1 2 3 4 5 6 7
8 9 10 11 12 13 14
15 16 17 18 19 20 21
22 23 24 25 26 27 28
29 30 31
4th World Film Festival of Bangkok
เป็นอีกปีที่ได้ไปชมมาก็เลยนำมาบอกเล่าเก้าสิบกันครับ แม้จะห่างหายจากการเขียนบล็อกมานาน11 ตุลาคม 2549 กับ หนังเปิดเทศกาล The Banquet หนังจีนตัวแทนออสการ์ปีนี้ของฮ่องกง เรื่องราวการห้ำหั่นแย่งชิงอำนาจกันในราชวัง ตัวหนังเป็นหนังตลาดครับ มันทำเงิน และคนดูอย่างน้อยไม่รู้สึกเสียเงิน หนังดูสนุก บางอย่างติดเป็นงิ้วไปบ้าง แต่ได้ความอลังการงานสร้าง และฉากต่อสู้มาปิดไว้ บทธรรมดามากๆ และไม่จำเป็นต้องให้คนดูเก็บอะไรกลับไปคิด จึงไม่แปลกว่าจะโดนวิจารณ์ไม่ดีในจีน และเวนิซ...เทียบกับ The Promise เรื่องหลังอาจจะไม่ลงตัวนะครับ(สิ่งที่ผมเห็นว่าเรื่องหลังไม่ลงตัวที่สุดคือนักแสดงที่เหมือนแสดงอยู่กันคนละเรื่อง) แต่ถ้าใครชอบคงชอบเลย ผิดกับเรื่องนี้ที่คงรู้สึกสนุกแต่ไม่ได้อะไรติดในหัวนัก วันที่ 12 ตุลาคม ไปสาย + ติดธุระเลยไม่ได้ไปชม (สุดท้ายเลยไปดู The Departed แทนซะงั้น)วันที่ 13 ตุลาคม ไปดูหนัง คริสทอฟ คีโลวสกี้ ผู้กำกับโปแลนด์ ที่ผมชื่นชอบมาตั้งแต่ดูหนังชุดไตรภาคสามสี Blue+White+Red ซึ่งหาชมเรื่อง Red ได้ก่อนตามด้วย White ก่อนจะไม่ได้ดูไปร่วม 7 ปีจึงมีโอกาสได้ชม BluePersonnel + The Calm ใครจะไปดูบอกไว้ก่อนนะครับว่าหนังเวลาไม่เหมือนกับที่เขียนในตารางที่แจกเพราะสองเรื่องรวมกันยาวร่วม 2 ชม. แถม Personnel เป็นประสบการณ์เลวร้ายสุดๆ ไม่ใช่ตัวหนังครับ แต่มันมีของแถม นอกจากคำบรรยายภาษาอังกฤษ มันยังมีเสียงพากย์ซ้อน เสียงจากหนังเข้าไปด้วย ! เป็นเสียงพากย์ภาษาอังกฤษครับ แถมไม่ใช่พากย์ธรรมดา มันพากย์ได้ปัญญาอ่อนมากครับ คือ พูดคนเดียว ใครพูดอะไร ในเรื่องพูดกันกี่คน มันพูดคนเดียว สุดท้ายลมปราณ + สมาธิ แตกซ่านครับ ประกอบกับโรงแกรนด์ อีจีวี เปิดแอร์ราวกับเป็นโรงเก็บเนื้อสด ก็เลยหลับไปในเรื่องแรกเป็นพักๆ แต่เรื่องหลังไม่มีครับ เลยมีสติกลับมาดูใหม่ แต่กว่าจะถึงตอนนั้นมีคนเดินออกจากโรงไปบ้างเหมือนกัน ทั้งสองเรื่องไม่ใช่งานระดับดีเลิศของคีโลวสกี้ แต่เห็นได้ชัดว่าแม้จะเป็นงานยุคแรก เขาก็มีมุมมองเป็นผู้สังเกตการณ์ราวกับทำหน้าที่เป็นผู้อยู่เบื้องบนแล้ว และกล่าวถึงมนุษย์ได้อย่างเห็นชัดแจ่มแจ้ง ตัวหนังไม่มีอะไรดูยาก แต่มีปริศนาซ่อนอยู่เหมือนกับหนังของเขาในยุคหลังแต่ซับซ้อน และมีให้น้อยกว่าครับPersonnel ไม่อยากจะกล่าวถึงมากครับเพราะมึนเสียงตีกัน เป็นเรื่องของเด็กวัยรุ่นที่มาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ในการจัดแสดงละครเวทีแห่งหนึ่ง ขณะเดียวกันเขาก็แอบมองผู้หญิงคนหนึ่งในรถโดยสาร ซึ่งหนังจะแสดงให้เห็นปัญหาการเข้ากับผู้คน และความรู้สึกที่แอบซ่อนต่อสาวคนนั้น สลับกันไป และปิดช่วงท้ายโดยเอาทั้งสองเรื่องมารวมกันได้อย่างน่าดี ฉากที่เด็กหนุ่มคนนี้ชมละครเป็นฉากสำคัญของเรื่องฉากหนึ่งที่บอกความรู้สึกได้มากมายเลยทีเดียว ข้อมูลเพิ่มเติมคือนี่เป็นหนังสร้างเพื่อฉายทางโทรทัศน์ ในปี 1976 และในอดีตคีโลวสกี้เป็นช่างตัดเย็บเสื้อในละครเวทีเช่นเดียวกับตัวเอกของเรื่องนี้The Calm หนังฉายทางโทรทัศน์ปี 1980 เล่าเรื่องของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ออกจากคุก เขามีเจตนามุ่งมั่นที่จะทำงานเลี้ยงชีพ หาเงิน แต่งงานกับผู้หญิงที่ตนรัก แล้วเขาก็ได้งานก่อสร้าง ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากหัวหน้าคุมงาน และโชคดีที่ได้เจอกับผู้หญิงที่เขาคิดถึงตั้งแต่นอนในคุก แต่เขาก็ต้องมาเจอบททดสอบอีกมากมายในชีวิต ชีวิตเขามีบางอย่างแอบซ่อนในใจ ผู้คนยังคงมองเขาเป็นคนคุก ชีวิตเขาคงเจ็บปวดต่อไปตราบเท่าที่หัวใจของเขาไม่เคยรู้จักความสงบ ฉากสำคัญในเรื่องคือ ม้า ครับ เป็นม้าที่เขารู้จักครั้งแรกเมื่อออกจากคุก เมื่อไปที่บ้านเพื่อนกำลังจูนคลื่นโทรทัศน์แล้วก็ไปเจอรูปม้าวิ่งแทรกอยู่ ช่วงเวลาที่เขาได้รู้จักกับความผิดบาป เข้าถึงความสงบอย่างแท้จริง ม้าได้ปรากฎตรงหน้าเขาอีกครั้ง รวมถึงในใจเขาด้วย ใครที่รู้กำเนิดของภาพยนตร์ ม้าถือเป็นสัตว์ตัวสำคัญเลยเชียวครับ และหนังก็นำภาพม้ามาใช้ได้อย่างฉลาด ผมคิดว่าต่อให้เราไม่เข้าใจความหมายของมันอย่างแท้จริง ฉากนี้ก็บอกให้ทราบได้ทันทีว่ามันคือนิมิตภาพของชายคนนี้14 ตุลาคม 2549 First Love และ Underground Passage เป็นหนังอีกสองเรื่องของ คีโลว์สกี้ ที่ผมได้มีโอกาสชม เรื่องแรกเป็นรักของวัยรุ่นที่ท้องในวัยเรียน จนต้องออกมาดิ้นรนใช้ชีวิตกัน หนังเน้นภาพของผู้หญิงมากกว่า แต่ท้ายที่สุดก็ให้ความหมายของคำว่ารักแรกที่พวกเขาอาจไม่เคยรับรู้ในช่วงท้ายของหนัง ซึ่งจบแบบง่ายๆ / Underground Passage เป็นหนังขาวดำ เล่าเรื่องของชายที่ตามหาคนรักเก่าในทางรถไฟใต้ดิน ซึ่งเขาบังเอิญไปเจอเธอเป็นคนเช็ดกระจกในร้านค้าแห่งหนึ่ง และพยายามคืนความสัมพันธ์ในช่วงระยะเวลาสั้น ...ทั้งสองเรื่องแม้จะเป็นหนังรัก เล่าเรื่องง่ายๆ และยังไม่ได้แสดงตัวตนอะไรของผู้กำกับชัดเจนนัก แต่ก็แสดงให้เห็นถึงมุมมอง และวิธีคิดแบบคีโลวสกี้อีกเช่นเคย นับเป็นงานยุคแรกๆ ที่หาชมได้ยากซึ่งออกฉายในปี 1974 ทางโทรทัศน์ โดย First Love จัดอยู่ในหมวดสารคดี แต่ถ้าใครชมจะพบว่ามีความเป็นหนังค่อนข้างสูงทีเดียว(ขออภัยทั้งสองเรื่องหาภาพไม่ได้ครับ) เจ้าของพื้นที่ฟาร์ม ผู้ทำการจัดงานครั้งนี้ทุก 5 ปีGlastonbury สารคดีเกี่ยวกับเทศกาลดนตรีในอังกฤษ ของผู้กำกับ จูเลี่ยน เทมเปิ้ล ซึ่งเคยทำหนังสารคดีเกี่ยวกับดนตรีมาแล้วหลายเรื่อง ผมชอบที่หนังนำภาพซึ่งขัดแย้งกันเหลือเกินระหว่างภาพสมัยอดีตสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ของนักแสวงบุญ แต่ปัจจุบันพื้นที่ทำฟาร์มของชายคนหนึ่งได้กลายเป็นพื้นที่ที่สร้างความเมามันทางอารมณ์ให้กับผู้คลั่งไคล้ดนตรี และคนรักอิสระมาปลดปล่อยอย่างสุดเหวี่ยง โดยหนังเล่าที่มาความเป็นไปของเทศกาลตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน ตัดภาพเหตุการณ์จุดเปลี่ยนของงานที่ผ่านมา พร้อมกับใช้เพลง + การแสดงดนตรี ซึ่งอาจไม่ตรงกับยุค แต่เข้ากับเหตุการณ์ที่เล่าได้ดี ใครเป็นคอดนตรีไม่ควรพลาดครับ แค่ได้ดู Coldplay, Blur, Pulp, Bjork, เดวิด โบวี่, Scissor Sissters, และอีกสารพัดวงมาแสดงให้ดู(ซึ่งร้องได้อารมณ์กว่าในเทปเยอะเลย) ก็คุ้มแล้วครับ วันที่ 14-15 ตุลาคม 2549 ไม่ได้ไปดูเนื่องจากติดธุระ และฝนตกวันที่ 16 ตุลาคม 2549 หนังสั้นสมานฉันท์ หรือ Reconcilliation Short Film ชุด 2 หนังสั้นที่จัดประกวดของ กอส. และเนื่องจากผมพลาดเข้าช้าไป 1 เรื่อง จึงได้ดู 4 เรื่องคือธาดา (ไม่ได้ดู) เป็นเรื่องของเด็กมุสลิมที่ถูกเลือกให้เป็นตัวแทนของโรงเรียนในการแข่งขันตอบปัญหาพุทธศาสนา ท่ามกลางความไม่เข้าใจของพ่อปอเนาะ กำกับโดย Haris Maschay เป็นสารคดีที่ถ่ายให้เห็นถึงโรงเรียนปอเนาะ จังหวัดปัตตานี คำว่าปอเนาะ หมายถึงที่พัก หรือกระท่อม สารคดีสั้นๆ เรื่องนี้ทำให้เราเห็นชีวิตประจำวันของเด็กนักเรียนในแต่ละวันตั้งแต่เช้าจรดเย็นว่าทำอะไรบ้าง เป็นเหมือนกับข่าวที่ออกหรือเปล่าว่าใช้ให้เด็กจับอาวุธ ซึ่งก็ไม่มีครับ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการสัมภาษณ์ชาวบ้านแถบนั้นถึงหลักการทางศาสนาอิสลามที่ทำให้คนมีสันติ...การถ่ายทำมีปัญหาเรื่องแสงที่จ้าบ้าง มืดบ้าง แต่แค่เจตนาต่างๆ และการนำเสนอของสารคดีก็ถือว่าทำออกมาได้น่าพอใจฉันมิตร กำกับโดย นัฐรินทร์ บุญชู และ ปิยะนัฐ วิสูตร(เขียนผิดขออภัยครับ นำข้อมูลมาจากชื่อภาษาอังกฤษ) เรื่องของพระองค์หนึ่งที่อยากจะเดินทางไปสึก กับ ชาวบ้านมุสลิมซึ่งขับรถและหลบพระไม่ทัน เห็นว่าท่านเกิดเท้าเจ็บจึงขับรถพาไปส่ง ก่อนที่รถจะเสีย แถมชาวบ้านคนนั้นยังเกิดมีอาการโรคหัวใจกำเริบอีก...หนังมีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจ แต่เพราะเป็นเรื่องแต่ง การแสดงยังไม่ดีพอจะทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ รวมถึงฉากบางฉากที่สื่อสารกับคนดูได้ไม่เต็มที่ก็ตัดเสียแล้ว แถมตอนท้ายหนังยังใช้วิธีสั่งสอนแลกเปลี่ยนศีลธรรมกันระหว่างพุทธและอิสลามแบบตรงๆ อีกด้วย เลยรู้สึกว่าง่ายไปหน่อย ยังดีที่ฉากจบของหนังทำได้ดี แขก หรือ In Between กำกับโดย ภาณุ อารี สารคดีที่ถ่ายทอดเรื่องราวของชาวมุสลิมในกรุงเทพฯ ซึ่งมีทั้ง ครูสอนคณิตศาสตร์, นักดนตรี, นักข่าว และโปรแกรมเมอร์ ตั้งแต่ประวัติชีวิต, ความแตกต่างกับเพื่อนในวัยเด็ก, ความรัก, ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และปัญหาการก่อการร้าย หนังตัดสลับโดยมีภาพให้เราเห็นชีวิตประจำวันของแต่ละคน ซึ่งภาพอาจไม่น่าสนใจเท่าไหร่ แต่เนื้อหาทำให้เราติดตามไปได้ตลอด จนปิดท้ายที่การประท้วงขับไล่อดีตนายก...การถ่ายทำและมุมมองของภาพทำออกมาดี สมเป็นมืออาชีพแบบคนที่ทำหนังสั้นมานานอย่างคุณภาณุ อารี ครับ นึกสงสัยเหมือนกันว่าทำไมคุณภาณุ ไม่มาปรากฎในหนังด้วย เพราะเห็นว่าเป็นมุสลิมเหมือนกัน แต่แค่นี้ก็ยาวถึง 42 นาทีแล้วThe Meaningless Line หรือ เพียงความธรรมดาของเส้น กำกับโดย ศุภชัย ทองศักดิ์ และ ขวัญแก้ว เกตุโพธิ์ ใช้เนื้อเรื่องง่ายๆ ครับเกี่ยวกับการละเล่นของไทย เมื่อเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งเล่นเกมตี่ หลังเลิกเรียน จากเล่นสนุกๆ เด็กต้องการแข่งขันให้ชนะจึงเล่นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถือเป็นการล้ำเส้นกัน...การถ่ายทำออกมาสวยงามกว่าเรื่องอื่นๆ, เด็กแต่ละคนแสดงได้ค่อนข้างดี และมีเพลงประกอบตอนท้ายที่น่ารักดี ใครสนใจดาวน์โหลดให้ชมฟรีได้ ที่นี่ ครับ รอบต่อมาได้ดูหนังของ คริสทอฟ คีโลว์สกี้ อีกเช่นเคยครับShort Working Day หนังปี 1981 ที่เล่าเรื่องตั้งแต่ปี 1968 ถึง 1981 เกี่ยวกับเลขาธิการพรรคคนหนึ่งในโปแลนด์ มีศัพท์หลายคำเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์ที่ผมไม่เข้าใจ และน่าสงสัยว่าทำไมหนังถึงได้ทำในโปแลนด์ เพราะว่าด้วยการประท้วงของคนจากโรงงานกลุ่มใหญ่นับพันคน จากการที่พรรคขึ้นราคาสินค้า จุดเด่นของงานชิ้นนี้คือฉากที่เราได้เห็นพฤติกรรมของเลขาธิการพรรคคนนี้พร้อมเสียงบรรยายในใจที่แสดงให้เห็นความเป็นคนลวงโลกที่เปลี่ยนไปจากเมื่อครั้งอดีต และการแช่ภาพผู้ประท้วงก่อนที่เราจะเห็นชะตากรรมของแต่ละคนซึ่งต่างกันออกไป...ฉากที่ว่าชวนให้นึกถึงฉากตอนท้ายในเรื่อง Blue มากครับ วันที่ 18 ตุลาคม 2549 จะไปดูหนังของ เบอร์โตลุคชี่ แต่สุดท้ายก็บุญไม่ถึงครับ ฝนตก รถติด ต้องรอทนนั่งถึง 4 โมงครึ่งเพื่อดูหนังเรื่องอื่นไปClimates เป็นของผู้กำกับ นูริ บิลเก้ ซีลัน ซึ่งเคยได้รับรางวัลกรังปรีซ์ และอีกหลายรางวัลจากเรื่อง Distant ผลงานเรื่องดังกล่าวผมไม่ได้ดูครับ แต่ดูจากเรื่องนี้ก็เห็นเอกลักษณ์หลายๆ อย่างอยู่ในเนื้องาน ไม่แปลกเลยที่หนังจะโดนวิจารณ์ในคานส์ปีนี้ เนื่องจากตัวหนังไม่ได้แม้แต่จะพยายามมุ่งเน้นสะท้อนสภาพสังคมปัจจุบันเลยสักนิด มันเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลล้วนๆ ว่าด้วยคู่รักคู่หนึ่งที่แยกย้ายกันไปตามทางของตน อิซา เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย(ผู้กำกับแสดงเอง) ซึ่งยังอาลัยอาวรณ์ภรรยาสาว บาฮาร์(อีบูร เซลัน...เดาได้ง่ายๆ เป็นภรรยาของแกเอง) ซึ่งเลิกร้างไปในการเที่ยวพักผ่อนเมื่อหน้าร้อน ผ่านมายังหน้าฝน(ซึ่งตามท้องเรื่องผ่านไปร่วมปี)ระหว่างนั้นเขาก็แอบนอกใจเช่นกัน แม้แต่วันที่ได้ข่าวว่าเธอหายไปอยู่ที่ไหนแล้ว จึงออกเดินทางไปพบในเมืองที่ปกคลุมด้วยหิมะ แต่ทุกอย่างก็จบลงอย่างเศร้าสร้อย ถ้าจะสรุปง่ายๆ หนังเรื่องนี้มีสารสำคัญจริงๆ เป็นคำไทยๆ ว่า "คับที่อยู่ง่าย คับใจอยู่ยาก" เพราะต่อให้บาฮาร์เดินทางไปหาที่ใดๆ ในโลก ก็คงไม่มีสภาพอากาศแบบไหนที่ดีพร้อมได้หากไม่อาจพอใจชีวิตที่เป็นอยู่...เช่นเดียวกับที่ในหนังบอกเราตลอด จะมีประโยชน์อะไรถ้าอิซาบอกว่าเขากลับตัวแต่ยังโกหก, คนเราแม้หลับนอนกันแต่จะเรียกว่ารักได้อย่างไรถ้าไม่เคยรับฟังซึ่งกันและกัน, และเหมือนกันบาฮาร์ เชื่อว่าเธอฝันดีแม้มันจะเป็นความฝันที่เห็นโลงศพ หนังเรื่องนี้เดินเรื่องและนำเสนอได้ช้ามากๆ จนอาจทำให้วูบไปได้(ผมก็คงหนึ่งในนั้น) แต่ก็มีอารมณ์ขันแทรกอยู่ตลอดเวลา และถ่ายภาพได้สวยงามเหลือเกิน ที่สำคัญคือนางเอกของเรื่องแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะฉากร้องไห้I Don't Want to Sleep Alone หนังของ ไฉ่มิ่งเหลียง ที่เพิ่งไปฉายที่เวนิซ ซึ่งก็น่าแปลกดีที่จะว่าไปก็เป็นยานอนหลับชั้นหนึ่งไม่ต่างจากเรื่องแรก แต่คนก็เต็มโรง แถมหนังของไฉ่มิ่งเหลียงมาฉายงานเทศกาลทีไรเห็นเต็มโรงทุกปี...งานนี้เขากลับไปถ่ายทำหนังที่บ้านเกิดอย่างมาเลเซีย ตัวละครหลักในเรื่องเกือบทุกคนตั้งแต่ ชายแรงงานต่างด้าว(เสี่ยวกัง), เฉิงเซียงฉี, เจ้าของร้าน, คนป่วยเป็นเจ้าชายนิทรา(เสี่ยวกังเล่นเช่นกัน) และ เตียง ไม่ได้พูดเลย ยกเว้นแขกชาวบังกลาเทศ ซึ่งก็พูดนับคำได้ มีเสียงเพลงจีน,อินเดีย, ข่าวทางวิทยุ-โทรทัศน์ และเสียงตัวละครประกอบเท่านั้นที่พูด กล่าวถึงผู้คนที่เผชิญชีวิตโดยโหยหาความรัก ยิ่งเมื่อรวมกับไคลแม็กซ์ของเรื่องซึ่งมีควันไฟป่าลอยเข้าประเทศ คนทุกคนก็มาพานพบบั้นปลายของตน...ฉากที่ยอดเยี่ยมมากๆ ในหนังคือ ผีเสื้อที่บินมาเกาะไหล่เสี่ยวกังบนตึกร้าง ที่เขากำลังนั่งตกปลาในแอ่งน้ำที่ไม่มีปลาแหวกว่ายอยู่ พร้อมๆ กับควันพิษที่อบอวล ซึ่งฉากนี้ตัดสลับกับภาพที่ผู้หญิงสองคนกำลังช่วยปลดเปลื้องอารมณ์ให้กับชายที่ไร้ความรู้สึก โดน! -นี่เป็นหนังอีกเรื่องของ ไฉ่มิ่งเหลียง ที่ยกระดับเพลงป๊อปจีนให้มีคุณค่าขึ้นมาทั้งอารมณ์ของเพลง และการตีความ -หนังของไฉ่มิ่งเหลียง มีอารมณ์ขันมากบ้างน้อยบ้าง แต่เรื่องนี้มีอยู่ในปริมาณที่มากพอๆ กับความขมขื่น -นับวันนอกจากเสี่ยวกัง นักแสดงคนอื่นของพี่ก็พลีกายถวายตัวเข้าไปทุกที(ฮา) -ที่ฮาสุดๆ คือมีคุณป้าคนข้างๆ ผมย้ายที่มาดูหนัง ดูฉากที่เสี่ยวกังเปิดก้น ยืนฉี่ แล้วก็ดูดทอฟฟี่หรืออะไรสักอย่าง จ๊วบๆ สุดเอร็ดอร่อย (555 ขออภัยครับ ดูไปอดยิ้มไม่ได้)
Create Date : 19 ตุลาคม 2549
Last Update : 19 ตุลาคม 2549 12:51:29 น.
8 comments
Counter : 1311 Pageviews.
โดย: ไปดูมาเหมือนกันครับ (ตี๋หล่อมีเสน่ห์ ) วันที่: 19 ตุลาคม 2549 เวลา:18:05:21 น.
โดย: d__d (มัชชาร ) วันที่: 19 ตุลาคม 2549 เวลา:18:58:04 น.
โดย: yuttipung วันที่: 19 ตุลาคม 2549 เวลา:19:32:51 น.
โดย: pyg (jimkong ) วันที่: 21 ตุลาคม 2549 เวลา:1:59:58 น.
โดย: Oakyman วันที่: 21 ตุลาคม 2549 เวลา:10:59:26 น.
โดย: yuttipung วันที่: 21 ตุลาคม 2549 เวลา:11:25:14 น.
Location :
สมุทรปราการ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [? ]
เป็นคนไม่เป็นโล้เป็นพายคนหนึ่งที่ติดอินเตอรเน็ต จนได้งานพอประทังเลี้ยงชีพ Blog นี้มอบให้แก่หญิงสาวที่ให้กำลังใจสำหรับความฝันอันริบหรี่ของผมมาตลอด ปัจจุบันเรียนโทจบแล้ว ทำงานหลายที่ หลักๆ ตอนนี้เพิ่งเริ่มเป็น Webmaster นิตยสารแห่งหนึ่ง ส่วนงานพิเศษคือลงข่าว และข้อมูลหนัง ดูแลเว็บให้กับ Popcornmag กับ เครือข่ายคนดูหนัง และเขียนวิจารณ์ภาพยนตร์ให้กับ Filmax
เหอๆ ไม่ได้ดูหนังเทศกาลเลยซักเรื่องค่ะครั้งนี้