาเอาเองว่าน่าจะเอาไปทิ้ง ตามจรรยาบรรณาของร้านแฟรนไชส์ระดับนี้
ตอนที่เดินออกจากร้าน ผมกับแฟนยังบ่นอุบกันเลยว่า "โธ่ ไม่ต้องทิ้งก็ได้ ไหนๆ ก็ไหนๆ ไม่มีคนดูด ขอเลยแล้วกัน"
Create Date : 13 พฤศจิกายน 2549 |
|
18 comments |
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2549 19:29:38 น. |
Counter : 2322 Pageviews. |
|
|
|
ผมเองเคยอยากลองหาโอกาสเข้าร้าน แฟรนไชส์นี้ดูสักครั้งเหมือนกัน แต่อย่างหรูสุดก็เข้าไป Black Canyon
จริง ๆ แล้วที่เชียงใหม่นี้ร้านกาแฟตอนนี้มีเป็นดอกเห็ดมาก พวกหนังสือ Free Copy ส่วนใหญ่ก็มี Sponsor เป็นร้านกาแฟกว่าครึ่ง จนตอนนี้กลายเป็นเมือง Coffee Syndrome ไปแล้ว ร้านกาแฟบางร้านคุณภาพดีสมราคา คนขายก็อัธยาศัยดี แต่ดันหาที่จอดรถยาก บางร้านกาแฟรสชาดแย่มาก (ไม่จำเป็นต้องมีเซนส์รับรสก็รู้) แต่ถูกและบรรยากาศดี บางร้านก็แพงเว่อร์แต่รสชาดงั้น ๆ
แต่สุดท้ายแล้ว แทบทุกเช้าก็ไม่พ้น ต้องกินกาแฟในครัวเรือนเราเองอยู่ดี