Group Blog
 
<<
มีนาคม 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
17 มีนาคม 2551
 
All Blogs
 
หมอปากหมา(๓)

หมอปากหมา(๓)

..แนวคิดเพื่อการรักษาสุขภาพ ที่ค่อนข้างผ่าเหล่า ของกระแสความคิดหลัก ของคุณหมอผู้เขียนหนังสือชื่อหวือหวา "หมอปากหมา" ที่มีสโลแกนฝากให้คนไข้ทั้งหลาย ได้ถือเป็นหลักคิดว่า "อย่าใช้ยามาก อย่าอยากฉีดยา อย่าบ้าหาหมอ" วันนี้ มารู้จัก กับคุณหมอผู้เขียนหนังสือ"หมอปากหมา" ต่อเป็นตอนจบต่อจากเมื่อวานกันเลยดีกว่า..

..."ถ้าไม่แน่ใจ จำไม่ได้ ก็ท่องไว้อย่างนี้ว่า "อย่าใช้ยามาก อย่าอยากฉีดยา อย่าบ้าหาหมอ" ไปหาหมอ ถามหมอให้รู้เรื่องก่อนว่า จะทำอะไรกับเราบ้าง ว่าเป็นอะไร เป็นโรคอะไร บางคนไปหาหมอ เดินกลับมา ได้ยามาก็เดินยิ้ม พอใครถามว่า ไปหาหมอน่ะเป็นอะไร ก็ตอบไม่ได้ ไม่รู้ ยาที่หมอให้มา มีอะไรบ้างก็ไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่า จ่ายเงินไป หนึ่งร้อยยี่สิบบาท รู้แค่นั้น

ร่างกายของเรา เขาจะทำอะไรเรา เราต้องมีสิทธิสอบถามให้กระจ่าง อย่าเกรงใจ ไปหาหมอนี่ "หมอครับ ที่หมอตรวจผมแล้ว ตกลง ผมเป็นโรคอะไรครับ เกิดจากอะไร ติดต่อไหม" ถ้าหมอบอก "เป็นวัณโรค" ก็ต้องถาม ต่อว่า "ติดต่อไหม ตับอักเสบ ติดต่อไหม เผื่อจะเอาติด ไปฝากคนที่บ้านด้วย แล้วหมอคิดว่า จะรักษาผมอย่างไร มีแนวทางการรักษา จะให้ยา จะผ่าตัด จะฉีดยา แนวทางจะตรวจรักษา อย่างไรต่อไป แล้วโอกาส ของผมต่อไปจะเป็นอย่างไร จะหายขาดหรือเปล่า หรือจะเป็นเรื้อรัง หรือจะมีปัญหาอะไร รุนแรงแค่ไหน" สุดท้าย อย่าลืมถามหมอ "หมอค่ารักษา ค่าตรวจรักษา ประมาณเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่า ผมไม่มีสตางค์จะเสีย แต่ผมอยากรู้ โดยประมาณ" เพราะถูกสอนมา อย่างนั้น ว่ามันเป็นสิทธิ ที่ต้องรู้โดย ประมาณ ว่าจะใช้ประมาณเท่าไหร่ ไม่งั้นคำนวณไม่ถูก เข้าโรงพยาบาลที กลับออกมา หมดเนื้อ หมดตัวเลย เพราะฉะนั้น ต้องสอบถามให้รู้เรื่อง อันนี้เป็นสิทธิ

ผมขอฝากพ่อ แม่ พี่ น้อง ไปช่วยสอนลูก สอนหลาน สอนเพื่อนฝูง ว่าเป็นอะไรนิดหน่อย ใช้สติไตร่ตรอง ก่อนเลยว่า พึ่งตัวเองได้ไหม ไม่ใช่เอะอะ ก็ไปหาหมอ เอะอะก็ไปโรงพยาบาลนะครับ ให้ยึดทางสายกลาง ไม่ประมาทเอาไว้ ใช้ดุลพินิจให้ดีๆว่า อันนี้ทำอย่างไร ถึงจะได้ชื่อว่า ไม่ประมาท แต่ก็ไม่ชะล่าใจ ต่างกัน นะครับ คนสองพวกนี้ไม่ดี พวกหนึ่งประมาท อีกพวกหนึ่งขี้เต้น (ตีตน ไปก่อนไข้) พวกขี้เต้นก็คือประสาทไว เป็นอะไรนิดหน่อย ก็จะอุ๊ย ปวดหัว กลัวเป็นมะเร็ง มะเร็งหรือเปล่า ปวดท้อง อ๋อมะเร็งลำไส้มั้ง เจ็บ หน้าอก เส้นเลือดหัวใจตีบหรือเปล่า พวกขี้เต้นนี่ เป็นน้อยนึกว่าเป็นหนัก

แต่พวกประมาทนี่ เป็นหนักแล้วคิดว่าเป็นน้อย ก้อนที่นมนี่ ก้อนเบ้อเริ่มเลย เจอตั้งแต่เม็ดเท่าลูกแก้ว เดี๋ยวนี้เป็นเท่าลูกเทนนิส ก็ยังคิดว่า ไม่เป็นอะไร คือพอมาตรวจเจอ หมอบอก สงสัยเจอมะเร็ง มารอจนเท่า ลูกเทนนิสนี่ ผ่าตัด ก็ไม่หาย อย่างนี้เขาเรียกพวกประมาท ต้องอยู่ตรงสายกลาง ใช้ดุลพินิจดีๆ แยกแยะ ตัวเองว่า ขณะนี้ สมควร ไปหาหมอ หรือไม่สมควร ไม่ใช่ว่า ห้ามไปหาหมอน่ะ ผมไม่ได้ห้าม ไปหาหมอ ผมไม่ได้ห้ามไปโรงพยาบาล ผมไม่ได้ห้ามไปฉีดยา หรือการใช้เทคโนโลยี แต่ให้ใช้เมื่อได้พิจารณาแล้วว่า จำเป็นจริงๆ หมอมีข้อมูล มีเหตุผล มาประกอบ ให้เราเชื่อได้สนิทใจว่า หมอหวังดีกับเรา อย่างนั้น ต้องยอมรับเทคโนโลยี

ที่เหลือสองสามพวกนี่ เป็นพวกที่สองก่อนแล้วกัน พวกแรกเป็นน้อยแล้วคิดว่า ตัวเองไม่เป็น พวกที่สอง เป็นน้อย แล้วคิดว่าตัวเองเป็นหนัก พวกนี้อย่างที่บอกแหละ ปวดหัวก็คิดว่า ตัวเองเป็นเนื้องอก ฉะนั้นพวกนี้ จะเต้น จะวิ่งหาหมอ

พวกที่สามนี่ ไม่ได้มีโรคอะไร คิดไปเอง พวกนี้บางคนก็เรียกว่า โรคอุปาทาน หวาดระแวง แต่เจ้าตัวมักจะ ไม่ค่อย ยอมรับหรอกครับ สังเกตเรียกว่าลักษณะ ร่วมประจำกลุ่ม พวกนี้จะมีลักษณะร่วมประจำกลุ่ม ป่วยตั้งแต่หัวจรดเท้า สารพัดโรค อาการป่วยแต่ละอย่าง ฟังแล้วน่ามึน คือหมอมึน มันไม่ชัดเจน
หมอ ; เป็นหยังมา
คนไข้ ; ตับไหวเจ้า
หมอ ; นอกจากตับไหวแล้วเป็นอะหยัง
คนไข้ ; ใจสั่นเจ้า กินไม่ได้ เมาหลับ ตื่นขึ้นมายืน ร้อนวาบลงไปที่ขา มือเย็นตีนเย็น ท้องเต้น
หมอ ; ปาดโท้! อะหยังที่มาจุโรคไว้นัก

อย่างนี้นะครับ ยิ่งสามสิบบาท รักษาทุกโรค ต้องระวังน่ะ บัตรทองนี่ คนไทยชอบของฟรี แต่การไปหาหมอ แล้วได้ของฟรีนั้น อย่าดีใจ เพราะสิ่งที่หมอ ให้กับเรานั้น ธรรมดาก็เป็นการตรวจ การรักษา ที่มันไม่ดี กับเราทั้งนั้น ถ้าไม่จำเป็น เพราะฉะนั้น ของแถมจากหมอ ไม่จำเป็นก็อย่าเอา อย่างเช่น ไปหาหมอฟัน ก็นอกจากรักษาฟันแล้ว แถมถอนฟันอีกซี่หนึ่งเอาไหม

เพราะฉะนั้น การให้สิทธิรักษาฟรี ๓๐ บาทรักษาทุกโรค มีข้อเสียนะครับ มีข้อเสียตรงที่ว่า พ่อ แม่ พี่ น้อง ไม่ได้ถูกสอน มาก่อนว่า เป็นแค่ไหน ได้ไตร่ตรองไว้หรือยัง ว่าสมควรจะทำแค่ไหน ควรจะพึ่งตัวเองแค่ไหน ควรจะไปหาหมอหรือยัง ไม่ใช่ว่า พอเขาให้สามสิบบาท มาเท่านั้นแหละ "โอ้ย ! เขาให้บัตรเบ่งโว้ย ต่อไปนี้ โรงพยาบาล จะปฏิเสธมิได้" พอเข้าไปถึง

คนไข้;หมอมาแล้วบัตรทอง
หมอ ;เป็นหยังมา
คนไข้; ท้องเต้น ตับไหว ใจสั่นกินบ่ได้ นอนบ่หลับ มือเย็นตีนเย็นร้อนซ่า เมาหัวตื้อๆ หัวตึงๆ ซึม
หมอ ;แล้วมันจะฮักษาอีหยัง

ต้องแยกแยะให้ดี ยิ่งแก่ยิ่งเก่า ของขลัง ของแข็งแล้วน่ะ คนแก่ เหมือนรถเก่า เจ้าของรถ ต้องใจแน่น เจ้าของรถเก่าอย่ารีบเอาเข้าอู่ ไม่ใช่ว่า ไม่ให้เข้าเลย ต้องเข้า ถ้าจำเป็น ต้องไตร่ตรองดูก่อนว่า สมควรเข้าอู่ไหม แล้วต้องเลือกช่างดีๆ ถ้าสุ่มสี่สุ่มห้า เข้าไปยุ่งเลยนะ

เจ้าของรถเก่านี้ ต้องละเอียด ต้องบรรยายอาการให้ชัด ต้องเลือกเอา ประเด็นหลักๆ นั่นคือร่างกายเก่าๆนี่ ไปหาหมอ บ่นตั้งแต่หัวจรดเท้า เดี๋ยวเจอยา สิบห้าอย่างแน่เลย แล้วเบลอๆ จนลุกไม่ขึ้น เกิดเมาล้มโป้งไป หัวฟาด ครั้งเดียว เลือดคั่งไปเรียบร้อยเลย ล้มเปรี้ยงไป สะโพกหัก ต้องเปลี่ยนสะโพก คนแก่ๆ ล้มทีละแสนนะ จำไว้ แลกกับการเดิน ไม่งั้นไม่ต้องเดิน ลื่นล้มในห้องน้ำเปรี้ยง สะโพกหัก โอ็ย! ลุกบ่ขึ้น เรียบร้อย เลยหนึ่งแสน ท่องไปเลย หนึ่งแสนแลกกับเดิน อ้าว ทำไมล่ะ เปลี่ยนต้องเปลี่ยนหัวสะโพกเลยน่ะ มาใส่ฝง ใส่เฝือกไม่อยู่หรอกน่ะ เปลี่ยนได้ค่า หัวสะโพก ซื้อจากนอก อันละสามสี่หมื่น ค่าแรงต่างหาก ค่าโรงพยาบาลต่างหาก เบ็ดเสร็จแสนหนึ่ง ถ้าไม่มีเงินแสน ก็นอนแช่ขี้ แช่เยี่ยวหกเดือนก็ตาย เพราะฉะนั้น ก็อย่าให้ล้ม ยิ่งแก่ ยิ่งต้องระวัง ไปไหนก็ขอเป็นชาวเกาะ ไว้ก่อนนะ

ครับได้คุยได้ให้สิ่งละอันพันละน้อย มีสาระเจือปนบ้าง ก็เหมาะสมแก่เวลา พ่อ แม่ พี่ น้อง มีอะไร จะซักถามไหมครับ

ถาม: เนื่องจากคุณหมอบอกว่า ใช้เข็มมากไม่ดี ที่เขาฝังเข็มเยอะนี่ดีไหมค่ะ?

น.พ.พินิจ: มันเข็มคนละประเภท การฝังเข็มส่วนมาก เขาจะฝังกันหลายเล่ม ถ้าฝังเล่มเดียว บางทีมัน ไม่โดนจุดครบ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนะครับ เข็มสมัยนี้ ต้องแยก ของใครของมันนะครับ เพราะมีไวรัสหลายตัว ที่เราแก้ไม่ได้ เช่น ไวรัสตับ อักเสบ เอ บี ซีทั้งหลายนี้ และยังมี ไวรัสตัวใหม่อีก เรื่องเข็มต้องแยกครับสมัยก่อนเข็มอันเดียว ปักได้ทั่วราชอาณาจักร ใช้แอลกอฮอล์เช็ดๆๆ ปักฉึก บางคนปักนอกผ้า เช็ดแอลกอฮอล์ เช็ดนอกผ้าปักฉึก คนละอย่างครับ

ถาม: การปวดสะโพกหรือปวดหัวเข่า ปวดหัวไหล่นี้เกิดจากอะไรครับ

น.พ.พินิจ: ถามครอบจักรวาลดีแท้ เพราะถามง่ายตอบยาก โครงสร้างของร่างกาย ตรงสะโพก หัวเข่า หัวไหล่นี้ อันที่หนึ่ง ก็ไม่ค่อย เหมือนกันอยู่แล้ว แต่มีองค์รวม ที่พอจะบอกได้ว่า มีกระดูก มีกระดูกแข็ง กระดูกอ่อน มีเอ็น มีเส้นเลือด เส้นประสาท ท่อน้ำเหลือง มีกล้ามเนื้อล้อมรอบ แล้วก็คลุมด้วยผิวหนัง อีกทีหนึ่ง นี่เฉพาะอวัยวะเจ็ด แปดอย่างนี่นะ ปวดได้ทุกอย่างละ เพราะฉะนั้น ต้องดูว่า นอกจากปวดแล้วนี่ มีอาการอื่นร่วมด้วยไหม ถ้าอายุมาก ขนาดนี้แล้ว ส่วนมากนะครับ มักจะเป็นอาการเสื่อม ของกระดูกอ่อน หุ้มข้อ หรือ ไม่ก็เป็นเอ็นติด เอ็นอักเสบ จะสังเกตได้ว่า เวลาขยับบางท่า แล้วมันเจ็บ ถ้าเป็นเข่า ลงน้ำหนัก ก็เจ็บ เวลาลงสะโพกก็เจ็บ เวลาก้าวขึ้น ก้าวลงบันไดก็เจ็บ ขึ้นดอยเจ็บ ลงดอยเจ็บ ถ้าเป็นไหล่นี้ เวลาเอื้อม บิดไปด้านหลังเจ็บ มันติดแล้ว เอ็นอักเสบ ติดแล้ว

ถาม: แล้วจะทำอย่างไร

น.พ.พินิจ: ก็เอาไปหลอมใหม่

ถาม: หลอมได้หรือ

น.พ.พินิจ: อ่ะ! ก็เกิดใหม่ไง ก็นั่นมันเก่าแล้ว พ่อจะให้มันลื่นเหมือนใหม่ได้ยังไง อยากได้ของใหม่ ต้องไปออก จากอู่ใหม่ ก็เอาไปหลอม แล้วไปเกิดเป็นเด็กตัวน้อยใหม่ นั้นแหละได้ของใหม่ ที่เหลือทนเอา

ใครจะถามอีกครับ ที่ผมตอบอย่างนี้เป็นปรัชญานะ โรคนี้ถ้าไม่ชี้แจงให้กระจ่าง ถ้าเป็นคนอยู่ในเมืองหลวง หรือคนบ้านนอก ก็แล้วแต่เถอะ เรื่องหาหมอ ไม่รู้ ปีละกี่ครั้ง เดี๋ยวไปกินยา ฉีดยาอุตลุต พ่ออยู่ในเมือง หรือเปล่า

ผู้ถาม: อยู่แถวนี้

น.พ.พินิจ: แต่พ่อไปหาหมอด้วยโรคปวดนี่บ่อยหรือเปล่า

ผู้ถาม: ไม่

น.พ.พินิจ: ยังดี ถามเอามันส์นี่ แต่บางคนนี่ไปหาจริงๆเลย ว่าปวดหลัง ปวดเข่า ปวดเอว ปวดไหล่ ทั้งที่เป็นสังขารๆ ก็อยู่กับความปวด ความเสื่อม ความชรา มีวิธีชะลอความชราคือ ๕ อ. อาหาร อากาศ การดูแลสุขภาพ ออกกำลังกาย ดูแลสุขอนามัยของเรา ให้ถูกสุขลักษณะ อย่านั่งๆ นอนๆ ให้ออก กำลังกาย ให้เคลื่อนไหวตลอด ร่างกายมันก็ จะเสื่อมช้าลง ชราช้าลง

ถาม: ปวดหลังมากค่ะ พอไปโรงพยาบาล หมอก็ฉีดตรง ข้างหลัง ฉีดปวดมาก แล้วมันก็หาย อยากจะถาม คุณหมอว่า มันจะมีผลเสียหรือไม่

น.พ.พินิจ: แล้วหายนานหรือยัง แล้วกลับมาปวดอีกหรือเปล่า

ถาม: ประมาณสองเดือน แล้วก็กลับมาปวดอีก เลยกลับไปหาหมออีก แล้วหมอก็ฉีดยาเหมือนเดิม จะมีผลเสีย อย่างใด?

น.พ.พินิจ: ผลเสียก็คือเสียนิสัย เพราะสิ่งที่เขาฉีดก็คือยาชาบางคนเขาก็ฉีดยาแก้อักเสบ เข้าไปเฉพาะที่ เฉพาะจุด ที่มันเจ็บ อีกหน่อย มันก็เจ็บทั่วตัว เจ็บตรงนี้ เจ็บต้นคอ เจ็บเอว แล้วฉีดไล่ ฉีดทั้งตัวเลย ถ้าคุณ ออกกำลังดีๆ คุณนวดเป็น ใช้ยาคลึงยานวด มันก็หาย เข้าใจไหม แต่ถ้ายังฝืนไม่สนใจ ตกเย็นเข้าดูทีวี นอนคอเคล็ด ดูทีวีสนุกมาก รุ่งเช้ามาปวด อยู่ที่ว่าเรารักษาสุขภาพเราดีไหม ถามตัวเองก่อนว่า อาการปวดนี้ จะสัมพันธ์ กับท่า ประหลาด ที่เราทำไหม เกี่ยวกับอาชีพเราหรือเปล่า นั่งเย็บผ้ากลางค่ำกลางคืน ไม่งอเข่า มันก็ปวดตึง นี่ของธรรมดา มันก็มีอยู่สองอย่างนะครับ คือทนปวดไป กับละอาชีพ ให้เลือก ใช่ไหม ถ้าไม่อยากทิ้งอาชีพ ก็ต้องทนปวด

คนเราบางครั้งมันก็ต้องทนอยู่กับความทุกข์ ความทรมาน ไม่อยากทุกข์จากการปวด ก็ต้องทุกข์จากการ ขาดรายได้ นั่งเพ็งคอมพิวเตอร์ทั้งวัน มีอาชีพทำ เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จนปวดตาแสบตา ปวดหัวมึนหัว ก็มีอยู่สองอย่าง ถ้าไม่อยากปวดหัว จากคอมพิวเตอร์ ก็เลิกใช้คอมพิวเตอร์ แต่ถ้าเลิกไม่ได้ เพราะว่า มันต้อง มาปวดหัว เพราะว่า ตกงาน ก็ต้องทนทำไป แล้วก็ทนปวดด้วย มันต้องทน บางครั้งสายกลางไม่มี เข้าใจไหม มันต้องทน บางครั้งบางคน ก็เกิดความหงุดหงิด เท่าไหร่ก็ไม่หาย เพราะอาชีพมันบังคับ คนเรานี่ ถ้าทรมาน ก็ต้องทนทรมาน หงุดหงิด แต่ถ้าเรา ตกทุกข์เวทนา แล้วใจปล่อยวาง ลืมคิดถึงมัน มันก็ไม่ค่อยทรมาน มันก็ไม่ค่อยหงุดหงิด สมมุติว่า เราอยากไปดูหนัง แล้วถูกห้าม ไม่ให้ไปดู หรือบังคับตัวเอง ไม่ให้ไปดู แม้มันหงุดหงิด แต่ถ้าเราไม่อยากดูหนัง เราก็หายหงุดหงิด เราไม่อยากดูหนัง แล้วเราก็ไม่ไปดูหนัง เราก็ไม่หงุดหงิด ถูกไหม อันนี้มันจะเข้าหลักธรรมะนิดๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้ จาคะ เป็นบริจาคกิเลส ออกจากใจ เมื่อเราบริจาคมันออกไป เราก็ไม่มีความอยาก

คนเราจะทำอะไรให้ได้ความสำเร็จนี่ ต้องมีสัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ถูกไหม นักเรียนจะดูหนังสือให้ได้ที่หนึ่ง ต้องนั่งหลังขดหลังแข็ง อ่านหนังสือไป ต้องตั้งสัจจะไว้ ไม่ลุกจากเก้าอี้ จะดูหนังสือให้จบ สัจจะอย่างเดียว ยังเจ๊ง ถ้ามันเมื่อย มันอยากไปดูหนัง มันอยากไปนั่น อยากไปนี่ มันเมื่อยร่างกาย มันต้อง ทมะ อดกลั้น ขันติ อดทน อะไรก็ว่าไป ขันติยังแตกได้ ถ้ายังข่มอยู่ ถ้าใจยังข่มกับกิเลสอยู่ สู้กันอยู่ละก็ ขันแตกได้สักวันหนึ่ง ต้องมีจาคะ มาประกบ จาคะ บริจาค ที่นี้ไม่ใช่ว่า พอทนไม่ไหวแล้ว เอาเงินไปบริจาค ทำทานแล้วหาย ไม่ใช่ บริจาคกิเลส ออกไปจากใจ เมื่อเราปล่อยกิเลสออกไปแล้ว ไม่อยากซะ ก็เลยหายหมดไม่ต้องทน

ถาม: ขอถามค่ะ คือคนแก่ร่างกายก็ไม่ค่อยจะสมบูรณ์ จำเป็นไหมที่จะกินยาบำรุงร่างกาย เช่นเมื่อเรารู้ว่า กระดูก ไม่ดี เรากินแคลเซียม หรือว่ากินอะไรต่อมิอะไร ช่วยไปบำรุงร่างกายนี่ จำเป็นแค่ไหน

นายแพทย์พินิจ: นี่แแหละ เขาเรียกเหยื่อของการโฆษณา อาหารเสริม ยาเสริม เทคโนโลยีเสริมๆ เขาเอาเครื่อง สแกนกระดูกมาให้ดู ก็กระดูกพรุน เขามาบอกว่าร้อน วูบวาบเกิดจากวัยทอง ฮอร์โมนหมด เพราะฉะนั้น ต้องกิน ฮอร์โมนเสริม กินแคลเซียม กินนู่นกินนี่ เขาเอาเครื่อง มาตรวจไขมัน มาเจาะโอย ไขมันก็สูงอีก กินยาลดไขมัน กิน เลซิติน กินนู่นกินนี่ กิน โอเมก้า ๓ กินน้ำมันปลา กินๆๆๆ สิ่งที่เขาทำมา ขายทั้งนั้น

มันยุให้เรากิน แล้วมันก็รวยๆๆๆ เราก็โง่เชื่อมันๆ แล้วก็กินตามมัน ไม่ได้ไตร่ตรอง คำถามประโยคนี้ดีมาก ไหนลุกขึ้นสิที่ว่า ขาดอาหาร เห็นไหมครับ ไม่ต้องเสริมแล้ว มีแต่จะต้องลด ทุกวันนี้เรากินอาหาร นี่กุ้งแห้ง ปลาเค็ม กรอบๆ เค็มๆ นี่ปลาสลิด นี่แทะกันซะก้างก็ไม่เห็น นั่นล่ะ แคลเซียมทั้งนั้น

น้ำดื่มที่เขากรองๆ กันมาขายนี่ กรองเอาอะไรออกรู้เปล่า ส่วนใหญ่เขากรองแคลเซียมออก กรองหินปูน หินปูนนี้ ไม่ใช่แคลเซียมหรือ ตะกรันในน้ำปะปานี่ แคลเซียมทั้งนั้น กรองออกแต่สิ่งที่เราไม่เห็น แต่กินที่ เป็นเม็ดๆ นี่ดีน่ะ มันขัดแย้งกันในตัว เข้าใจไหม

ดูก่อนใช้สายกลางว่า ขณะนี้ร่างกายเราเป็นอย่างไร แข็งแรงทั้งร่างกาย จิตใจ สังคมไหม กินอิ่ม นอนหลับ สบาย จิตใจสบาย มีเรี่ยวแรงอยู่ไหม ถ้าทุกอย่างเช็คดูปกติ นั่นคือ สมบูรณ์แล้ว สมบูรณ์ สำหรับยี่สิบ สมบูรณ์สามสิบ สมบูรณ์สี่สิบ สมบูรณ์ห้าสิบ สมบูรณ์หกสิบ สมบูรณ์เจ็ดสิบนี่ สมบูรณ์ไหม แต่ความ สมบูรณ์ ของแต่ละคน ต้องดูรูปร่าง เพียวลมเหมือนกันหมดไหม ไม่จำเป็น แล้วแต่ธรรมชาติ แล้วแต่กรรมพันธุ์ กวางเก้ง เขาก็สมบูรณ์ แบบหนึ่ง ฮิปโปก็สมบูรณ์แบบหนึ่ง ช้างก็สมบรูณ์แบบหนึ่ง ถ้าช้างผอมเหมือนกวาง ก็อาจไม่สมบูรณ์ ถ้ากวาง อ้วนเหมือนหมู ก็ไม่สมบูรณ์ มันแต่ละคน แต่ละโครงสร้าง แต่ละกรรมพันธุ์ จะเอาให้เหมือนกันมันไม่ได้ ค่าไขมันเท่ากันเด๊ะก็ไม่ได้ ค่าความดัน จะให้เท่ากันเด๊ะก็ไม่ได้

ผมจะเล่าประวัติศาสตร์ ที่น่าเกลียดให้ฟังอันหนึ่ง สามสิบสี่สิบปีก่อนนี้ มียาที่ขายดีในตลาดชื่อ Atomic-H เป็นยาลดไขมัน ชื่อเคมีว่ Clofibest เป็นยาเม็ดสีฟ้าๆ ออกเขียวๆ ลดไขมัน มีขนานเดียวชื่อ Atomic- H ใช้กันทั่วโลก รุ่นบรรพบุรุษ รุ่นครูบาอาจารย์ผม ใช้กันมา สามสิบปี แล้วมาบอกกันว่า คอลเลสเตอรอล มีสองตัว วิจัยมาแล้ว มีหนักกับเบา คือชนิด H กับ L คือ ชนิดหนัก High density กับ Low density หนักกับเบา Atomic-H นี่อันตราย เพราะว่าไปลดไขมันหนัก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ถ้าจะให้ดี ต้องไปลดไขมันชนิดเบา ใช้ไม่ได้

เอ้า! ยาใหม่ตอนนี้ไปลง ท้ายด้วย ocal ทั้งหลาย เช่น Ocal, Pavacal, Metpracal, Nystaine ยารุ่นใหม่ เม็ดละ สี่สิบบาท,หกสิบบาท ย้อนกลับไปดู Atomic-H ราคาตอนแรกก็เป็นสิบ ลดราคามาเรื่อยๆ เมื่อมี คู่แข่ง จนเหลือเม็ดละบาท สองบาท นี่ถ้าเราวิเคราะห์ดีๆ มันหมดลิขสิทธิ์ มันเจอคู่แข่ง ก็ทำลายคู่แข่ง บอกว่ายามันไม่ดี ต้องทำยาใหม่ออกมา แล้วอย่างนี้ จะเชื่อได้อย่างไร อีกสิบปีข้างหน้าว่า มีคอลเลสเตอร์รอล ตัวที่สามโผล่มาหรือเปล่า

เข้าใจรึยังครับว่าการตลาด มันทำให้ยาตกรุ่น หมดอายุ แล้วก็เอายาใหม่ เข้ามาขายแพงๆ ยาแก้หวัด คัดจมูก พวก Tiffy, Decalgen, Arpracoul ที่เราใช้กันมา ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ลิขสิทธิ์จนเหลือเม็ดหนึ่ง ไม่ถึงสิบสตางค์ ใช้ไม่ได้หรอก PPA อันตราย ทิ้งไป รอยาใหม่ เม็ดละสิบบาท แล้วที่เราสั่งมาแล้วน่ะ อยู่ในโรงงานเต็กเฮงหยูบ้าง อะไรอย่างนี้บ้าง ทำอย่างไร โอสถสภาอะไรต่างๆ เจ๊ง มันร้ายนะ อย่าไว้ใจ บริษัทยา อย่าหลงเชื่อข่าวลือง่ายๆ บางทีเราไปอ่าน เราตื่นข่าว "ไข้เลือดออกระบาดแล้ว ภาคใต้ตาย ๖ คน" โอ้โฮ ! ก็ไม่ได้บอกว่า ไข้เลือดออก มันไม่มีอะไร ส่วนมากเป็นไข้หวัดธรรมดา นานๆจะมีคนตาย

พอไข้หวัดมาถึง ไข้เลือดออก เดี๋ยวหมอจะรักษาให้นะ แน่ะ ยาไข้เลือดออกกับยาไข้หวัด ใครแพงกว่ากัน ความจริง ก็ยาเดียวกันนั่นแหละ เพราะหมอรู้ว่า เป็นไข้เลือดออก หมอรู้ไข้หวัดธรรมดา แต่ปากบอก ญาติว่า ไข้เลือดออก แต่หมอรู้จัดยาไข้หวัดให้ ก็มียาลดไข้ธรรมดา พาราเซทธรรมดา ยาแก้แพ้นิดหน่อย ดื่มน้ำแยะๆ พักผ่อนเยอะๆ แต่คำพูดที่ว่า รักษาไข้เลือดออก มีค่าแพงกว่ากัน อีกอย่างคือ ถ้าพลาด ขึ้นมาน่ะ เกิดเด็กเป็นอะไรไป รักษา ผิดพลาดขึ้นมา หรือเป็นอะไรไป หนักหนาสาหัสขึ้นมา ยังโทษได้ว่า โรคมันหนัก ถูกไหม เพราะฉะนั้น สื่อข่าวสารกัน ให้ดีนะครับ

ถาม: คำถามสุดท้ายนะคะ โรคเกี่ยวกับสมองกระทบกระเทือน มีวิธีการ รักษาอย่างไรคะคุณหมอ

นายแพทย์พินิจ: มันขึ้นอยู่กับว่ากระเทือนมาก หรือกระเทือนน้อย ถ้ากระเทือนน้อยๆ อย่างนักมวย ชกหัวเปรี้ยงๆๆ สมองเรานี่นะ มันมีจุดรับน้ำหนัก อยู่หลายจุดนะ หนึ่งคือ เส้นผม และหนังศีรษะ ที่ขยับได้ยืดหยุ่นได้ กะโหลกศีรษะ ที่แข็งแรง ถัดเข้าไปข้างใน ยังมีน้ำที่คอยกำบัง ไม่ให้กระแทก เนื้อสมองโดยตรง มีกลไกป้องกันตัวเอง เพราะฉะนั้น ถ้าไม่หนักหนาสาหัสแล้ว ไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก เพราะฉะนั้น เอะอะก็ สมองกระทบกระเทือน ๆ พูดเรื่อยเปื่อยนะ ถ้าสมองกระทบกระเทือนง่าย อาชีพนักมวย คงไม่เกิดหรอก มันชกกันมา ตั้งกี่สิบปี ใช่ไหมครับ แสนศักดิ์ เมืองสุรินทร์ หรือใครๆ ชกกันจนต้องแขวนนวม กันไปข้างหนึ่ง สมองยังไม่เป็นไรเลย นานๆจะมีนักมวย ป่วยด้วยโรค ทางสมอง สักคน ก็ไปโทษว่าชกมวย ไม่อย่างนั้น ก็คนอื่นๆ ก็ไปหมดแล้ว ทีนี้ถ้าเกิดว่ารุนแรง เช่น ตกจากที่สูง หรือ ตกมอเตอร์ไซค์ ฟาดพื้นสลบ อันนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรง มากที่สุดคือตาย รองลงมา รอดตาย พิการ รองลงมาอีก รอดตายไม่พิการ มันมีขั้นตอน มันขึ้นอยู่กับว่า บาดเจ็บรุนแรงแค่ไหน ช่วยได้ทันแค่ไหน ถูกไหมครับ

วันนี้หมดเวลาแล้วครับ


--------------------------------------------------------------------------------

เป็นนักคิดนักเขียนเป็นผู้กล้า ใครจะว่าอย่างไรท่านไม่สน
ขอเพียงเพื่อสื่อสัจจะแด่ปวงชน ให้พ้นทุกข์ดวงกมลได้ชื่นบาน
คือคุณหมอผู้แกร่งกล้าในยุคนี้ คือผู้ที่มีอุดมการณ์รักษา
สื่อสาระสัจจะแด่ประชา จนได้รับฉายา"หมอปากหมา"

--------------------------------------------------------------------------------

ประวัติชีวิตและผลงาน

นายแพทย์พินิจ ลิ้มสุคนธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลเชียงใหม่ราม ๒ อาจารย์พิเศษ คณะแพทย์ศาสตร์ เภสัชศาสตร์ และเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ท่านเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๒ เป็นคนจังหวัด เพชรบุรี จบการศึกษา วิทยาศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยม อันดับหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓ และ แพทยศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ จากมหาวิทยาลัย เชียงใหม่ หลังจากนั้นศึกษาต่อ ได้รับประกาศนียบัตร วิชาชีพชั้นสูง จาก มหาวิทยาลัยมหิดล เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗และวุฒิ บัตร ผู้เชี่ยวชาญ ทางอายุรศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย เชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นแพทย์ผู้หนึ่ง ที่ได้รับ พระราชทานทุนจาก มูลนิธิอานันทมหิดล ให้ไปศึกษาดูงาน ทางระบบประสาท ที่ประเทศอังกฤษ เป็นเวลา ๒ ปีเศษ

อดีต เคยเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีตำแหน่ง ทางวิชาการ เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ ระดับ ๘ ตำแหน่งงาน ครั้งสุดท้าย ก่อนลาออกจากราชการ คือ หัวหน้าหน่วยประสาทวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ผลงานที่ผ่านมามีมากมาย นอกเหนือจากการแต่งตำรา ประสาทวิทยา หลายต่อหลายเล่ม และร่วมเป็น คณะกรรมการ พิจารณางานวิจัย ของอาจารย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่แล้ว ยังเป็นผู้ริเริ่ม จัดอบรม พนักงานดูแลผู้ป่วยที่บ้าน เพื่อลดภาระ ค่าใช้จ่าย ในการดูแลผู้ป่วย ที่พิการทางสมอง เป็นผู้จัดทำโครงการ หมอเท้าเปล่า ออกเยี่ยม ผู้ป่วยตามบ้าน เป็นผู้ก่อตั้งธรรมนามัยคลินิก หรือ คลินิกเพื่อผสมผสาน การแพทย์ แผนไทย และ การแพทย์แผนปัจจุบัน จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเจ้าของ และผู้ดำเนินรายการวิทยุ ซึ่งรักษาปัญหาสุขภาพ ทางโทรศัพท์ ในชื่อรายการคลีนิก ๓ บาท ทางรายการ สถานีวิทยุประจำท้องถิ่น โดยจัดรายการ ทางวิทยุทุกวัน วันละหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เพื่อสนองพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง วัตถุประสงค์ ของรายการ คือส่งเสริม การแพทย์ แบบพึ่งพาตนเอง โดยมีเป้าหมาย ที่จะลดจำนวนผู้ป่วย และ ลดการ ใช้ยาพร่ำเพรื่อ ฟุ่มเฟือย เกินจำเป็น เพื่อให้การใช้เทคโนโลยี่ ทางการแพทย์ เป็นไปอย่างคุ้มค่าที่สุด

เป็นผู้เขียนบทความเกี่ยวกับสุขภาพ เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชน ทางหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น และร่วมกับชมรม นักเรียนทุนมูลนิธิอานันทมหิดล ออกรายการความรู้ สำหรับประชาชน ทางโทรทัศน์

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สารอโศก อันดับที่ ๒๔๖ มีนาคม ๒๕๔๕

........................................




Create Date : 17 มีนาคม 2551
Last Update : 17 มีนาคม 2551 23:36:26 น. 0 comments
Counter : 720 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

yogitai
Location :
มหาสารคาม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คณะศิษย์ ท่านญาปู่ครูบาธรรม โยคีอริยธาตุ
มูลนิธิมหาญาณโพธิสัจ เมือง มหาสารคาม
Friends' blogs
[Add yogitai's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.