****ทำความดีวันละนิดจิตแจ่มใส**** ใดๆในโลกล้วนอนิจจัง ทุกขังและอนัตตา สิ่งที่ตามเราไปมีเพียงแต่บุญและบาป
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2550
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
27 พฤษภาคม 2550
 
All Blogs
 
กรรมทำให้แตกต่าง

มีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใดมนุษย์และมวลสัตว์โลกจึงมีความแตกต่างกัน

กระแสธรรม


กรรมทำให้แตกต่าง

มีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใดมนุษย์และมวลสัตว์โลกจึงมีความแตกต่างกันในด้านต่างๆ เช่น รูปร่าง หน้าตา อุปนิสัยใจคอ ความรู้ความสามารถ เป็นต้น ต่อข้อสงสัยนี้ มองในแง่กฎแห่งกรรม ก็สามารถอธิบายได้ว่า ที่มนุษย์แตกต่างกันก็เพราะแต่ละคนมีความปรารถนา มีการสั่งสมกรรมไม่เหมือนกัน
ทีแรกเขากระทำกรรมลงก่อนต่อมาภายหลังกรรมนั้นเองได้ย้อนจำแนกเขาผู้ทำให้เป็นต่างๆ ตามชนิดแห่งกรรมที่บุคคลนั้นๆ ได้ทำลงไปดังที่พระบรมศาสดาตรัสไว้ว่า
ดูกรมาณพ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน ตนเป็นผู้รับมรดกแห่งกรรม มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์พวกพ้อง มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมนั่นเองย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลายให้เลวบ้าง ให้ดีบ้าง

ที่ว่า มีกรรมเป็นของตน นั้นคือเป็นเจ้าของแห่งกรรม ของอย่างอื่น เช่น เงินทอง ทรัพย์สมบัติ ภายนอก เราเพียงอาศัยใช้ชั่วคราว เมื่อตายหาได้ติดตามไปได้ไม่ มีแต่กรรมดี กรรมชั่วเท่านั้นที่จะติดตามวิญญาณไปทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร สมบัติของเราจริงๆ คือกรรมดี กรรมชั่วที่เราทำ หาใช่ทรัพย์สมบัติภายนอกไม่ มรดกอย่างอื่น เช่น มรดกในทรัพย์สินที่คนอื่นเขาจะมอบให้ ก็เป็นของไม่แน่นอน แต่กรรมที่เราทำแล้วมันเป็นมรดกของเราแน่นอน เมื่อมันเป็นของเราแล้วจะมอบให้คนอื่นก็ไม่ได้ ตัวอย่างเช่นคนเป็นโรคมะเร็ง ได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส ลูกเมียพี่น้องได้แต่นั่งคอยดู จะแบ่งมาเป็นของตนบ้างก็ไม่ได้ เพราะกรรมเป็นของๆ ตน และบุคคลต้องรับมรดกแห่งกรรม ใครทำกรรมอย่างใดไว้จึงต้องรับกรรมอย่างนั้นไป ลูกเมีย (ผัว) พ่อแม่ พี่น้องก็ไม่อาจแบ่งผลแห่งกรรมนั้นไปได้ แม้หมอก็ช่วยไม่ได้

ข้อว่า มีกรรมเป็นแดนเกิดหรือเกิดเพราะกรรม นั้น อธิบายว่า คนเราเกิดมาเพราะยังมีกรรมอยู่ คือยังมีกิเลส มีกรรมและมีวิบากคือผลของกรรม ผลของกรรมนั้นย่อมส่งวิญญาณให้เกิดในที่ต่างๆ ตามความเหมาะสมแก่กรรม วิญญาณย่อมปฏิสนธิในที่ๆ เหมาะสมแก่กรรมของตน คนไม่มีกรรมแล้วเช่น พระอรหันต์ ย่อมไม่เกิดอีก มารดาบิดาเป็นเพียงที่อาศัยเกิดของบุคคลผู้ยังมีกรรมอยู่ บางรายก็เคยเป็นบุตรเป็นบิดามารดากันมาหลายร้อยชาติแล้ว บางรายอุปนิสัยแห่งบุตรธิดาไม่เหมือนบิดามารดาเลย อุปนิสัยแห่งบุคคลแสดงถึงผลรวมแห่งกรรมของเขาที่เคยสั่งสมไว้ ในรายที่มีลูกมีอุปนิสัยคล้ายคลึงหรือเหมือนพ่อแม่ แสดงว่าเขาเคยอบรมตนอย่างเดียวกันมาและได้มาเกิดเป็นพ่อแม่ลูกกันอีก บางรายก็เพราะการปลูกฝังอย่างหนักแน่นรุนแรงในปัจจุบัน แต่ถ้าคนไม่มีอุปนิสัยในทางนั้นอยู่บ้างแล้ว มักจะปลูกฝังไม่สำเร็จ เพราะเขาไม่ยอมรับการปลูกฝัง บุคคลย่อมมีอิสระในการทำชั่วหรือทำดีตามอุปนิสัยของตน

แต่อย่างไรก็ตาม มารดาบิดาที่ดี ชื่อว่าเป็นผู้มีบุญคุณต่อบุตรธิดาอย่างประมาณมิได้ เพราะได้ทุ่มเทความรักความปรานี ความเสียสละให้ลูกอย่างหาใครเสมอเหมือนมิได้เป็นเวลานานปี หรืออาจกล่าวได้ว่าตลอดชีวิตของท่าน แต่มารดาบิดาก็ไม่สามารถช่วยให้ลูกได้ดีทุกคน ถ้าวิญญาณของลูกสั่งสมเอาอุปนิสัยชั่วติดสันดานมาอย่างเหนียวแน่น ในทางตรงกันข้าม พ่อแม่ที่เลวก็ไม่สามารถทำลูกให้เลวได้ทุกคน ลูกคนใดมีอุปนิสัยดีเลิศติดตัวมา เขาย่อมไม่เอาอย่างการกระทำที่เลวของพ่อแม่ เพราะขัดกับอุปนิสัยของเขาและในไม่ช้า เขาก็ต้องปลีกตัวไปอยู่ในที่อันเหมาะสมแก่เขาจนได้ นี่แหละกรรมเป็นแดนเกิด

ข้อว่า มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ นั้นอธิบายว่า พี่น้องโดยสายโลหิตของเราอาจช่วยเราได้บ้าง ช่วยไม่ได้บ้าง เป็นศัตรูกันบ้าง ช่วยเหลือกันบ้าง เบียดเบียนกันบ้าง เมื่อเติบโตขึ้นมาต่างก็แยกย้ายกันไป บางรายห่างกันคนละประเทศ คนละทวีปก็ดี มีความเดือดร้อนเกิดขึ้นก็ช่วยกันไม่ค่อยทัน ถ้าช่วยทันเขาก็ช่วยได้เฉพาะในวิสัยของเขาเท่านั้น พ้นวิสัยแล้ว เขาก็ช่วยไม่ได้ พี่น้องกันแท้ๆ เมื่อเวลาสอบไล่ จะสอบแทนกันก็ไม่ได้ พี่ฉลาด น้องโง่ น้องฉลาด พี่โง่ไม่แน่นอน แต่พวกพ้องเผ่าพันธุ์ที่อยู่กับเราตลอดเวลา คอยคุ้มครองรักษาเราอยู่ตลอดเวลาทั้งเวลาหลับเวลาตื่น คอยช่วยเหลือให้เจริญรุ่งเรืองจริงๆ คือกรรมของเรา บางคนพวกพ้องญาติพี่น้องไม่ดี แต่ตัวเขาเป็นคนดี บางคนญาติพี่น้องเผ่าพันธ์ดี ตระกูลดี แต่ตัวเขากลับตกต่ำ จนเข้าพี่น้องไม่ได้ก็มี ทั้งนี้เพราะพี่น้องเผ่าพันธุ์ของเขาจริงๆ คือกรรมของเขานั่นเอง เขาจึงต้องอยู่กับกรรมของเขา

ข้อว่า มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย นั้น ความว่า ที่พึ่งอย่างอื่นให้บุคคลพักพิงได้เพียงชั่วคราว พ่อแม่เต็มใจให้เราพึ่งก็เฉพาะเมื่อเราอยู่ในปฐมวัย พอเป็นผู้ใหญ่แล้วถ้าพึ่งท่านอยู่อีก ท่านก็รังเกียจ คนอื่นก็ดูหมิ่น จะพึ่งญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงก็ได้เป็นครั้งคราวพึ่งเขาบ่อยนักก็ไม่พ้นการดูถูกดูหมิ่นติเตียน แต่กรรมของเรานั่นแหละ เป็นที่พึ่งของเราได้ตลอดชีวิต เป็นที่พึ่งได้ทุกๆ ชาติ คนที่กรรมไม่ยอมให้พึ่งแล้ว ถึงใครๆ อื่นก็ไม่อาจให้ที่พึ่งได้ มันมีอันให้วิบัติขัดข้องไปหมด ส่วนคนที่กรรมอุปถัมภ์แล้ว ใครจะทำลายก็ไม่ได้ ยิ่งกดยิ่งฟู ยิ่งบังยิ่งเห็น ยิ่งมีคนคิดร้ายยิ่งได้ดี
ตามนัยดังกล่าวมา แสดงให้เห็นว่า บุคคลสั่งสมกรรมอย่างใดย่อมได้รับผลแห่งกรรมอย่างนั้น ประกอบกรรมอันนำไปสู่ความเป็นอย่างใด ย่อมได้รับความเป็นอย่างนั้น กล่าวสั้นๆ คือ ทำดีย่อมได้รับผลดี ทำชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว

ในมหากัมมวิภังคสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ พระพุทธองค์ทรงแสดงเรื่องกรรม และคติภพของผู้ทำกรรมแก่พระอานนท์ ใจความว่า
มีบุคคลอยู่ ๔ จำพวก คือ
๑. ผู้ทำชั่วทางกาย วาจา ใจ ตายแล้วไปนรกก็มี ทั้งนี้เพราะบุคคลพวกนี้ได้ทำกรรมชั่วต่อเนื่องกันมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ
๒. ผู้ทำชั่วทางกาย วาจา ใจ ตายแล้วไปสวรรค์ก็มีเพราะบุคคลพวกนี้ ทำกุศลกรรมไว้มากในชาติก่อนๆ กุศลกรรมนั้นยังมีแรงให้ผลอยู่ ส่วนกรรมชั่วที่เขาทำใหม่ ยังไม่ทันให้ผล
๓. ผู้ทำสุจริตทั้งกาย วาจา ใจ เมื่อสิ้นชีพแล้วไปสวรรค์ก็มีเพราะบุคคลพวกนี้ ทำความดีติดต่อกันมาตั้งแต่อดีตชาติ จนถึงชาติปัจจุบัน
๔. ผู้ทำความดีทางกาย วาจา ใจ ตายแล้วไปนรกก็มี เพราะคนพวกนี้ ได้ทำความชั่วไว้มากในชาติก่อนๆ อกุศลกรรมนั้นยังมีแรงให้ผลอยู่ กุศลกรรมที่เขาทำใหม่ยังไม่มีโอกาสให้ผล
อนึ่ง นอกจากเหตุผลดังกล่าวแล้ว ขณะจิตที่จวนตายยังมีส่วนประกอบอีก คือในขณะที่จวนจะตาย ถ้าจิตของผู้ใดยึดมั่นอยู่ในกุศลกรรม ผู้นั้นย่อมไปสู่สุคติสวรรค์ก่อนตามอิทธิพลของอาสันนกรรม (กรรมที่ทำเมื่อจวนจะตาย)

ตามพุทธพจน์นี้ แสดงให้เห็นว่ามนุษย์และมวลสัตว์ ย่อมมีความเป็นไปต่างๆ กันตามกฎแห่งกรรมและกรรมที่มนุษย์และมวลสัตว์ก่อขึ้นนี้แหละ จะเป็นตัวกำหนดสถานะในปัจจุบันและคติเบื้องหน้าของมนุษย์และมวลสัตว์
เพื่อความชัดเจนต่อปัญหากรรมนี้ จะขอนำนิทานธรรมบท เรื่อง จูฬบันถก มาเล่าประกอบเป็นตัวอย่าง

จูฬบันถก
ในพระนครราชคฤห์ ธิดาสาวของเศรษฐีคนหนึ่ง เมื่อเธอเจริญวัยขึ้น บิดามารดาดูแลรักษาไว้อย่างดี โดยให้อยู่บนปราสาท ๗ ชั้น แต่อย่างไรก็ตามเพราะนางกำลังแตกเนื้อสาว ฝักใฝ่ในชายจนเกินไปจึงได้เสียกับคนรับใช้ของตน ต่อมาเกิดกลัวว่าจะมีคนรู้ จึงปรึกษาพากันหนีไปอยู่ที่อื่น ซึ่งไม่มีใครรู้จัก เมื่อทั้งสองอยู่ร่วมกัน ณ ที่แห่งหนึ่ง นางได้คลอดบุตร ๒ คน โดยกาลผ่านล่วงไปเพียง ๒-๓ ปีเท่านั้น คนแรกชื่อ มหาปันถก ส่วนคนที่สองชื่อจูฬบันถก
เมื่อเด็กทั้งสองเติบโตวิ่งเล่นไปมาได้แล้ว พ่อแม่จึงนำไปมอบให้ตาและยายผู้เป็นเศรษฐีในพระนครราชคฤห์เลี้ยงดูแทน ส่วนตนก็หนีไปตั้งหลักปักฐานที่อื่น
ในเด็กสองคนนั้น มหาปันถกปรากฏว่าเป็นคนฉลาด มีไหวพริบปฏิภาณดี ชอบศึกษาหาความรู้อยู่มิได้ขาด ที่ใดมีนักปราชญ์ ก็จะเข้าไปหาเพื่อสนทนาปราศรัยด้วย ส่วนจูฬบันถกผู้น้องปรากฏว่าเป็นคนโง่เขลา ไม่สนใจในการศึกษาเล่าเรียนแต่อย่างใด ชอบแต่จะหาความสนุกเพลิดเพลินกับการละเล่นเสียเป็นส่วนมาก

ต่อมา มหาปันถกไปฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดากับตาผู้เป็นเศรษฐีเสมอ เมื่อเขาไปสำนักของพระศาสดาอยู่เป็นนิตย์ จิตก็น้อมไปในบรรพชา เขาจึงขออนุญาตกับตาเพื่อจะบวชในพระพุทธศาสนา ซึ่งตาก็อนุญาตแต่โดยดี เมื่อเธอบวชแล้ว ก็เป็นคนขยันศึกษาเล่าเรียนไปไม่ย่อท้อ ต่อมาการเจริญภาวนาไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหันต์
ต่อมาท่านได้ชักชวนจูฬบันถกผู้น้องชายให้มาบวชด้วย แต่ว่าจูฬบันถกเมื่อบวชแล้วกลับโง่เขลาหนักขึ้นไปกว่าเดิม เพียงคาถาบทเดียวตลอดระยะเวลา ๔ เดือน ท่านก็ไม่สามารถที่จะท่องจำได้ แม้พระมหาปันถกผู้เป็นพี่ชายจะช่วยแนะนำสั่งสอนเพียงใด ท่านก็หาจดจำได้ไม่ เหตุที่เป็นเช่นนี้มีเรื่องเล่าว่า เมื่ออดีตชาติ ท่านเป็นผู้มีปัญญาดี เฉลียวลาดในการศึกษาเล่าเรียน ท่านถือว่าตัวเองเป็นคนฉลาด ได้หัวเราะเยาะภิกษุรูปหนึ่งผู้โง่เขลา ทั้งยังทำท่าล้อเลียนภิกษุรูปนั้นต่างๆ นานา จนเธอละอาย เลิกไม่ทำการสาธยาย
เพราะกรรมนี้ จูฬบันถกพอบวชแล้วจึงเป็นคนโง่เขลาอย่างหนัก สิ่งที่เธอเรียนแล้วก็เลือนหายไป เมื่อพระเถระผู้เป็นอาจารย์เรียกสอบถามความรู้ คำตอบที่ได้รับคือ ลืมแล้วครับ จำไม่ได้ครับ อะไรหรือ.... พวกภิกษุต่างพากันหัวเราะเยาะเย้ยหยันในความโง่ของท่าน แต่ตัวท่านก็หารู้สึกรู้สาไม่ จนกระทั่งสี่เดือนผ่านพ้นไป ท่านก็ไม่สามารถจะจดจำอะไรได้ พระมหาปันถกเมื่อเห็นว่าน้องชายโง่เช่นนั้น จึงตัดสินใจขับไล่ท่านให้พ้นเสียจากวิหาร

พระจูฬบันถกเมื่อถูกพี่ชายขับไล่เช่นนั้นก็ร้องไห้ออกไปจากวัดเพื่อจะหนีไปสึก แต่บังเอิญเจอพระศาสดา พระองค์ตรัสถามทราบความแล้วจึงตรัสปลอบว่า “จูฬบันถก เธอชื่อว่าบรรพชาในศาสนาของเรา เมื่อเธอถูกพี่ชายขับไล่ ทำไมจึงไม่ไปหาเรา มาหาเราเถิด เธอจะสึกทำไม เธอต้องอยู่ต่อไป อยู่กับเรา” พระองค์ตรัสปลอดพลางยกพระหัตถ์ขึ้นลูกศีรษะท่าน พาไปนั่งหน้ามุขพระคันธกุฎีประทานท่านผ้าที่สะอาดซึ่งทรงบันดาลขึ้นด้วยฤทธิ์พร้อมตรัสสั่งว่า “เธอจงผินหน้าไปทางทิศตะวันออก นั่งลูบท่านผ้านี้พร้อมกับบริกรรมไปด้วยว่า รโชหรณํ รโชหรณํ”
เมื่อได้รับคำแนะนำ พระจูฬบันถกก็นั่งผินหน้าไปทางทิศตะวันออกพลางลูบผ้าท่อนนั้นบริกรรมตามที่พระศาสดาตรัสบอก เมื่อท่านลูบท่านผ้านั้นอยู่ ท่อนผ้านั้นก็เริ่มมีสีดำคล้ำขึ้น ท่านคิดว่า
“ท่อนผ้านี้สะอาดแท้ๆ แต่เพราะแปดเปื้อนด้วยร่างกายของเรา จึงละปกติเดิมเสียกลายเป็นของเศร้าหมองไป สรรพสิ่งบรรดามี ไม่เทียงหนอ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วขณะ แล้วก็ดับไป”

พระศาสดาประทับอยู่ที่เรือนของหมอชีวกแต่ทรงทราบด้วยญาณวิถีว่า จิตของพระจูฬบันถกเป็นจิตมีบารมีแก่กล้าควรแก่การบรรลุมรรคผลนิพพานแล้วเปรียบประดุจพื้นนาที่ไถคราดแล้ว เป็นนาควรแก่การเพาะปลูกเมล็ดพันธ์พืช ฉะนั้น จึงตรัสว่า
“จูฬบันถก เธออย่าทำความหมายเฉพาะท่อนผ้านั้นว่า เศร้าหมองเปื้อนธุลี แม้จิตใจของเธอก็มีธุลี กล่าวคือ ราคะ ความกำหนัดยินดี เป็นต้น แปดเปื้อนนอนเนื่องอยู่ภายใน เธอจงกำจัดมันออกเสีย”
แล้วพระองค์ทรงแผ่พระรัศมีไป เป็นประดุจมีพระรูปปรากฏประทับนั่งอยู่ตรงหน้าพระจูฬบันถก ตรัสสอนเธออยู่ ณ ที่นั้นแหละ ชั่วกาลไม่นานท่านก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์บริบูรณ์เพียบพร้อมไปด้วยความรู้ความสามารถยากที่จะหาผู้ใดทัดเทียมได้
จากเรื่องราวของพระจูฬบันถกนี้ ทำให้เราสามารถมองเห็นว่าคนเราแม้จะเกิดในครอบครัวเดียวกัน เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน อยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างเดียวกัน แต่มีความโน้มเอียงต่างกัน แม้เด็กฝาแฝดก็ยังแตกต่างกันในอุปนิสัย แสดงให้เห็นว่าร่องรอยในอดีตของเขาไม่เหมือนกัน บางคนอาจมีความโน้มเอียงทางดนตรี บางคนทางศิลปะ บางคนทางศาสนาปรัชญา ข้อนี้ย่อมแสดงถึงความผูกใจรักใคร่ในสิ่งนั้นๆ ของเขาในอดีต มีโซ่สัมพันธ์สืบต่อกันเป็นกระแสมาจนถึงปัจจุบัน จึงทำให้มนุษย์เรามีความแตกต่างกันในด้านต่างๆ
ฉะนั้น หากเห็นคนอื่นมีระดับความรู้ ความถนัด ไม่เหมือนเราก็อย่าไปเหมาว่าเขาโง่ เขาอาจจะไม่รู้ในสิ่งที่เรารู้ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่อาจรู้ในสิ่งที่เป็นความรู้ความสามารถของเขาเช่นกัน มนุษย์ย่อมมีความรู้ ความถนัด ความโน้มเอียงที่แตกต่างกันตามอำนาจแห่งกรรมที่เขาเคยสั่งสมไว้ในภพชาติต่างๆ นั้นแล


ที่มา
วัดสัมมาชัญญาวาส

//www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=250884


Create Date : 27 พฤษภาคม 2550
Last Update : 27 พฤษภาคม 2550 19:21:24 น. 0 comments
Counter : 385 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

you4lucky
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะคะ
Friends' blogs
[Add you4lucky's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.