เทศกาลวันสารทเดือนสิบ(ประเพณีชิงเปรต) กลับบ้านไปรับตา-ยาย
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ทุกท่าน ได้ฤกษ์ได้ยามมาเล่าขานเรื่องราวที่เจ้าของบล็อกเดินทางกลับบ้านเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อไปทำบุญเนื่องในงานเทศกาลวันสารทเดือนสิบ หรือประเพณีชิงเปรตซึ่งเป็นประเพณีสำคัญและยิ่งใหญ่มากของคนไทยทางภาคใต้นะคะ ประเพณีชิงเปรตหรือทางภาคใต้เรียกกันคุ้นเคยว่า รับ-ส่งตายายเป็นประเพณีที่ลูกหลานจะได้มีโอกาสแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษ ด้วยความเชื่อที่ว่าในวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๐ ประตูยมโลกจะเปิดเพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วซึ่งก็คือเปรต หรือเปตชนที่ได้รับอนุญาตให้กลับขึ้นมาบนโลกมนุษย์เพื่อเยี่ยมลูกหลานปีละครั้ง และจะปล่อยให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นอยู่กับลูกหลานเป็นเวลา ๑๕ วัน ก่อนที่จะถูกเรียกกลับไปสู่ยมโลกอีกครั้งในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ พุทธศาสนิกชนทางภาคใต้จะมีการไปทำบุญใหญ่ที่วัดถึง ๒ ครั้ง ในเดือน ๑๐ ของทุกปี เมื่อถึงวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๐ พุทธศาสนิกชนใน ๑๔ จังหวัดภาคใต้ จะพร้อมใจกันนำอาหารคาวหวานไปทำบุญกันที่วัดใกล้บ้านค่ะ บุญแรกนี้เรียกว่า "วันรับตายาย" ก่อนหน้าจะถึงวันรับตายายในแต่ละบ้านจะลงมือทำขนมหลายอย่าง อาทิ ขนมต้ม ขนมเทียน ขนมข้าวพอง ขนมลา ขนมพิมพ์ ฯลฯ เพื่อเตรียมไปรับตายายกลับบ้าน สมัยที่เจ้าของบล็อกยังเด็ก ประเพณีนี้เป็นที่รอคอยมาก ๆค่ะ เพราะทุกบ้านจะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารหวานคาว ขนม ผลไม้ และที่ตื่นเต้นมากคือจะได้ไปวัดกับคุณย่าหรือไม่ก็คุณแม่ ซึ่งที่วัดจะมีผู้คนมากมายแต่งตัวกันสวยๆ งามๆให้ดูกันจนเพลิน มาถึงปัจจุบันนี้ไม่มีคุณย่าหรือคุณแม่พาไปวัดเพื่อรับตายาย แล้วค่ะ แต่เป็นหน้าที่ของเจ้าของบล็อกเองที่ต้องเป็นคนไปรับตา ยาย ปู่ ย่า พ่อ แม่ ญาติพี่น้องที่ล่วงลับกลับบ้าน ก่อนที่จะดราม่าไปกว่านี้ ดูภาพประกอบกันดีกว่านะคะ ขับมอร์เตอร์ไซต์กลับบ้าน ผ่านสะพานข้ามแม่น้ำตาปี ฟ้าใสมากเลยจอดแชะภาพซะหน่อยค่ะ ก่อนหน้านี้มีฝนตกหนักมาหลายวันน้ำเลยขุ่นอย่างที่เห็น ป้าสะใภ้กับน้าสาวกำลังห่อข้าวต้มกันค่ะ ข้าวต้มเป็นขนมประจำเทศกาลวันสารทเดือนสิบที่ขาดไม่ได้เลย ทำจากข้าวเหนียวนำไปผัดในน้ำกะทิที่ใส่น้ำตาล และเกลือเล็กน้อย ผัดจนเกือบแห้งหรือเรียกว่าพอเป็นตากบจากนั้นก็นำมาห่อด้วยใบกะพ้อให้เป็นรูปสามเหลี่ยม นำไปนึ่งจนข้าวเหนียวสุก หรือบางจังหวัดจะต้มในน้ำเดือดจนข้าวเหนียวสุก จึงเรียกว่า "ข้าวต้ม" ห่อใบกะพ้อเป็นรูปกรวยแล้วเอาข้าวเหนียวใส่ลงไป ใช้นิ้วกดข้าวเหนียวให้แน่นแล้วพันใบกะพ้อไปตามแนวรูปสามเหลี่ยมจนสามารถสอดปลายใบกะพ้อเข้าไปในกรวยได้ สอดปลายแบบนี้ค่ะ เสร็จแล้วก็จะได้แบบนี้ จากนั้นก็เอาไปนึ่งให้สุก ข้าวต้มที่นึ่งสุกแล้วพร้อมกับขนมเทียน นี่เป็นขนมเทียนใส้เค็มค่ะ อร่อยมาก ๆขอบอก ฝีมือคุณน้าประทุม มีชื่อมากในแถบนั้นเพราะมีคนมาสั่งทำทุกปี ปีหนึ่ง ๆคุณน้าทำเงินได้หลายอยู่ค่ะจากการทำขนมเดือนสิบขาย นี่คือขนมรังนก คล้ายๆขนมลา แต่อันนี้จะกรอบค่ะ ขนมลาไม่ค่อยนิยมทำกันในจังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่จะนิยมทำกันมากที่จังหวัดนครศรีธรรมราช นี่เป็นฝีมือของป้าสะใภ้เอามาให้ที่บ้านค่ะ ป้าบอกว่า "ปีนี้ป้าเคาะขนมรังนกขายได้หลายเงินแล้ว" รุ่งเช้าของวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ เจ้าของบล็อกตื่นขึ้นมาเตรียมอาหารใส่ปิ่นโตเพื่อไปทำบุญที่วัดตั้งแต่ตี ๔ พอเกือบ ๆจะสว่างเห็นพระจันทร์ตกที่หลังบ้านสวยดีค่ะ เลยเก็บภาพมาฝาก อาหารที่เตรียมไปวัด มีแกงส้มลูกเถาคันกับกุ้งของโปรดคุณแม่ แกงเลียงแบบใส่กะทิของโปรดคุณย่า หมูเค็มของโปรดคุณพ่อค่ะ ขนม ผลหมากรากไม้แบบจัดเต็ม พร้อมแล้วค่ะ ทั้งหมดนี้เจ้าของบล็อกถือไปคนเดียว ต้องไป-กลับ ๒ รอบ จึงจะเอาไปหมด ดีที่วัดอยู่ใกล้เลยไม่ต้องเหนื่อยมาก นั่นค่ะวัด เดินจากบ้านไปไม่ถึง ๓๐ ก้าวค่ะ ชื่อวัด "เวฬุวณาราม" หรือชาวบ้านเรียกว่า "วัดแหลมไผ่"ค่ะ คุณตาทวดของเจ้าของบล็อกเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดนี้ด้วย ทุกปีวงศ์ศาคณาญาติทางฝ่ายแม่จึงมารวมตัวกันทำบุญที่วัดนี้ค่ะ ไปถึงวัดก็เอาข้าวปลาอาหารไปวางไว้ที่นั่งทำพิธีของพระ จากนั้นเอาดอกไม้ ธูปเทียนไปกราบบูชาพระรัตนตรัยกันก่อนค่ะ ถึงเวลาพระก็ทำพิธี สวดมนต์ให้ศีลให้พร กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ พระฉันท์อาหารเช้า หลานสาวตัวน้อยกำลังฟังพระสวดมนต์ย่างตั้งอกตั้งใจ ทำพิธีเสร็จแล้ว พระกำลังจะฉันท์อาหารเช้าค่ะ นั่งรอพระฉันท์เช้า ที่เห็นนี่เป็นชาวบ้นที่มาทำบุญในรอบเช้าค่ะ ยังมีรอบเที่ยงซึ่งจะเยอะกว่านี้อีก เจ้าของบล็อกเลือกมารอบเช้าเพราะคนไม่เยอะมาก ไม่ต้องเบียดเสียดกัน
ระหว่างรอพระฉันท์อาหารเช้า เจ้าของบล็อกเอาน้ำที่ได้จากการกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับมาเทที่โคนต้นไม้ตามความเชื่อ และท่องบทกรวดน้ำอีกครั้งนัยว่าเป็นการแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้ผีสาง เทวดาอารักษ์ วิญญาณเร่ร่อน ไร้ญาติขาดมิตรค่ะ
เสร็จพิธีในช่วงเช้าก็เอาปิ่นโตกลับมาร่วมทานอาหารเช้ากันที่บ้านค่ะ ถ้าเป็นวันพระปกติจะทานร่วมกับคนอื่น ๆที่วัด แต่เทศกาลนี้ไม่ได้ค่ะ เพราะคนที่ไปทำบุญรอบเช้ายังไม่ทันกลับเลย พระก็ยังฉันท์มื้อเช้าไม่ทันเสร็จ คนที่มาทำบุญรอบเที่ยงก็มารอแล้ว ตั้งวงทานมื้อเช้ากันในหมู่ญาติพี่น้อง เมื่อก่อนวงใหญ่กว่านี้นะคะ แต่ปัจจุบันนี้ล้มหายตายจากกันไปก็เยอะแล้ว เลยเหลือเท่าที่เห็น ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะนี่เป็นแค่"วันบุญรับ"ด้วย ล่ะค่ะ ถ้าเป็น "วันบุญส่ง" จะพร้อมหน้าพร้อมตากว่านี้
ข้าวปลาอาหารที่เอากลับมาจากวัดแล้วมาทานร่วมกัน
ทานข้าวเสร็จแล้วยังไม่เสร็จภาระกิจค่ะ ต้องมานั่งเย็บกระทงสำหรับจัดสำรับไปชิงเปรตอีก
สำรับที่จะเอาไปทำพิธีชิงเปรตที่วัดค่ะ มีอะไรก็ใส่ลงไปทุกอย่าง นี่เฉพาะของบ้านเจ้าของบล็อกนะคะ เดี๋ยวจะต้องเอาไปรวมกับญาติพี่น้องคนอื่นๆที่ลานชิงเปรตค่ะ
เอาไปรวมกับของญาติพี่น้องคนอื่นๆแล้วก็กองโตประมาณนี้ค่ะ ของชาวบ้านครอบครัวอื่น เขาก็รวม ๆกันมาจนได้เป็นโต๊ะยาวเหยียด
นี่คือลานชิงเปรต สมัยก่อนเป็นลานจริงๆนะคะ จะตั้งโต๊ะไว้กลางแจ้ง แต่สมัยนี้วัดพัฒนาไปเยอะแล้วจึงมีโต๊ะมีเก้าอี้ให้นั่งเป็นระเบียบเรียบร้อย สมัยก่อนลานชิงเปรตเป็นที่หมายตาของเด็กๆมาก เพราะมีแต่ของดีๆ น่ากินๆ เด็ก ๆจะหมายตาอาหาร ขนม ผลไม้ที่ตัวเองชอบ พอทำพิธีเสร็จ เด็กๆจะกรูกันเข้าไปแย่งของที่ตัวเองหมายตาเอาไว้ จึงเป็นที่มาของคำว่า "ชิงเปรต" นั่นเอง คืออาหารที่อยู่ในสำรับเหล่านี้ถูกทำขึ้นมาเพื่อให้วิญญาณบรรพบุรุษ ซึ่งมาในรูปของเปรตกิน (เปรตคือวิญญาณที่ตกนรก) แต่เด็ก ๆไปแย่งชิงเอามา จึงมีคำพูดในเชิงหยอกล้อกันว่า "ชิงเปรต" (วิญญาณที่ตกนรก ในที่นี้เชื่อว่าหากวิญญาณของบรรพบุรุษท่านใดได้ขึ้นสวรรค์ไปแล้วก็ไม่ได้เป็นการเสียหายอะไร ให้ถือว่าในวันนี้เราทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ท่านบนสวรรค์)
ที่ลานชิงเปรต พอพระในโรงธรรมเริ่มทำพิธีสวดในรอบเที่ยง คนที่อยู่ทางนี้ก็จะจุดธูปเทียนบอกให้ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษรับทราบและมารับของที่เอามาทำบุญให้ และบอกให้ทราบว่าจะมารับกลับไปอยู่ที่บ้าน
อีกด้านหนึ่งจะมีการตักบาตรข้าวสาร อาหารแห้งค่ะ
ตักบาตรข้าวสาร อาหารแห้ง
ญาติผู้ใหญ่ร่วมกันกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลอีกครั้งเป็นอันเสร็จพิธีในวันนี้ค่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเด็กๆจะกรูเข้าไปแย่งของในสำรับที่ลานชิงเปรตค่ะ แต่ปัจจุบันนี้ไม่มีเด็กๆคนไหนให้ความสนใจแล้ว สังเกตไหมคะว่าเราไม่เห็นเด็กๆ ในงานวันนี้เลย หวั่นๆอยู่ค่ะว่าหมดจากรุ่นเจ้าของบล็อกไป ประเพณีนี้จะยังมีใครสืบสานต่อไปอีกหรือเปล่า เมื่อไม่มีเด็กๆแย่งของกินที่ลานชิงเปรต คนที่อิ่มหมีพีมันที่สุดคือเจ้านี่ค่ะ "ขาใหญ่ประจำวัด" เพราะอาหารในสำรับเหล่านี้ไม่มีใครเอากลับบ้าน เขาจะเอาไปเทตามริมทางนอกวัดหรือทางที่เดินกลับบ้าน ด้วยความเชื่อที่ว่า เททิ้งไว้เพื่อให้วิญญาณเร่ร่อน อนาถาไร้ญาติขาดมิตรหรือวิญญาณที่ทำบาปไว้มากหรือที่เรียกกันว่า "บาปหนา" ไม่สามารถเข้าไปรับส่วนบุญในวัดได้ จึงต้องเอามาทิ้งไว้ให้เขาที่นอกวัดเพื่อที่พวกเขาเหล่านั้นจะได้กินด้วยค่ะ
ป้าสะใภ้กับใบหน้าอิ่มบุญค่ะ จบแล้วค่ะสำหรับบล็อกนี้ ยาวหน่อยนะคะ ถือเป็นการอัพบล็อกมาราธอนที่สุดเท่าที่เคยทำมาเลยนะเนี่ย! สำหรับเพื่อนๆท่านใดที่สนใจอยากอ่านบล็อกวันส่งตา-ยาย แจ้งให้ทราบว่าปีนี้เจ้าของบล็อกไม่ได้ไปในบุญส่งค่ะ ซึ่งจะทำกันในวันแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๑๐ ได้ตกลงกับน้องสาวไว้ว่าจะให้เขาไปบุญส่งค่ะ แต่หากว่า อยากจะทราบจริงๆว่าเขาทำอะไรกันบ้างในวันส่งตา-ยาย เจ้าของบล็อกเคยเขียนไว้ที่บล็อกนี้ค่ะ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=youaremyworld&month=06-10-2008&group=9&gblog=44 เขียนไว้เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๑ ลองเข้าไปอ่านกันได้นะคะ สำหรับบล็อกนี้ก็ขอจบไว้เพียงเท่านี้ค่ะ ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ให้ความสนใจติดตามอ่าน พบกันใหม่บล็อกหน้านะคะ สวัสดีค่ะ
Create Date : 09 ตุลาคม 2555 |
Last Update : 25 เมษายน 2556 18:51:19 น. |
|
71 comments
|
Counter : 22169 Pageviews. |
|
|
ที่สวิสนี่ไม่มีใครสนใจคนที่ตายไปแล้วเลยค่ะ
อย่างมากก็แค่คอยไปรดน้ำตันไม้ที่ปลูกบนหลุมศพ
ส่วนมากไปกันวันหยุด ถือเป็นการเดินเล่นไปในตัว