ยังคงติดเกมและเล่นเฟสมากกว่า อาจไม่ค่อยมาตอบคอมเม้นท์นะคะ

ยาคูลท์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 30 คน [?]




ข้าพเจ้าเป็นสุข และเชื่อว่าใครก็ตามซึ่งมีรสนิยมในการอ่านหนังสือดี ย่อมสามารถทนต่อความเงียบเหงาในทุกแห่งได้ -- วาทะของท่านมหาตมะ คานธี


Book Archive by Group



หมายเหตุ: โซน Romance และ การ์ตูน ยังไม่ทำเพราะมีน้อย


Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2550
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
12 มิถุนายน 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ยาคูลท์'s blog to your web]
Links
 

 
The Thirteenth Tale

by Diane Setterfield
Paperback: 464 pages
Publisher: Orion (2007)

‘Silence is not a natural environment for stories.
They need words.
Without them they grow pale, sicken and die.
And then they haunt you.'


วิด้า วินเทอร์ เป็นนักเขียนขวัญใจชาวอังกฤษผู้ถูกยกย่องเป็น ‘ดิคเก้นส์แห่งศตวรรษที่ 21’
เธอออกนิยาย 56 เรื่องใน 56 ปี แต่ละเล่มได้รับการแปลเป็นหลายภาษา บางเรื่องถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ บางคนถึงกับสงสัยว่ายอดขายหนังสือเธอรวมแล้วอาจมากกว่าคัมภีร์ไบเบิ้ลด้วยซ้ำ
แต่วิด้าเป็นนักเขียนที่มีความเป็นมาปริศนา ไม่เคยยอมให้นักเขียนอัตชีวประวัติคนไหนให้สัมภาษณ์ ไม่มีข้อมูลตัวเธอก่อนออกนิยายเล่มแรก นักข่าวพยายามหลอกถามประวัติเธอทุกครั้งที่ทำได้ แต่ละครั้ง วิด้าสามารถเล่าเรื่องราวชีวิตหลากสีสันให้พวกเขาฟังได้ไม่ซ้ำกันเลยสักแบบ และไม่มีเรื่องไหนเลยที่เป็นความจริงพิสูจน์ได้

มาร์กาเร็ต ลี เป็นลูกสาวเจ้าของร้านหนังสือเก่าในลอนดอน เธอเป็นนักอ่านตัวยงและมีงานอดิเรกคือเรียบเรียงประวัติของบุคคลที่โลกลืมจากเอกสารเก่า นาน ๆ ครั้ง งานค้นคว้าเชิงอัตชีวประวัติของเธอก็ได้รับการตีพิมพ์บ้าง แต่มาร์กาเร็ตไม่ใช่นักเขียนอัตชีวประวัติมืออาชีพ เธอจึงแปลกใจมากเมื่อนักเขียนชื่อดังแห่งยุคส่งจดหมายมาเชิญให้ไปพักที่บ้านของเธอในยอร์คไชร์

ในจดหมายที่วิด้าเขียนถึงมาร์กาเร็ต เธอเล่าว่าทุกครั้งที่นักข่าวพยายามเซ้าซี้ให้เธอเล่าเรื่องตัวเอง เธอหยิบเศษเสี้ยวของความจริงมาปั้นเสริมเติมแต่งไปเสียทุกครั้ง เพราะเธอเชื่อว่าคนชอบเรื่องแต่งดี ๆ มากกว่าความจริงที่แหว่งวิ่น จนเมื่อ 40 ปีก่อน หนุ่มนักข่าวผู้มีแววตามุ่งมั่นคนหนึ่งจู่โจมเธอถึงบ้านด้วยประโยคว่า “บอกความจริงกับผม” วิด้าแอบส่ายหน้าให้กับความบุ่มบ่ามไร้เทคนิคของนักข่าวและปั้นเรื่องไร้สาระตอบเขาไป แต่ท่าทางและแววตาของเขาประทับอยู่ในใจวิด้า จนเธอให้สัญญากับตัวเองว่าสักวันเธอจะพูดความจริง คำสัญญานี้ผุดขึ้นมาในใจบ่อยขึ้นจนเธอไม่อาจผัดผ่อนตัวเองได้อีก และตอนนี้ เธอต้องการเล่าความจริงแล้ว ขอให้มาร์กาเร็ตไปพบเธอที่บ้าน

มาร์กาเร็ตตอบรับคำเชิญไปพักบ้านของวิด้าด้วยความอยากรู้ และเกือบจะทิ้งงานเดินจากมาแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะวิด้าเริ่มเล่าเรื่องด้วย ...
“กาลครั้งหนึ่ง มีฝาแฝดอยู่คู่หนึ่ง”


เรื่องของฝาแฝดที่เหลือเพียงหนึ่ง ราวกับภาพสะท้อนเรื่องราวชีวิตของมาร์กาเร็ตเอง มาร์กาเร็ตถูกดึงดูดเข้าหาเรื่องของอาเดลลีนและเอมิลีน ชาร์ลีและอิซาเบล จอร์จและมาธิลด์ คนสามรุ่นในครอบครัวสุดพิลึกแห่งบ้านแองเจิ้ลฟิลด์ เคหาสน์หลังงามที่พังพินาศไปในเปลวเพลิงเมื่อ 60 ปีก่อน จุดจบของเรื่องก่อน ‘วิด้า วินเทอร์’ จะมีตัวตนขึ้นมาในโลก


‘I am going to tell you a story about twins,’ Miss Winter had called after me, that first evening in the library, when I was on the verge of leaving. Words that with their unexpected echo of my own story attached me irresistibly to hers.

Once upon a time there were two baby girls…

Except that I now know better.
She had pointed me in the right direction that very first night, if I had only known how to listen.

‘Do you believe in ghosts, Miss Lea?’ She had asked me. ‘I’m going to tell you a ghost story.’
And I had told her, ‘Some other time.’
And she had told me a ghost story.
Once upon a time there were two baby girls…
Or alternatively: once upon a time there were three…


* * * * * * * *


ถ้าจะบอกว่าหนังสือเล่มนี้หลอนจขบ. ก็คงไม่ผิดนัก
เวลาจขบ. อ่านเจอนิยายแนวพร่ำรำพันได้โดนใจแบบนี้ มักจะบรรยายออกมาไม่ถูก โดนแง่มุมหรือความประทับใจมากมายหลายอย่างกดทับจนไม่รู้จะเรียบเรียง ไล่ผียังไงดี ต้องปล่อยไปก่อน ว่าง ๆ ค่อยกลับมาจัดการ
... เล่มล่าสุดที่สร้างอาการแบบนี้ คือ book of illusions ซึ่งกว่าจะเขียนรีวิวแสดงความคิดเห็นได้ครบถ้วนน่าพอใจในระดับหนึ่ง ก็ต้องเขียนอยู่หลายรอบ ใช้เวลาเกือบปีแน่ะ

ดังนั้น เล่มนี้อาจมีแก้ไขเพิ่มเติมอีก แล้วแต่ว่าผีจะเข้าหรือออกเมื่อไหร่ละกันนะ

ถ้าเอาสรุปสั้น ๆ ก็คือ...
พล็อต: เป็นทั้งเรื่องของวิด้า (หรือครอบครัวเธอ) และเรื่องของมาร์กาเร็ต

พล็อตเรื่องในอดีตจะเป็น saga เรื่องยาวของครอบครัวหนึ่งที่ร่ำรวยแต่นิสัยแปลกกันทั้งบ้าน ความพิลึกนี้ถ่ายทอดต่อมายังลูกหลานรุ่นต่อไป..ซึ่งมักจะมีเป็นคู่ แต่ละคู่จะผูกพันรักใคร่กันอย่างคลั่งไคล้ไหลหลงจนเข้าข่ายวิปริต และลูกหลานรุ่นที่สามของบ้านนี้ก็เป็นฝาแฝดหญิง ความสัมพันธ์เลยยิ่งเข้มข้นถึงขนาดมองไม่เห็นคนอื่นอีกเลย

ส่วนพล็อตปัจจุบันจะเป็นเรื่องของมาร์กาเร็ตที่เข้าไปอยู่ในบ้านนักเขียน แล้วมีช่วงลาพักที่เธอออกมาหาข้อมูลจากสถานที่จริง ทำให้ได้พบตัวละครอื่น ตัวมาร์กาเร็ตเองก็มีปมในใจเกี่ยวกับฝาแฝดที่แบกรับมาตลอดชีวิตเช่นกัน

เนื้อเรื่อง: ประเภท story-in-story มีการเล่าเรื่องในอดีตไปพร้อมกับความคืบหน้าของสถานการณ์ปัจจุบัน ประเด็นหลักจะเกี่ยวกับฝาแฝด ความผูกพันที่มีต่อกัน หนังสือและห้องสมุดจะเป็นองค์ประกอบเด่นมากในฉากเรื่องนี้ มีการอ้างอิงวรรณกรรมดังอย่าง 'เจน แอร์' และอีกหลายเรื่องบ่อย
(เจน แอร์มีจุดที่นำมาเปรียบเทียบกับเรื่องในนิยายได้ แต่จขบ. ไม่อินกับตรงนี้เท่าไหร่แฮะ คิดว่าเป็นความพยายามมากเกินไปของนักเขียนรึเปล่า?)

บรรยากาศในเรื่อง: มืดทึม หลอน ค่อนข้างหดหู่เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกสีเทาหม่น (เอ... นึกไปนึกมา อารมณ์เหมือนตอนอยู่ในห้องสมุดเลยแฮะ) แต่ก็ยังอุตส่าห์จบแบบแอบสดใสได้

ตัวละคร: มีเสน่ห์ น่าติดตาม เพียงแต่มักจะมีนิสัยแปลกพิลึกสุดโต่ง หรือไม่ก็หม่นหมอง--เพื่อให้เข้ากับโทนเรื่อง (มั้ง) ตอนอ่านและจมอยู่ในโลกนิยายอาจไม่รู้สึก แต่ถ้านำนิสัยตัวละครมาอ้างอิงกับโลกจริง ๆ จะพบว่าตัวละครหดหู่กันเว่อร์ไปหน่อย

การเดินเรื่อง: คนแต่งวางเรื่องได้ดีมาก เป็นนิยายที่พออ่านจบ—หรือเกือบจบ--แล้วจะอยากหลับตานึกย้อนเรื่องใหม่หมด เพื่อปะติดปะต่อเรื่องใหม่ จขบ. ชอบบทบรรยายความรู้สึกนึกคิดของตัวละครในเล่มนี้มาก เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับหนังสือเยอะดี

ความภูมิใจส่วนตัว: ตอนอ่าน จขบ. เห็น ghost ตั้งแต่ตอนครึ่งเล่มแรก เพียงแต่ยังจับไม่มั่นคั้นไม่ตาย เดาที่มาไม่ได้ ...นับว่าเราเก่งกว่านางเอก (นิดนึง) ฮา

มีหลายจุดในเรื่องที่ 'โดน' มาก
ไม่ว่าจะเป็นชื่อ Vida Winter ที่แค่แปลก็เศร้าแล้ว
เรื่องของ ghost ในเรื่อง พอคิดถึงวิญญาณตนนี้แล้วยิ่งเศร้า
เรื่องของ thirteenth tale ที่หายไปจากนิยาย (หรือต้องบอกว่า "เรื่องที่สิบสาม" ก็คือ story of a ghost นั่นเอง)
...มาคิดไปคิดมาแล้ว เล่มนี้ตั้งชื่อเรื่องได้สุดยอดเลยนะ



* * * จากนี้ไป ไม่เกี่ยวกับรีวิว เป็นส่วนที่อยากเก็บไว้อ่านเองทีหลัง * * *



รูปที่มีการพูดถึงในเรื่อง (p. 129)

Dickens' Dream - Robert W. Buss (1804-1875)
source: //charlesdickenspage.com/buss.html



Why recall the picture now, you must be wondering. The reason I remember it so well is that it seems to be an image of the way I have lived my own life. I have closed my study door on the world and shut myself away with people of my imagination. For nearly sixty years I have eavesdropped with impunity on the lives of people who do not exist. I have peeped shamelessly into hearts and bathroom closets. I have leant over shoulders to follow the movements of quills as they write love letters, wills and confessions. I have watched as lovers love, murderers murder and children play their make believe. Prisons and brothels have opened their doors to me; galleons and camel trains have transported me across sea and sand; centuries and continents have fallen away at my bidding. I have spied upon the misdeeds of the might and witnessed the nobility of the meek. I have bent so low over sleepers in their beds that they might felt my breath on their faces. I have seen their dreams.

My study throngs with characters waiting to be written. Imaginary people, anxious for a life, who tug at my sleeve, crying “Me next! Go on! My turn!” I have to select. And once I have chosen, the other lie quiet for ten months or a year, until I come to the end of the story, and the clamour starts up again.

And every so often, through all these writing years, I have lifted my head from my pages – at the end of a chapter, or in the quiet pause for thought after a death scene, or sometimes just searching for the right word – and have seen a face at the back of the crowd. A familiar face. Pale skin, red hair, a steady, green-eyed gaze. I know exactly who she is, yet am always surprised to see her. Every time she manages to catch me off my guard. Often she has opened her mouth to speak to me, as soon as I became aware of her presence I would avert my gaze and pretend I hadn’t seen her. She was not, I think, taken in.

People wonder what makes me so prolific. Well, it’s because of her. If I have started a new book five minutes after finishing the last, it is because to look up from my desk would mean meeting her gaze.

The years have passed; the number of my books on the bookshop shelves has grown, and consequently the crowd of personages floating in the air of my study has thinned. With every book that I have written, the babble of voices has grown quieter, the sense of bustle in my head reduced. The faces pressing for attention have diminished, and always, at the back of the group but nearer with every book, there she was. The green-eyed girl. Waiting.

The day came when I finished the final draft of my final book. I wrote the last sentence, placed the last full stop. I knew what was coming. The pen slipped from my hand and I closed my eyes. “So,” I heard her say, or perhaps it was me, “it’s just the two of us now.”




Create Date : 12 มิถุนายน 2550
Last Update : 12 มิถุนายน 2550 23:55:26 น. 8 comments
Counter : 1192 Pageviews.

 
อ๊าง ดองอยู่ๆ ค่ะ >_<


โดย: Clear Ice วันที่: 14 มิถุนายน 2550 เวลา:7:42:53 น.  

 
เห็นชื่อเรื่องพาลนึกถึงหนังผีเรื่อง Thirteenth Floor หรือไรนี่ล่ะ ไม่ชอบ กลัว.. ไม่หยิบเลยคุณยาคูลท์ พออ่านรีวิวจบ จะไปหามาอ่านค่ะ ขอบคุณนะที่เปิดตาให้ ^ ^


โดย: อั๊งอังอา วันที่: 14 มิถุนายน 2550 เวลา:9:50:56 น.  

 
อ่านเรื่องนี้จบไปแล้วเหมือนกัน เล่มหนาทีเดียวแต่ว่าวางไม่ลงเลย ปกติไม่ชอบอ่านแนวเรื่องแต่งสุดๆเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งสุดๆที่แม้จะได้อารมณ์ว่าแต่งมาเพื่อให้คนอ่านเอามันส์แน่ๆ แต่ก็ชอบมากค่ะ เพราะวางไม่ลงจริงๆ อ่านแล้วนึกภาพเป็นหนังได้เลย

ชอบอารมณ์สลัวๆของเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ เป็นแนว Gothic ที่ได้อารมณ์ Gothic ดีจริงๆ

ว่าจะเขียนรีวิวเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่ให้เพื่อนยืมหนังสือไป เลยเอามาอิงไม่ได้ สงสัยเพื่อนจะดองเป็นปี


โดย: TaMaChAN (narumol_tama ) วันที่: 15 มิถุนายน 2550 เวลา:22:46:27 น.  

 
โน้ต:

วันก่อนเห็นฉบับแปลไทย เปิดดูเฉพาะช่วงที่ชอบจนคัดจากต้นฉบับมาแปะบล็อก พบว่ามีจุดที่แปลได้ไม่สวยนัก

ดังนี้

And once I have chosen, the other lie quiet for ten months or a year...
>> lie แปลเป็น "นอน"
จากบริบทตรงนี้ ตัวละครในจินตนาการไม่น่าจะนอนตรงตัวตามความหมายในพจนานุกรมนะ

I wrote the last sentence, placed the last full stop.
>> full stop ไม่ยอมแปลเป็น "มหภาค" กลับเลือกแปลเยิ่นเย้อประมาณว่า "ใส่จุดปิดประโยคจุดสุดท้าย"
(จำประโยคเป๊ะ ๆ ไม่ได้ แต่มีคำว่า 'จุด' สองครั้ง อ่านแล้วสะดุดน่ะ)

อย่างไรก็ตาม ประโยคสวย ๆ อย่าง
Words that with their unexpected echo of my own story attached me irresistibly to hers.
กลับเลือกคำแปลอ่านได้เข้าใจดี ทั้งที่เป็นประโยคแปลได้ยากกว่าสองประโยคบนเยอะ



โดย: ยาคูลท์ วันที่: 7 มีนาคม 2551 เวลา:3:43:08 น.  

 
ฉบับไทยชื่อว่าอะไรคะ ใครแปลเหรอ


โดย: อสูรน้องน้อย IP: 125.24.86.107 วันที่: 14 มีนาคม 2551 เวลา:16:40:56 น.  

 
แปลเป็นไทยใช้ชื่อว่า "นิยายที่หายไป"

"ศศมาภา" แปลค่ะ


โดย: *May IP: 125.25.236.40 วันที่: 27 มีนาคม 2551 เวลา:11:31:02 น.  

 
น่าสนใจมากๆเลยคะ


โดย: หนังสือของกระเต็น วันที่: 24 กันยายน 2551 เวลา:10:31:26 น.  

 
ชอบเล่มนี้มากค่ะ
เป็น Love at First Sight & Love at First Read

อ่านแล้วเจ็บปวดดีพิกล

อ่านแล้วตัวเองให้คำนิยามของหนังสือเล่มนี้เอาไว้ว่า เป็น "ความเจ็บปวดที่งดงาม" ค่ะ


โดย: Unpredictable 'n Unreliable IP: 58.8.66.252 วันที่: 3 มกราคม 2552 เวลา:22:26:30 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.